5R Social Media Marketing Trends 2025 เทรนด์การตลาดโซเชียล Rawlity Content การตลาดและคอนเทนต์แบบไม่ปรุงแต่ง เล่นกับสัญชาณดิบของผู้คน

5R Digital Marketing & Social Media Trends 2025

บทความวันนี้จะพาไปเจาะลึกพฤติกรรมชาวเน็ต ผู้คนออนไลน์กับแบบไหนในปี 2025 จากการสรุปและเรียบเรียงจากรายงาน Think Forward 2025 ของ We Are Social ออกมาเป็นหัวข้อใหม่ที่ผมขอเรียกว่า 5 Digital & Social Trends 2025 ถ้าอยากรู้ว่าคนยุคใหม่ในปีหน้าจะออนไลน์กันแบบไหน พวกเขาชอบและไม่ชอบอะไร นักการตลาดอย่างเราควรปรับ Social Media Marketing หรือ Content Strategy หรือไม่ หาคำตอบได้จากบทความวันนี้ครับ

แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าเนื้อหาที่คุณได้อ่านจะมีความไม่เหมือนและแตกต่างจากรายงานต้นฉบับสักเท่าไหร่นัก เพราะผมขอสรุป เรียบเรียง และเพิ่มเติมเนื้อหาเข้ามาใหม่พอสมควร เพื่อให้เพื่อนๆ นักการตลาดไทยอ่านแล้วเก็ต แล้วเข้าใจในบริบทได้ดีขึ้น

ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มที่จุดกำเนิดเริ่มต้นของ 5 Digital & Social Trends 2025 กันครับ

Brain Rot คอนเทนต์เน่าๆ ทำสมองฝ่อ สมองพัง
Photo: https://www.facebook.com/share/18L5kUtNeU/

Brain Rot หนึ่งในคำที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก ตั้งแต่ Oxford ประกาศให้เป็นคำประจำปี 2024 ที่หมายความว่าสมองมนุษย์เรากำลังจะฝ่อลงทุกวัน เพราะคอนเทนต์ไร้สาระที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ในชีวิต แต่ทำให้เราติดหน้าจอโซเชียลแบบงอมแงมจนถอนตัวไม่ขึ้น

จุดกำเนิดมาจากการสร้างโซเชียลมีเดียทั้งหลายปวงด้วยวัตถุประสงค์ว่า ทำอย่างไรเราถึงจะดึงผู้ใช้งานให้ใช้แอปเรานานที่สุด เพราะนั่นจะทำให้โซเชียลมีเดียต่างๆ ขายโฆษณาให้นักการตลาดอย่างเราได้เยอะขึ้น และนั่นก็จะนำไปสู่ยอดขายและผลกำไรของบริษัทนั้น ทำให้ราคาหุ้นพุ่งและนักลงทุนชอบครับ

แต่ดูเหมือนว่าโลกเรากำลังถูกหล่อหลอมไปผิดทางมานานมาก กำไรที่ไม่ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติสักเท่าไหร่ เราเคยคาดหวังถึงเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนโลกมากกว่านี้ในยุคก่อนอินเทอร์เน็ต แต่กลายเป็นว่าเราได้การคลิปสั้นไม่กี่วินาทีมาแทน

และจากการเฟื่องฟูของโซเชียลมีเดียไปทั่วทุกมุมโลก ก็ก่อให้เกิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Attention Economy (เอาจริงๆ ก็ไม่ใหม่หรอกนะ แต่หน้าที่นักการตลาดอย่างผมคือทำเรื่องเก่าให้ดูใหม่ แล้วก็ทำเรื่องใหม่ให้ไม่ดูประหลาดครับ) เศรษฐกิจจากการแย่งชิงความสนใจจากหน้าจอ ที่เคยว่ากันว่าทำให้สมองมนุษย์นั้นมีความจำสั้นกว่าปลาทอง ซึ่งเอาเข้าใจก็ออกจะพูดเกินจริงไปหน่อย

และจากการเฟื่องฟูของโซเชียลมีเดียก็ก่อให้เกิดอาชีพใหม่ที่เรียกว่า Influencer แล้วก็กลายเป็น Creator Economy (กดอ่านเรื่องนี้ในการตลาดวันละตอนต่อได้ที่ลิงก์นี้นะครับ https://everydaymarketing.co/trend-insight/from-digital-economy-to-creator-economy-the-rise-of-c2c-marketing-creator-2-consumer-with-live-commerce-and-affiliate-marketing/ ) ส่งผลให้คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z และ Alpha เมื่อถูกถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรคำตอบที่ได้ส่วนใหญ่ไม่ใช่ หมอ ครู ทหาร หรือตำรวจแบบเด็กยุคก่อนอีกต่อไป แต่กลายเป็น Influencer, TikToker, YouTuber หรือที่เรียกรวมๆ ว่า Content Creator นั่นเองครับ

และนั่นก็ทำให้เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์มากมายล้นเกิน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายในการทำคอนเทนต์เพื่อแย่งชิงคนดู คนติดตาม เพื่อล่ายอดไลก์ ยอดแชร์ ยอดวิว จำนวนคอมเมนต์ หรือ ยอด Engagement ทั้งหลาย จนส่งผลให้คำว่า Brain Rod กลายเป็นคำแห่งปี 2024 จากมุมมองของ Oxford เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์ไร้สาระ หรือคอนเทนต์ขยะมากมาย คอนเทนต์ที่เปรียบเสมือนไขมันของเหลือเคลือด้วยน้ำตาลแต่งสีให้ดูน่ากิน แต่พอกินไปสักพักก็จะกลายเป็นพิษต่อร่างกายของเราในท้ายที่สุด

JOLO Joy Of Logging Out โซเชียลแบบทางสายกลาง ไม่ติดงอมแงมแบบ FOMO แต่ก็ไม่สุดโต่งแบบ JOMO

5R Social Media Marketing Trends 2025 เทรนด์การตลาดโซเชียล Rawlity Content การตลาดและคอนเทนต์แบบไม่ปรุงแต่ง เล่นกับสัญชาณดิบของผู้คน

จากสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z และ Alpha เขามองออกว่าสิ่งนี้มันเริ่มไร้สาระมากเกินไปแล้ว พวกเราจะเอาแต่ติดหน้าจอแบบคนรุ่นก่อนอย่าง Gen Y หรือ Gen X หรือ Baby Boomer ทั้งวันไม่ได้ เราจะไม่ใช้ชีวิตแบบ FOMO ตามนิยามของคนรุ่นก่อนหน้า และเราก็จะไม่ใช้ชีวิตสุดโต่งขนาด JOMO ที่ถึงขั้นไม่รับรู้ข่าวสารโลกกว้างแต่อย่างไร

พวกเขาเจอคำใหม่ที่เป็นทางสายกลางที่เรียกว่า JOLO ย่อมาจากคำว่า Joy Of Logging Out (อ่านรายละเอียดเต็มๆ จากบทความ Digital Consumer Insight 2025 ในการตลาดวันละตอนต่อได้ครับ https://everydaymarketing.co/trend-insight/consumer-insight-6-generation-2025-baby-boomer-gen-x-gen-y-millennials-gen-z-alpha-and-beta/ ) ที่มีความหมายว่าชีวิตขาดการออนไลน์หรือโซเชียลไม่ได้หรอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องออนไลน์ตลอดเวลา เราเลือกช่วงที่เราอยากออนไลน์แล้วล็อคอินเข้าไป เมื่อรู้สึกว่าพอแล้วก็ล็อคเอาท์ออกมาใช้ชีวิตดูโลกภายนอกบ้าง นี่คือเทรนด์ใหม่การออนไลน์แบบทางสายกลาง หรือจะเรียกว่าเป็นการใช้โซเชียลมีเดียแบบกำลังดีเท่าที่จำเป็นต้องใช้ครับ

เพราะวันนี้เราคงเห็นเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน เรื่องไหนอยู่บนกระแสข่าวหน้าฟีดโซเชียลได้นานเกิน 3 วันถือว่าเก่งมาก คนรุ่นใหม่จึงรู้สึกว่าไล่ตามเทรนด์เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ตามไม่เคยทัน พวกเขาเลยเริ่มต้องการรู้แค่เทรนด์หลักๆ ประจำวันจนทำให้เกิดไอเดียว่าน่าจะคัดให้เหลือแค่ Top 10 Trends of the Day ให้อ่านพอรับรู้ความเป็นไปของโลกก็พอแล้ว

จาก Speed Social ที่เน้น Engagement สู่ Slow Social ที่เน้น Enhancement

จากความเร่งรีบของเทรนด์ต่างๆ บนโซเชียลมีเดียทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ที่อาจเรียกว่า Slow Social ในปีหน้า พวกเขาไม่สนใจยอดไลก์หรือ Engagement แบบเดิม แต่ให้ความสนใจว่าคอนเทนต์นั้นสำคัญขนาดไหน สามารถทำให้ชีวิตมีประโยชน์ขึ้นหรือไม่ ผมเลยเลือกใช้คำว่า Enhancement หรือ Enhanced ที่หมายถึงการเพิ่มคุณค่าสาระให้กับชีวิตเรามากขึ้นแทน

Content Marketing Trends 2025 ส่วนหนึ่งจึงเป็นเรื่องของการที่คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z และ Alpha จะเล่นโซเชียลมีเดียเพื่อเยียวยาชีวิตและจิตใจจากชีวิตที่เร่งรีบและกดดันเหลือเกินในแต่ละวัน

เปลี่ยนจากการโพสเพื่อเร่งล่ายอด Engagement มาสู่การโพสคอนเทนต์ที่เพิ่ม Enhancement แทน จากเดิมเวลาโพส Instagram ต้องแต่งรูปให้เป๊ะเวอร์วังอลังการ แต่มาวันนี้เวลาพวกเขาโพสรูปกล้าจะโพสรูปสด กล้าจะโพสภาพจริงแบบไม่ปรุงแต่งด้วย Filter กันมากขึ้น

กล้าจะโชว์ด้านธรรมดาไม่สวยงามของชีวิต เพราะพวกเขาเริ่มยอมรับแล้วว่าชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆ ที่เป็นคนส่วนใหญ่ไม่อาจมีชีวิตที่สวยงามแบบ IG คนอื่นได้ นั่นก็ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะเลิกติดตาม Influencer แบบเดิมๆ ที่เน้นอวดชีวิตโก้หรูเกินคนเดินดินธรรมดาไปมากขึ้นทุกวัน

เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยมีเพลงชื่อ “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” ของวง Paradox (ใครทันวงนี้คืออายุเท่ากัน) เพราะการเป็นวัยรุ่นนั้นมันเหนื่อยจริงๆ ทั้งต้องค้นหาตัวเอง ทั้งต้องเริ่งพัฒนาตัวเองไปพร้อมกัน และก็ดูเหมือนว่าการเป็นวัยรุ่นในวันนี้มันออกจะเหนื่อยมากๆ เพราะพวกเขาโตมาในยุคที่เทคโนโลยีมันวิ่งไปไวมากจนดูเหมือนถ้าพลาดอะไรสักหน่อยก็จะหลุดจากกลุ่มเพื่อนหรือสังคมได้ง่ายๆ แล้ว

นั่นเลยทำให้บรรดาวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ทั้ง Gen Z และ Alpha เลิกกดดันตัวเองว่าต้องมีชีวิตที่ดูเพอร์เฟคสมบูรณ์แบบอย่างปีก่อนๆ แล้ว ดังนั้นแบรนด์และนักการตลาดอย่างเราต้องรู้จักหยุด พัก และพอ เลิกเร่งเร้าให้กลุ่มเป้าหมายเราต้องอยากได้ อยากมี เลิกใช้แฮชแท็ก #ของมันต้องมี ได้แล้ว เพราะนอกจากคุณจะไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังไม่พอ ยังอาจถูกพวกเขารวมตัวกันแอนตี้แบรนด์คุณจนกลายเป็นข่าวใหญ่โตก็ได้

เหมือนที่เราชอบเห็นโพสตามโซเชียลว่า “สมัยก่อนอายุ 30 ต้องมีบ้าน มีรถ ทุกวันนี้กูขอมีชีวิตให้รอดถึงวันพรุ่งนี้ก่อน” อ่านดูเหมือนขำๆ แต่มันคือตลกร้ายที่สะท้อนชีวิตจริงของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้นะครับ

เราจะเห็นโพสแบบนี้มากขึ้นจากผู้คน เราจะเห็นการกล้าแชร์ความไม่สวยหรูดูดีตามที่ทัศนคติที่เคยถูกส่งต่อกันมามากขึ้นเรื่อยๆ โพสเหล่านี้จะย้อนแย้งกับธรรมเนียมการโพสแบบเดิมที่เน้นการสร้างความอิจฉาอยากได้อยากมีตามแบบฉบับ Attention Economy ที่ Social Media หล่อหลอมมา

ต่อไปนี้ชีวิตจริงเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะแสดงออกลงโซเชียลมีเดียแบบนั้น เมื่อชาวเน็ตเบื่อและแอนตี้ชีวิตที่ดูดีเกินไปจนน่าหมั่นใส้ เราคงเห็นบ่อยๆ ว่าเมื่อไหร่คนรวย คนดัง ดาราคนไหนที่เคยอวดรวยไว้มากๆ บนโซเชียล เมื่อไหร่ที่พวกเขาเกิดล้มหรือผิดพลาดขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อย ก็จะเต็มไปด้วยคอมเมนต์ถากถางซ้ำเติมเป็นส่วนใหญ่

Good bye Social Media Luxury แบบเดิมๆ Welcome to Social Media ใหม่แบบ Rawlity

เทรนด์การโพสอะไรแบบดิบๆ จริงๆ หรือที่เรียกว่า Rawlity มาจาก Raw + Reality จะได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมันคือชีวิตจริงของคนส่วนใหญ่บนโซเชียล (เอาเข้าจริงเราทุกคนก็ล้วนโซเชียลกันทั้งนั้นแหละ) ชีวิตธรรมดา หลุดๆ รั่วๆ มีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เน้นการประหยัดจากของที่มีมากกว่าการอวดร่ำอวดรวย unbox แกะกล่องซื้อของใหม่

เทรนด์อวดรวยกำลังจะเสื่อมความนิยมไป เทรนด์อวดการรีดประโยชน์จากของธรรมดากำลังจะก้าวเข้ามาแทน นักการตลาดต้องรีบเตรียมตัวทำหรับการทำ Content Marketing แบบนี้ในปี 2025 เพราะถ้าคุณยังอวดชีวิตดี๊ดีที่คนส่วนใหญ่มีไม่ได้ แบรนด์คุณก็จะไม่ได้รับความสนใจจากชาวโซเชียลอีกต่อไป โดยเฉพาะกับ Gen Z และ Alpha อย่างที่ย้ำตั้งแต่ต้นครับ

Social Media Trends 2025 ยุคใหม่นับจากนี้ไปมันคือการอวดกันว่าใครฉลาดใช้ ฉลาดซื้อ ฉลาดเลือก ฉลาดจับคู่ได้มากกว่าคือผู้ชนะ ซึ่งก็จะสอดคล้องกับเทรนด์ ESG ที่เน้นเรื่องความ Sustain ในแง่มุมของการบริโภคที่สร้างขยะให้ล้นโลกมาขึ้นทุกวัน

ผมอยากให้จำคำหลักๆ ของ 5 Digital & Social Media Trends 2025 ปีนี้ไว้ นั่นก็คือ

  • Rawlity
  • Relaxable
  • Reusable
  • Researchable
  • Relationship

ถ้าพร้อมจะทำความเข้าใจทั้ง 5 Social Media Trends 2025 แล้วเชิญครับ

Social Trend 2025 ที่ 1 Rawlity การตลาดแบบไม่ปรุงแต่ง

5R Social Media Marketing Trends 2025 เทรนด์การตลาดโซเชียล Rawlity Content การตลาดและคอนเทนต์แบบไม่ปรุงแต่ง เล่นกับสัญชาณดิบของผู้คน

Rawlity มาจากคำว่า Raw + Reality มันคือความดิบ เถื่อน หรือจะเรียกให้ดีขึ้นอีกนิดมันคือความจริงที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์คนหนึ่ง เราต่างเป็นแค่มนุษย์เดินดินที่ไม่ได้เพอร์เฟคดุจเทพเจ้าชนชั้นสูงลอยลงมาจากฟากฟ้า ดังนั้นในปี 2025 เป็นต้นไปถ้าใครจะมาทำคอนเทนต์แกรมๆ ติดหรู ดูไฮโซ บอกเลยว่าคุณกำลังเอาท์จากชาวโซเชียลไปมาก

เพราะจาก Perfect จะกลายเป็น Fake ในสายตาคนรุ่นใหม่โดยเฉพากับ Gen Z และ Alpha ผู้คนนับจากนี้ไปอยากเห็นความจริงแบบจริงๆ ที่ไร้การตกแต่ง อย่าทำการตลาดอะไรที่ดูประดิษฐ์มากไป เพราะมันดูจริงใจและดูเป็นมนุษย์ด้วยกันจนทำให้รู้สึกว่าเข้าถึงได้มากกว่าครับ

ดังนั้นแบรนด์ยุคใหม่ในปี 2025 ถ้าอยากได้ใจผู้คนต้องกล้าที่จะหลุด กล้าพลาด กล้าที่จะเล่น เพราะแบรนด์หรือแอดมินของแบรนด์ต้องคิดใหม่ว่าตัวเองก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง หรือแบรนด์เองก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้าที่จะไร้ข้อผิดพลาดแต่อย่างไร

Social Trends 2025 คือการยอมรับในความไม่เพอร์เฟคอย่างดีใจ เพราะนั่นคือเรื่องที่เพอร์เฟคที่สุดสำหรับโลกออนไลน์หรือโซเชียลในวันนี้

ก่อนหน้านี้เคยมีคำว่า Puriteen ที่เอาไว้ใช้นิยาม Gen Z ว่าคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้มีความหัวโบราณ Conservative ไม่ชอบอะไรที่ขบถ นอกขนบ โดยเฉพาะกับเรื่องเซ็กส์ เรื่องเพศ 18+

Fandom vs Fan Art

จุดเริ่มต้นมาจากกลุ่ม Fan Art หรือ Fandom ทั้งจากภาพยนต์ การ์ตูน หรือคาแรคเตอร์ต่างๆ ที่ได้รับความนิยม กลุ่มแฟนคลับก็เอาคาแรคเตอร์ต่างๆ ไปทำใหม่ต่อยอดในแบบของตัวเองกันมากมาย บางคนก็อาจมีจิตนาการไปไกลเกินต้นเรื่องอย่างมาก บางคนก็อาจเอาไปจับเป็นคู่จิ้นใหม่ หรือแม้แต่กระทั่งเอาไปทำในแนว 18+ ให้มีความเซ็กซี่วาบหวามหรือที่เรียกว่า “เสว” มากขึ้น

ก่อนหน้านี้ถ้ามีใครที่เอาคาแรคเตอร์ ตัวละคร หรือศิลปินดาราที่ตัวเองชอบไปทำแบบนั้น ก็จะโดนทั้งถูกสาป ถูกด่า ถูกขุด ถูกคุ้ย ถูกแขวน ถูกประจาน เรียกได้ว่าโดนทัวร์ลงถล่มยับเยินจากบรรดา Puriteen ที่ว่าไป

ดังนั้นคำว่า Puriteen จึงมาจากคำว่า Puritan ที่หมายถึงกลุ่มพิวริตันที่เคร่งครัดในหลักศาสนาคริสต์ดั้งเดิมแบบสุดๆ แล้วก็ผสมเข้ากับคำว่า teen ที่หมายถึงวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่ห้าม ห้าม ห้าม แล้วก็ห้าม ในแง่มุมหนึ่งก็มีความคล้ายกับกลุ่มแฟนคลับหมีเนย ที่รักหมีเนยมากจนเกิดข่าวดราม่ากับศิลปินชายบางคนว่าทำตัวไม่เหมาะสมกับหมีเนย หรือน้องเนย (เรียกหมีเนยว่าน้อง) เพราะคิดว่าหมีเนยเป็นเด็กผู้หญิง

แล้วก็ทำให้ชาวเน็ตเสียงแตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่มองว่าหมีเนยแม้จะน่ารัก แต่ก็เป็นแค่มาสคอตของแบรนด์ซึ่งในความจริงแล้วไม่ได้เป็นเด็กผู้หญิงแต่อย่างไร อาจเป็นผู้ชายอยู่ภายในชุดหมีเนยก็ได้ อีกกลุ่มก็คือแฟนคลับที่รักและอินกับหมีเนยมากๆ ที่ยังคงเชื่อว่าหมีเนยคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จริงๆ ที่น่ารัก น่าเอ็นดู ต้องทะนุถนอม

ในต่างประเทศเองก็เกิดกระแส Don’t Like Don’t Read กับกลุ่มวัยรุ่น Puriteen หรือจะเรียกว่าเป็นตำรวจโซเชียลก็ว่าได้ อารมณ์ง่ายๆ ก็คือไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องดู ไม่ต้องยุ่ง เพราะพวกเขาก็ชอบเหมือนกันเพียงแต่มีสไตล์ความชอบที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในด้านการจับคู่จิ้นใหม่จนออกไปถึงแนวที่เกี่ยวกับเซ็กส์ 18+ นิดๆ

เพราะในแง่หนึ่งมันคือ Friction หรือการสร้างเรื่องราวขึ้นมาใหม่จากเรื่องราวเดิม เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับกลุ่มแฟนคลับของ Harry Potter ที่มีแฟนคลับทั้งสองด้านที่ก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ

From Gram To Grunge คอนเทนต์หรู(กู)ดูเบื่อแล้ว

5R Social Media Marketing Trends 2025 เทรนด์การตลาดโซเชียล Rawlity Content การตลาดและคอนเทนต์แบบไม่ปรุงแต่ง เล่นกับสัญชาณดิบของผู้คน

นับจากปี 2025 ไปอย่างที่ย้ำว่าถ้าแบรนด์ไหนหรืออินฟลูคนใดยังคงเน้นการโพสชีวิตดี๊ดี อวดชีวิตที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนทั่วไป เรื่องนี้ไม่ได้หมายความถึงแค่การอวดรวยกว่าคนทั่วไปลงโซเชียล แต่ยังหมายถึงการอวดชีวิตประเภทกินดี กินคลีนตลอด 24/7 หรือชีวิตที่มีวินัยออกกำลังกายได้ทุกเช้า โพสประเภทนี้จะไม่ได้รับความนิยมจากชาวเน็ตสักเท่าไหร่ เพราะมันคือชีวิตที่ยากจะเป็นไปได้สำหรับคนส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าคุณอยากเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้ก็ต้องโพสชีวิตธรรมดาแบบมนุษย์สามัญชนเดินถนนบ้าง

เช่น โพสภาพเบลอๆ รั่วๆ เมาอ้วกบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะอย่างที่บอกว่าคนส่วนใหญ่เริ่มอยากเห็นชีวิตของอีกคนที่เหมือนกับตัวเองมากขึ้น เรามองหาคนดังที่กล้าเผยด้านธรรมดาหรือไม่ดีของตัวเองให้รู้สึกว่าพวกเขาก็เป็นคนปกติเหมือนกัน หรือเราเองก็ทำอะไรที่มันคล้ายกันบ้าง

มันคือการสร้างความ Touchable ไม่ใช่ Perfectist ที่ชีวิตต้อง Productivity ตลอดเวลา

Sex is Back เซ็กส์กลับมาแล้ว!! แต่กลับมาด้วยมุมมองของผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย

จากที่บอกจากกระแส Puriteen ในช่วงก่อนหน้าทำให้เนื้อหาที่เกี่ยวกับเซ็กส์แทบจะถูกเซนเซอร์เกลี้ยงไปโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เพราะมีกฏหมายใดๆ ห้าม แต่คนรุ่นใหม่ Gen Z จำนวนไม่น้อยเคยแสดงออกว่าต่อต้านและไม่ต้องการอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ากระแสโซเชียลวันนี้เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อผู้คนจำนวนมากมายเริ่มดีใจเมื่อเรื่องเพศถูกแสดงออกผ่านเนื้อหาต่างๆ มากขึ้น

Challengers ภาพยนต์ที่เป็นตัวอย่างของกระแสเทรนด์นี้ฉายภาพให้เห็นฉาก Threen Some จนกลายเป็นที่ถูกพูดถึงต่อว่าฉากนี้แซ่บมากมายจนห้ามพลาด ถ้าคน Gen Y หรือ Gen X คงพอจำได้ถึงความร้อนแรงของฉาก Three Some เหมือนกันของภาพยนต์เมื่อเกือบสามสิบปีก่อนเรื่อง Wild Things ในปี 1998

เรียกได้ว่าฉากนี้กลายเป็นตำนานฝังใจบรรดาวัยรุ่นชาย และชายหนุ่มในวันนั้นมากมาย ใครเกิดไม่ทันลองดูตัวอย่างด้านล่างนี้ได้ครับ

ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่า Sex นั้นถูกนำกลับมาชูรสในภาพยนต์มากมายอีกครั้ง เพียงแต่เดิมเรื่องเซ็กส์ถูกนำเสนอในมุมมองเพื่อเอาใจผู้ชาย แต่ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเขาจะกล้านำเสนอเรื่องเซ็กส์ที่เข้มข้นในแบบที่เอาใจกลุ่มผู้หญิงอย่างเห็นได้ชัด

ต่อไปนี้เซ็กส์จะไม่ถูกแอนตี้ ไม่ถูกเซนเซอร์จากผู้บริโภคแบบที่เคยเป็นมาอีกต่อไป เพราะผู้คนยอมรับว่าเซ็กส์คือส่วนหนึ่งของมนุษย์เรา ธรรมชาติสร้างให้เรามีสิ่งนี้ แล้วเราจะทำเป็นปฏิเสธไม่มีไปทำไม

ฉะนั้นเทรนด์คอนเทนต์หรือภาพยนต์ที่แสนดีใสสะอาด หรือสนุกโดยไร้เซ็กส์จะเริ่มไม่ค่อยได้รับความสนใจอย่างที่เคยเป็น หมดยุคหนังขายดีแบบ Marvel ที่จะมีแต่แอคชั่นไร้เซ็กส์ หรือเรื่องดิบเถื่อน (ดูจากกระแสของ Dead Pool 3 หรือ Venom 3 ที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็ได้ครับ) และก็เริ่มถึงเวลากระแสของ K-Pop ใสๆ ที่เริ่มแผ่วลงแต่ไม่เซ็กซี่อีกต่อไป

และทั้งหมดนี้ที่เล่ามาในหัวข้อ Digital Marketing & Social Media Trends ที่ 1 ในปี 2025 เรื่อง Rawlity ก็จะมาถึงคำแนะนำว่านักการตลาดอย่างเรา แบรนด์ที่เราดูแลอยู่ควรต้องปรับตัวอย่างไรกับเทรนด์นี้ ไปจนถึงมีแบรนด์ไหนบ้างที่กล้าบุกเบิกก่อนหน้าจนได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากมายครับ

Case Study แคมเปญการตลาดที่ปรับตัวเข้ากับเทรนด์ Rawlity ได้ดีก่อนปี 2025

1. Sexy for Lady เซ็กส์ขายได้แค่ต้องเปลี่ยนคนที่จะขายใหม่

อย่ากลัวจะเอาเรื่องเซ็กส์มาเป็นจุดขาย อย่าอายที่จะเอาเรื่องยั่วๆ ยวนๆ ทางเพศขึ้นมาทำการตลาด เพราะคนยุคใหม่จำนวนไม่น้อยเปิดใจกับเรื่องเซ็กส์ มองว่าเป็นเรื่องปกติ เรื่องเพศคือเรื่องที่คุยได้ทั่วไป เพียงแค่ต้องเปลี่ยนทิศทางการนำเสนอเรื่องเซ็กส์ใหม่ เปลี่ยนมานำเสนอแบบเอาใจคุณผู้หญิงสุภาพสตรีแทนผู้ชาย

ตัวอย่างจากโฆษณาของ Calvin Klein ที่เลือกนักแสดงชายหน้าตาดีหุ่นน่ากินมาโฆษณาชุดชั้นในอวดเรือนร่างแบบเต็มๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนคือคงถูกแอนตี้หนักมาก แต่อย่างที่เรารู้กันครับว่าวันนี้ผู้หญิง และคนที่ชอบผู้ชายนั้นกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคกระเป๋าหนัก กลุ่มที่พร้อมจ่ายเพื่อสนองความต้องการ

แต่ถ้าเผลอนำเสนอเรื่องเซ็กส์ในมุมของผู้ชาย กระแสตอบรับอาจไม่เป็นแบบนี้ครับ

จากเทรนด์ในบ้านเราคือการเติบโตของบาร์โฮสอย่างเปิดเผยในช่วงไม่กี่ปีหลัง การเป็นผู้หญิงสมัยใหม่กลายเป็นนักเที่ยวแทนกลุ่มผู้ชายแบบเมื่อสักสิบกว่าปีก่อนขึ้นไป สมัยก่อนมีเล้าจน์เปิดขึ้นมากมาย แต่ดูเหมือนสมัยนี้กลุ่มที่เปย์หนักจะกลับเป็นคนละเพศแทน

2. Rave in new Black เทรนด์แฟชั่นปีหน้าจะไม่เน้นสีสันจัดจ้านอีกต่อไป

H&M ได้จับมือกับ Charlie XCX ผู้นำเทรนด์ด้านการโพสคอนเทนต์แนว Rawlity ของหัวข้อนี้ออกเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่สไตล์ Rave ที่ออกไปทางสีดำๆ เข้มๆ มืดๆ ดูทึมๆ ไม่ใช่แนวสีสันสดใส หรือมีลวดลายฉูดฉาดแบบเดิมๆ ที่แบรนด์แฟชั่นชอบทำกัน ในแง่มุมหนึ่งมันคือการกลับไปหาความดิบๆ ไม่ต้องปรุงแต่งด้วยสีสันอะไรมาก หรือไม่ก็เอาลวดลายตามธรรมชาติกลับมาใช้กับแฟชั่นของ Gen Z อีกครั้ง

3. The Ugly Truth การตลาดโลกไม่สวย

เดิมทีแคมเปญการตลาดหรือการจะทำ Communication ใดๆ มักเว้นการพูดเรื่องที่ออกไปทางลบ Negative แม้นั่นจะเป็นเรื่องจริงแต่ก็เป็นกฏที่นักการตลาดและแบรนด์ต่างยึดถือกันมาอย่างยาวนาน

เลยทำให้บรรดาแคมเปญการตลาดต่างพยายามโลกสวยบอกว่าทุกคนมีโอกาส ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ถ้าคุณพยายามเข้าสักหน่อยก็จะสามารถทำมันได้ แต่ในปี 2025 เป็นต้นไปผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Alpha จะเริ่มเอียดกับการตลาดแบบโลกสวยที่เคยทำกันมา และแบรนด์ที่กล้าที่จะพูดความจริงแบบตรงๆ ก็มีตัวอย่างให้คุณได้เรียนรู้แล้ว

แคมเปญการตลาด Winning isn’t for Everyone ของ NIKE ชิ้นนี้ที่แปลเป็นไทยแบบบ้านๆ สไตล์ผมว่า “ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นผู้ชนะได้” ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่ทุกคนล้วนรับรู้แต่อาจไม่ใช่ทุกคนที่กล้ายอมรับ

โฆษณาชิ้นนี้สื่อสารตรงๆ บอกกับคนดูว่ามีแค่บางคนเท่านั้นที่จะได้เป็นผู้ชนะ และคนๆ นั้นก็คือคนที่สุดยอดเหล่านี้ คนที่พยายามอย่างลากเลือด คนที่ดูกล้ามแขนกล้ามขาแล้วไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ

แน่นอนว่าเรื่องนี้อาจไปทำร้ายจิตใจใครบางคน แต่มันก็ทำให้ได้ใจใครอีกหลายคนที่ยอมรับความจริงที่ขัดใจ แน่นอนว่าถ้าคุณเอาไอเดียแบบนี้ไปเสนอหัวหน้าหรือผู้บริหารที่เป็น Gen Y ตอนต้นหรือ Gen X อาจถูกปฏิเสธมาได้อย่างไม่มีชิ้นดี ซึ่งมันก็จะสอดคล้องกับโฆษณาของ NIKE ชิ้นนี้อยู่ดีว่า ไอเดียดีๆ ใครก็คิดได้ แต่คนี่จะได้สิทธิ์ในการทำไอเดียนั้นคือคนที่ต้องพยายามสู้ทนฝ่าฝันจนกว่าความฝันนั้นจะเป็นจริง

ว่าแล้วก็เตรียมปรับ Presentation เพื่อนำเสนอเรื่องเดิมให้กับผู้บริหารใหม่ซะ!! เพราะ Winning isn’t for Everyone

จาก Case Study Rawlity ของ Social Trend 2025 เรามาดูแนวทางการปรับตัวของแบรนด์ว่าจะต้องทำอย่างไร

Brand & Marketing Strategy for Rawlity Trend กลยุทธ์การตลาดเพื่อรับมือปี 2025

1. Just Done It เลิกคิดมากแล้วก็รีบลองลงมือทำซะ

หลายครั้งเราชอบคิดเยอะเกินไป วางแผนมากเกินไป กลัวจนเกินไป ทำให้เราไม่ได้ลงมือทำอะไรใหม่ๆ ที่ควรทำ หรือที่เคยคิดว่าอยากลองทำดูสักที แน่นอนว่าคงไม่มีใครทำอะไรสำเร็จได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่การได้ลองลงมือทำสิ่งใหม่โดยเฉพาะคอนเทนต์แนว Rawlity ที่ออกจะขบถดิบเถื่อนกว่าปกติตามธรรมชาติของแบรนด์แบบนี้อาจดูมีความเสี่ยงมากมาย

แต่คุณอย่าลืมว่าผู้คนเบื่อความสวยงาม เบื่อสิ่งที่ดูดีเกินจริงเพราะเห็นมานานจนเกินไป ถึงเวลาที่คุณจะกล้ายอมรับว่าคุณก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง และแบรนด์เองก็เป็นเสมือนมนุษย์คนหนึ่งที่มีผิดพลาดได้เช่นกัน ท้ายที่สุดคนที่เข้าใจจะเข้าใจ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็ทำได้แค่ยอมรับและปล่อยพวกเขาไปครับ

2. Rebel Influencer หาอินฟลูหัวขบถที่อาจไม่ถูกใจใครบางคน แต่ได้ใจใครหลายคน

อีกหนึ่งความเสี่ยงของกลยุทธ์การตลาดปีหน้าที่นักการตลาดต้องกล้ากัดฟันทำ นั่นก็คือร่วมงานหรือ Collaboration กับ Rebel Influencer หรืออินฟลูที่มีความขบถๆ สักหน่อย คนที่อาจไม่ได้เป็นที่รักของทุกคน มีคนไม่ชอบบ้างในความตรงไปตรงมาหรือสไตล์ของเขา แต่อย่างไรก็เลือกคนที่มีแต่คนเกลียดทัวร์ลงเป็นประจำแล้วกันครับ

ชาวเน็ตสมัยนี้มองออกว่าใครจริงหรือใครเฟค รวยจริงไม่ว่าแต่ถ้ารวยเฟคอันนี้พลาดมาโดนทัวร์ลงฉ่ำและแบรนด์อาจพังได้ ถ้าจะเลือกอินฟลูที่ดูดิบๆ เถื่อนๆ หรือแม้แต่หยาบกร้านสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องผิด ขอแค่ตัวตนของเขาต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้ประดิษฐ์สร้างตัวตนขึ้นมาเพื่อรับงานจากแบรนด์

3. Instinct Driven Communication สื่อสารจากสัญชาติญาณ

เพราะมนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณโดยธรรมชาติอยู่กับตัวทุกคน เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ถึงเวลาที่ควรพยายามเลิกใช้เหตุผลกับมนุษย์ด้วยกันบ้างแล้ว

เราต้องหาทางสื่อสาร Brand Purpose ใหม่ให้เข้ากับ Instinct หรือสัญชาตญาตของมนุษย์แทน อารมณ์ทั้งหลาย รัก โลภ โกรธ หลง และอื่นๆ อีกมากมาย ดูตัวอย่าง NIKE สามารถเอาเรื่องกีฬา การแข่งขัน มาบิดมุมใหม่จากเดิมพยายามอีกนิดก็ชนะได้ มาเป็นถ้าอยากชนะต้องพยายามจนเหนื่อยแทบตาย แต่สุดท้ายคุณก็อาจไม่ใช่ผู้ชนะนะนี่พูดเลย

อย่าทำเพียงแค่เพราะว่ามันเป็นเทรนด์ใหม่ปีหน้า หรือเพียงเพราะว่ามีใครบอกว่ามันจะมาเลยต้องทำ ก่อนจะลงมือทำลองสำรวจ Brand Purpose ดีๆ ก่อนว่าเราจะเอาสัญชาตญาณของมนุษย์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเรานั้นมาเชื่อมกับ Brand Purpose ของเราได้อย่างไร

5R Social Media Marketing Trends 2025 เทรนด์การตลาดโซเชียล Rawlity Content การตลาดและคอนเทนต์แบบไม่ปรุงแต่ง เล่นกับสัญชาณดิบของผู้คน

Do & Don’t เลิกการตลาดโลกสวย เริ่มสื่อสารแบบมนุษย์ปุถุชนคนปกติ เลิกรักษาภาพพจน์ให้ดูดีตลอดเวลา เริ่มลองหลุดๆ รั่วๆ บ้าง เลิกการเอาใจทุกคน เริ่มกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองปล่อยให้มีคนไม่ชอบบ้างก็ได้ เลิกจับมือกับคนที่ไนซ์กาย เริ่มลองร่วมงานกับคนที่กล้าชัดเจนว่าแตกต่าง

สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่าเรื่องฟังดูง่ายแต่การจะกลั้นใจทำจริงไม่ง่าย แต่อย่าลืมว่ามันคือธรรมชาติของมนุษย์เรา มันคือสัญชาตญาณที่ติดตัวมนุษย์โลกทุกคนมาหลายหมื่นหลายแสนปีแล้วครับ

แบรนด์ไหนอยากได้ใจมนุษย์ปุถุชนซึ่งเป็นลูกค้าส่วนใหญ่ ต้องกล้าทำตัวให้เป็นคนธรรมดามากขึ้นครับ

อ่านเทรนด์ที่ 2 ของ Social Trends 2025 ในการตลาดวันละตอนต่อ กับ…Relaxable Marketing เทรนด์การตลาดและคอนเทนต์ปีหน้าห้ามจริงจัง

Reference: https://wearesocial.com/report-think-forward-2025/

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *