สรุป 6 Generation Consumer Insight 2025 พฤติกรรมผู้บริโภค 2568 Baby Boomer, Gen X, Gen Y หรือ Millennials, Gen Z, Alpha และเปิดตัวเจนใหม่ Beta

สรุป 6 Gen Consumer Insight 2025: Baby Boomer, Gen X, Gen Y, Gen Z, Alpha และ Beta

กลับมาอีกครั้งกับบทความสรุปและวิเคราะห์เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภค Consumer Insight 2025 ซึ่งปีนี้พิเศษกว่าทุกปีเพราะเป็นปีแรกที่มีมากถึง 6 Generation ซึ่ง 5 Gen เดิมคือ Baby Boomers, Gen X, Gen Y หรือ Millennials, Gen Z และ Alpha ในปีล่าสุดเรามีผู้บริโภคเจนใหม่นั่นก็คือ Beta เป็นเจเนเรชั่นที่จะเริ่มนับตั้งแต่คนที่เกิดในปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งแม้ภาพรวมยังเบลอๆ มัวๆ แต่จากรายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 โดย TCDC หรือ CEA ก็ทำการรวบรวมวิเคราะห์มาให้แล้วเรา

ถ้าใครอยากทำความเข้าใจเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ 2025 ทั้ง 6 เจน กลั้นหายใจลึกๆ แล้วมาอ่านทำความเข้าใจไปด้วยกัน ส่วนตัวผมจะเพิ่มเติมบริบทและมุมมองอื่นๆ ที่รายงานต้นฉบับไม่มีเข้าไป เพื่อให้คุณได้เห็นภาพรวมที่กว้างขึ้นเพื่อนำไปใช้ปรับแผนกลยุทธ์การตลาดและธุรกิจหลังจากนี้ครับ

6 Gen Consumer Insight 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคทั้ง 6 เจน

1. Baby Boomers Insight 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 1946-1964

Baby Boomer วันนี้คือกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 61-79 ปี หรือจะเรียกว่าเป็น Retire Generation ก็ว่าได้ เพราะตามกฏการทำงานบริษัททั่วไปคือคุณต้องเกษียณตอนเข้าเลข 6 หรือบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งให้เกษียณตั้งแต่ 55 ก็มีครับ

จากรายงานบอกว่าในปี 2025 คนกลุ่มนี้จะมีจำนวนมากกว่าเด็กรุ่นใหม่ที่อายุ 15-24 ปีด้วยซ้ำ เพราะภาวะการเกิดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากทั่วโลก ที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น แต่กับประเทศกำลังพัฒนาหรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็เผชิญปัญหาประชากรถดถอยมาสักระยะนึงแล้ว

แถมยังคาดการณ์อีกว่าจำนวนผู้สูงอายุวัยเกษียณ Baby Boomer เหล่านี้จะมีมากกว่าทุกวันนี้อีกเท่าตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า และนั่นหมายความว่าความต้องการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย Anti Aging จะมีความต้องการเพิ่มสูงมากขึ้นนับจากนี้

NAD+ is New Gold

เพราะคนที่มีอายุเกิน 100 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนมากขึ้นทุกที ในรายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 ของ TCDC บอกว่า NAD+ หรือนิโคตินาไมด์อะดินีนไดนิวคลีโอไทด์ ที่ช่วยในการฟื้นฟูเซลล์อนุพันธ์จะถูกนำมาใช้ตามคลินิกเสริมความงามเพื่อฟื้นฟูเซลล์ในระดับ DNA มากขึ้น

กลุ่มผู้สูงวัย Baby Boomer อยากรู้สึกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม อยากมีแรงออกกำลังกายมากขึ้น อยากนอนหลับได้เต็มอิ่มเหมือนก่อน

NAD+ จะกลายเป็นสารตั้งต้นที่พร้อมถูกนำไปต่อยอดทำสิ่งอื่นอีกมากมายเพื่อช่วยผู้สูงวัยให้มีไลฟ์สไตล์ไม่ถอดถอยตามกาลเวลา

Boomer ยังคงมี Power

ในแง่เศรษฐกิจไปจนถึงธุรกิจต้องบอกว่าคนกลุ่มนี้ยังคงมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างมาก เพราะอเมริกากว่า 54% ของบูมเมอร์เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือไม่ก็มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารในบริษัทขนาดใหญ่ได้จนถึงอายุ 70 สบายๆ

นอกจากนี้เหล่าผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจสูงวัยได้บุกเบิกธุรกิจใหม่ๆ ที่ให้คน Gen Y เข้ามาช่วยบริหารดูแลต่อ

Bully Boomer

การเหยียดมุมใหม่จะเกิดขึ้น จากเดิมเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ เหยียดสีผิว และจะเริ่มเห็นการเหยียดวัยมากขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนคำที่เรามักชอบเผลอใช้กันโดยไม่รู้ตัวในการเหยียดคนแก่ที่บ้านในแง่มุมต่างๆ แต่ประเด็นหลักคือเรามักเผลอเหยียดว่าพวกเขาไม่รู้เท่าทันโลก ไม่ทันเทคโนโลยี และล้าสมัยโลว์เทคโดยทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น

ผู้บริโภควัยเกษียณหลายคนยังคงเป็น Tech Savvy ติดตามข่าวสารเทคโนโลยีใหม่ๆ มากกว่าที่เราคิด เพียงแต่เทคโนโลยีที่พวกเขาให้ความสนใจก็จะเป็นไปเพื่อช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตได้สะดวกสบายเหมือนเดิม ซึ่งก็นำมาสู่เทรนด์สินค้ากลุ่ม Wearable หรือ Smart Watch ที่มี Baby Boomer เป็นลูกค้าหลักในวันนี้

Smart Watch บูมมากในกลุ่ม Boomer

Photo: https://www.pcmag.com/how-to/get-healthy-with-your-apple-watch

จากเดิมสินค้ากลุ่ม Smart Watch อย่าง Apple Watch ที่ถูกมองว่าเป็น Gadget สำหรับวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ หรือคนที่ยังหนุ่มสาวอยู่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้สินค้ากลุ่มนี้ขายดีกับผู้สูงวัย Baby Boomer อย่างมาก

เพราะนาฬิกาเหล่านี้สามารถตรวจวัดและตรวจจับข้อมูลที่เกี่ยวกับสุขภาพได้ ตั้งแต่การเดิน การหายใจ ความดัน น้ำตาล หรือไปจนถึงตรวจจับเมื่อเกิดการหกล้มหรืออุบัติเหตุใดๆ ที่เป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับกลุ่มผู้สูงวัยเหล่านี้

Boomer Become Mainstream Shopper

เมื่อเหล่าเบบี้บูมเมอร์กลายเป็นคนที่ติดสมาร์ทโฟนมือถือมากๆ แน่นอนเราคงเห็นพ่อแม่เราติดส่งสวัสดีวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ แถมยังชอบเช็คโซเชียลมีเดียบ่อยกว่าเรา เพียงแค่พวกเขาอาจใช้คนละแพลตฟอร์ม อาจเล่นคนละแบบกับพวกเราเท่านั้นเอง

แต่จากข้อมูลบอกให้รู้ว่ากลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไปใช้เงินในการช้อปปิ้งออนไลน์รวมกว่า 187 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ตีเป็นเงินไทยก็ราวๆ 6,000 ล้านบาท

แม้ตัวเลขนี้จะไม่มากเท่ากับกลุ่ม Gen X แต่ก็ถือว่าเป็นกลุ่มลุกค้าที่ปรับตัวเข้ากับการช้อปปิ้งออนไลน์ได้อย่างดีมาก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาไม่กี่ปีก่อนหน้านี้

ดังนั้นโฆษณาต่างๆ ต้องคิดถึงบริบทของกลุ่มผู้สูงวัยเหล่านี้ด้วยว่าพวกเขามีความคุ้นเคยและถนัดแบบไหน ข้อความแบบไหนที่เขาเข้าใจง่าย ตัวหนังสือไซส์เท่าไหร่ที่พวกเขาจะอ่านได้ไว

พวกเขาชอบดูคอนเทนต์ประเภทวิดีโอบน Facebook มากกว่า Instagram หรือ TikTok เพียงแต่พวกเขาไม่ชอบเปิดเสียงระหว่างดู ชอบไถคลิปดูเรื่อยๆ แบบไม่มีเสียง นั่นหมายความว่าคุณจะต้องทำซับไตเติ้ลหรือคำบรรยายที่มีตัวหนังสือขนาดใหญ่กว่าปกติครับ

We Not Older, We Are Explorer

อย่าใช้คำว่า “แก่” ถ้าคุณอยากได้เงินจากบูมเมอร์ แม้ร่างกายพวกเขาจะไม่กระฉับกระเฉงเท่าคนหนุ่มสาว หรือคนที่มีอายุน้อยกว่า แต่หัวใจพวกเขาพร้อมจะออกไปผจญโลกกว้างหลังจากที่ตรากตรำทำงานหนักมานานตลอดชีวิต

พวกเขาชอบกิจกรรมประเภทเดินป่า ทำสวน แคมป์ปิ้ง พายเรือ และอื่นๆ อีกมากมาย จะเรียกว่าพวกเขาเป็น VIP Adventure ก็ได้ ดังนั้นใครที่ทำธุรกิจสายลุยลองหันมาปรับรูปแบบแพคเกจหรือการให้บริการที่ดูตอบกับกลุ่ม Baby Boomer เงินเหลือเหล่านี้ดูนะครับ

Product for Boomer ขายสินค้าที่เน้นการเข้าใจสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป

ธุรกิจ FMCG Fast Moving Consumer Good ก็ต้องปรับตัวปรับสินค้าให้เข้ากับสภาพร่างกายของกลุ่มผู้บริโภคสูงวัยอย่างมาก เนื่องจากผิวพวกเขาแห้งขึ้น มีน้ำมันน้อยลง สินค้ากลุ่มครีมอาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ดูแลช่องปาก ก็ต้องปรับสูตรหรือส่วนประกอบให้เข้ากับสภาพร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม

ไปจนถึงสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยวที่พวกเขาก็ยังต้องการกินอยู่ แต่อาจด้วยเงื่อนไขของฟัน การเคี้ยว การย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม เราต้องหาทางคิดว่าจะทำอย่างไรให้ Boomer ยังคงเอนจอยกับชีวิตได้เหมือนเดิมภายใต้เงื่อนไขทางร่างกายที่เปลี่ยนไป

ความน่าสนใจคือจากรายงานเจาะเทรนด์โลกฉบับนี้บอกว่ากลุ่มบูมเมอร์ไม่ค่อยซีเรียสกับสินค้าพวกนมหรือน้ำผลไม้มากนัก ไม่ต้องออร์แกนิกหรือดีต่อธรรมชาติมากนัก นมกล่อง น้ำผลไม้กล่องทั่วไปกินได้ เพียงแต่ขอให้มันย่อยง่ายก็พอ

สรุป Baby Boomer Consumer Insight 2025

พวกเขาจะกลายเป็น Super Consumer ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากจำนวนที่มากขึ้นและอยู่ได้อีกนาน แล้วไหนจะเงินทองที่สะสมเก็บมาตลอดชีวิต

แบรนด์ที่อยากไปต่อหา New S Curve ใหม่ได้หลังจากนี้ต้องรีบปรับสินค้าหรือบริการให้เข้ากับเงื่อนไขทางสภาพร่างกายของพวกเขา แต่ไม่ใช่กับสภาพจิตใจเพราะต้องบอกว่าบูมเมอร์นั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งมากจากการผ่านร้อนหนาวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญคือสุขภาพทางร่างกาย อะไรก็ตามที่ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมล้วนทำเงินได้ไม่ยาก ทำความเข้าใจพวกเขาให้มาก ปรับตัวตามพวกเขาให้ทัน แม้ร่างกายพวกเขาจะช้า แต่เมื่อพูดถึงการใช้เงินแล้วโอนไวถ้าถูกใจนะครับ

2. Gen X Insight 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 1965-1980

Gen X หรือ Generation X หรือที่รายงานฉบับนี้เรียกว่า XERS คือกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 45-60 ปี คนกลุ่มนี้อาจจะเรียกว่าเป็น Silver Generation ที่มาจากสีออกเทาหรือที่ภาษาไทยเราเรียกผมหงอกเต็มหัวแล้ว และใน subset ย่อยก็ยังมีอีกกลุ่มที่เรียกว่า Menopause Segment หรือกลุ่มคนที่กำลังอยู่ในช่วงวัยทอง หรือวัยฮอร์โมนเปลี่ยนไปจนถึงหมดนั่นเองครับ

อ่านเจาะลึกเรื่องวัยทอง Menopause Segment ต่อได้ที่นี่

https://www.everydaymarketing.co/knowledge/menopause-market-insights-new-consumer-segment-new-business-opportunity/#:~:text=%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2,%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B5

เราจะมาทำความเข้าใจ Insight หรือพฤติกรรมความต้องการของคนกลุ่มนี้เพิ่มเติมว่าถ้าอยากทำการตลาดกับเขา อยากทำสินค้าหรือบริการออกมาขายพวกเขา อะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำครับ

Gen X Becoming Premium Purchaser จากนักประหยัด สู่ผู้ฉลาดในการใช้เงิน

หลายปีก่อนหน้าเรามักบอกว่า Gen X เป็นกลุ่มคนที่ใช้เงินค่อนข้างประหยัดมาก คิดหน้าคิดหลังก่อนใช้เงินทุกครั้ง เพราะพวกเขาต้องดูแลทั้งคนข้างหน้าและคนข้างหลังไปพร้อมกัน นั่นก็คือทั้ง Boomer ที่เป็นพ่อแม่ผู้แก่ชราของพวกเขา และ Gen Z ที่เป็นลูกๆ ของพวกเขาในเวลาเดียวกัน

แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ Gen X จะกล้าใช้เงินกับของฟุ่มเฟือยมากขึ้น ขยับจากการจับจ่ายที่คุ้มค่าไปสู่สินค้ากลุ่มพรีเมียมเพิ่มขึ้นเป็นอันดับต้นๆ

เพราะพวกเขาเริ่มมองออกว่าการใช้เงินที่ฉลาดไม่ใช่แค่ถูก แต่มันคือความคุ้มค่าที่แท้จริง จ่ายแพงขึ้นได้ถ้ามันคุ้มค่ากว่าในหลายๆ ด้าน ถ้าทนกว่า ดีกว่า พวกเขาก็พร้อมจะจ่ายแพงกว่าเพราะมันสมเหตุสมผล

แต่ความน่าสนใจคือ Gen X เป็นกลุ่มคนที่ชอบระบบสมาชิกสะสมแต้มหรือ Loyalty Program เป็นอันดับต้นๆ ดังนั้นนักการตลาดคนไหนที่มีกลุ่ม Gen X เป็นเป้าหมายหลักลองศึกษาเรื่อง CRM หรือ Customer Relationship Marketing จาก CRM Canvas ของการตลาดวันละตอนเพิ่มดูนะครับ

https://www.everydaymarketing.co/knowledge/crm-guidelines-canvas-for-dsme-2022-by-everyday-marketing/
สามารถสั่งซื้อหนังสือการตลาดแบบใส่ใจ Customer Relationship Marketing ได้ที่ลิงก์เหล่านี้ครับ

https://shope.ee/3AkO16NFF6
https://shope.ee/1fvaEMFLrv
https://shope.ee/8A93yXXcjY

Gen X Adapability นักปรับตัวในที่ทำงาน อึด ทน ถึก

แม้เหล่า Gen X อาจไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่ากับคนรุ่นใหม่ แต่ความเก่งกาจของพวกเขาที่หาได้ยากคือความสามารถในการรับมือเรื่องปวดหัวในที่ทำงาน ตั้งแต่การเหยียดอายุว่าแก่เกินจะรับผิดชอบไหวหรือเปล่า (เทียบกับ ​Boomer ที่ Sensitive กว่ามาก) หรืออาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่า ไม่ว่าจะ AI หรือ Automation

แต่ Gen X ปรับตัวได้เก่งกับทุกสถานการณ์เพระาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก สามารถพาคนทุกเจนที่แตกต่างหลากหลายในที่ทำงานให้ร่วมงานกันได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะในด้านหนึ่งพวกเขาคือ Manager หรือ Management ในที่ทำงานส่วนใหญ่ ที่ต้องอาศัยทุกคนสร้างผลงานให้นั่นเอง

และอย่าลืมว่า Gen X นี่แหละที่เป็นคนกลุ่มแรกที่ต้องปรับตัวรับมือกับทุก Tech Wave ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา

เริ่มตั้งแต่ยุคคอมพิวเตอร์ปี 90
ยุค Internet ดอทคอม ปี 2000
ยุค Social Media & Smartphone ปี 2010
ยุค Data & AI หรือ Digital Transformation ปี 2020
ยังไม่พูดถึงยุค AI Become Assistant Intelligence นับจากนี้ถึงปี 2030 ครับ

คุณพอเห็นความสามารถในการปรับตัวของ Gen X แล้วใช่มั้ยครับว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมามากกว่าที่เราคิด แม้ความคล่องตัวในเครื่องมือใหม่ๆ อาจไม่สู้คนรุ่นใหม่ แต่ที่เป็นไม้เด็ดของพวกเขาคือประสบการณ์ที่นำไปสู่ความสามารถในการตัดสินใจและนำพาทีมให้รอดต่อไปได้

Beauty Like Gen X สวยสง่าในแบบสาววัยกลางคน

แม้ Gen X วันนี้จะอายุ 45+ ขึ้นไปแล้ว แต่แน่นอนว่าพวกเขายังไม่แก่ และก็ไม่มีทางที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่ชราได้โดยง่าย และนั่นก็สะท้อนถึงยอดขายสินค้ากลุ่มความสวยความงามในตลาดผู้หญิงวัยกลางคนที่โตวันโตคืนขึ้นทุกวัน

สินค้ากลุ่มความสวยความงามที่จะได้ไปต่อต้องไปทำความเข้าใจสิ่งที่กลุ่มผู้หญิงวัยกลางคนต้องเผชิญกับทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ จากนั้นก็ต้องรีบออกสินค้าที่ Personalization มาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ

จะมาทำการตลาดแบบทาแล้วเหน้าเด้งเสมือนสาวแรกรุ่น อันนี้บอกตรงๆ ไม่น่ามี Gen X คนไหนซื้อ สู้สื่อสารไปตรงๆ ว่าชะลอความแก่ ล็อคความสวยไว้ให้ไม่ร่วงโรย หรือทำให้ดูเป็นสาววัยสามสิบย้อนกลับไปสัก 5-10 ปีก่อน ยังมีโอกาสจะได้ใจได้เงินจากพวกเขามากกว่า

Celebrate Micro Achievement เพราะความสุขของชีวิตมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้

ความน่าสนใจของ Insight Gen X 2025 อย่างนึงคือพวกเขาไม่ได้มองหาเป้าหมายใหญ่ในชีวิตเหมือนตอนวัยเลข 3 อีกต่อไป

พวกเขาเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่าอะไรที่ทำได้ และอะไรที่ทำไม่ได้ชัดแจ้ง และนั่นหมายถึงการที่คนกลุ่มนี้มองหาเรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันให้ได้เฉลิมฉลอง

ไม่ต้องถึงขั้นซื้อรถ หรือซื้อบ้านใหม่หรอก เพราะคนกลุ่มนี้น่าจะมีครบหมดแล้ว เอาเป็นว่าแค่น้ำหนักลง 1 กิโลก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว หรือขับรถกลับบ้านโดยรถไม่ติดเหมือนทุกวัน ก็เพียงพอที่จะให้รางวัลกับตัวเองได้แล้ว

ถ้าแบรนด์จะทำการตลาดกับกลุ่มเจนเอ็กซ์ หรือโดยเฉพาะกับกลุ่มผู้หญิง ลองมองหาแง่มุมแบบนี้ในการทำ Marketing Communication หรือ Content ออกไปดู น่าจะได้ใจไปมากมาย

Gen X is King of Personal Care

เจนเอ็กซ์วันนี้มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยสูงมาก และเงินจำนวนมากก็หมดไปกับสินค้ากลุ่ม Beauty และ Personal Care เพราะลำพังแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกากลุ่มผู้หญิงวัย 50+ นั้นใช้เงินกันมากถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์

ในอังกฤษกลุ่มที่ใช้เงินเยอะๆ ก็คือผู้หญิงวัย 40+ ในจีนเองกลุ่มผู้บริโภควัยกลางคนก็ใช้เงินเกินคนรุ่นใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว

นั่นหมายความว่าทุกแบรนด์ต่อจากนี้ต้องคิดกลุยทธ์เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภควัยกลางคนให้ดี ซึ่งนั่นก็คือ Gen X ทุกวันนี้ที่มีความหลากหลายจากทั่วโลก

Gen X Become Thought Leadership

ถ้าเราสังเกตตามหน้าสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะสำนักข่าวออนไลน์หรือออฟไลน์ จากงานอีเว้นใหญ่ๆ ต่างๆ ล้วนแต่มาจาก Gen X ทั้งนั้น

เมื่อวันนี้พวกเขากลายเป็นผู้นำทางความคิดมากขึ้น สามารถชี้นำสังคม เศรษฐกิจ หรือการขับเคลื่อนนโยบายแทนที่ Baby Boomer เดิม

โลกกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยทัศนคติของคนวันกลางคน ที่ยังมีกำลังวังชาสุขภาพที่ดี แถมยังมีประสบการณ์ที่สั่งสมมานานพอจะชี้นำทิศทางสิ่งต่างๆ ในโลกได้แล้ว

Nostalgia Marketing การตลาดวันวานจาก Niche สู่ Mass เพราะ Gen X

อย่าลืมว่าความทรงจำวัยเด็กหรือวัยรุ่น เป็นช่วงเวลาที่คนเรารู้สึกผูกพันธ์ให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะในวันนั้นเราไม่มีเงินพอที่จะไขว่คว้าหามาครอบครองได้ทั้งหมด แต่พอเราโตขึ้นก็มักจะเอาเงินที่มีมาใช้กับสิ่งที่เคยอยากได้ในวัยเด็กเป็นเรื่องปกติ

ในบ้านเราผับที่เปิดเพลงยุค 90 ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างมาก วันนั้นมีเวลาแต่ไม่มีเงินเที่ยว มาวันนี้เวลาก็มีเงินก็พร้อมทำให้ร้านเหล่านี้เต็มไวมาก

และนั่นก็คือการตลาดแบบวันวาน หรือ Nostalgia Marketing ที่จากเดิมอาจจะแค่เฉพาะกลุ่มหรือค่อนข้าง Niche มาวันนี้กลายเป็น Mass เพราะกลุ่ม Gen X ส่วนใหญ่ก็เรียกหาสิ่งที่เคยมีในยุค 70 80 และ 90

ส่งผลให้แบรนด์จำนวนมากเริ่มเอาของเก่ากลับมาขายใหม่ หรือทำของใหม่ให้ดูย้อนยุคแบบเก่า ทั้งหมดนี้คือโอกาสทางการตลาดที่คุณจำเป็นต้องรู้ครับ

สรุป Gen X Consumer Insight 2025

พวกเขาคือกลุ่มวัยกลางคนที่เราอาจแบ่งเป็น Silver Age มาจากสีผมที่หงอกเต็มหัว กับกลุ่ม Menopause Segment คนที่เริ่มหมดประจำเดือนหรือฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

พวกเขามีความต้องการในสินค้าที่แตกต่างออกไปจากสมัยเป็นผู้ใหญ่วัย 30 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการสินค้าประเภท Beauty & Personal Care ที่เข้าใจสภาพผิวหรือร่างกายและจิตใจที่เปลี่ยนไปอย่างมาก

และนั่นทำให้พวกเขากล้าใช้เงินมากขึ้น ไม่ประหยัดโดยไม่เกิดประโยชน์อีกต่อไป ถ้าแบรนด์ไหนเข้าใจพวกเขาก่อน ปรับตัวก่อน ผลิตสินค้าและสื่อสารแบบเข้าอกเข้าใจได้ก่อน ก็จะกลายเป็นเจ้าตลาดของสินค้ากลุ่มวัยกลางคนหรือ Generation X ที่เคยเป็นวัยรุ่นยุค 70-90 ได้ไม่ยากครับ

3. Gen Y (Millennials) Insight 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 1980-1995

Gen Y หรือ Millennials หรือคนที่เคยถูกนิยามว่าเป็น Gen Me ก่อหน้า คนกลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 30-45 ปี จากวัยรุ่นในวันวานวันนี้พวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแถมยังกำลังก้าวเข้าสู่ช่วง Mid-Life Crisis ที่ถูกปรับนิยามใหม่เป็น Tri-Life Crisis หรือวิกฤตชีวิตในช่วงวัยเลข 3 ครับ

ที่ต้องใช้ศัพท์ใหม่น่าจะมาจากนิยามคำว่าวัยกลางคนนั้นขยับขึ้นตามค่าเฉลี่ยอายุขับของผู้คนทุกวันนี้

เดิมทีเรามีอายุขัยเฉลี่ยหกสิบกว่าๆ ดังนั้นพอเข้าเลขสามจึงถูกนิยามว่าวัยกลางคนที่เหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว แต่ทุกวันนี้อายุขับเฉลี่ยเราขยับไปที่เจ็ดสิบปลายจนถึงแปดสิบต้นๆ นั่นหมายความว่าช่วงวัยกลางคนเลยขยับออกไปเป็นช่วงวัยเลข 4 แทน

ดังนั้นเมื่อดูจากตัวเลขอายุของคนเจนวายที่อยู่ระหว่าง 30-45 ก็ลงล็อคเต็มๆ ว่าพวกเขาคือวัยกลางคนแบบเต็มๆ ทั้งจากนิยามแบบเก่าที่เข้าเลขสาม ไปจนถึงนิยามแบบใหม่ที่เข้าสู่เลขสี่ครับ

Tri-life Crisis วิกฤตชีวิตวัยเลขสาม เมื่อชีวิตคนเจนวายกว่า 2 ใน 3 ไม่เป็นตามเป้าที่ตั้งไว้

คนเจนวายนี้น่าเห็นใจ เพราะเป็นคนเจนใหม่ที่ถูกนักการตลาดตีให้ช้ำหลอกล่อให้ซื้อมานานที่สุดและหนักหน่วงที่สุด

เพราะพวกเขาเกิดมาในยุคของ Technology Disruption รอบด้าน ถูกถาโถมด้วยสื่อหลากหลายช่องทางที่กระตุ้นเร้าให้พวกเขาต้องซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตอยู่เป็นประจำ

นิยามของมันต้องมีก็น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกับคนเจนนี้ นิยามคำว่า YOLO ที่หมายถึงชีวิตใช้ซะ ก็เรามีชีวิตเดียวจะกลัวไปทำไม จะประหยัดไปทำไม ทำให้คนเจนวายน่าจะบอบช้ำที่สุดในความคิดผม

พวกเขาถูกหลอกล่อด้วยนักการตลาดแบรนด์ต่างๆ ให้ตั้งเป้าสูงๆ และก็พยายามไขว่คว้าเป้าที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แบบไม่มีวันจบสิ้น ทำให้กลุ่ม Gen Y ทั้งชายและหญิงในช่วงอายุ 34-37 ปีมีภาวะความเครียดจากงานและการใช้ชีวิตมาก จนส่งให้เกิดปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้าอย่างชัดเจนในช่วงที่คนเจนนี้โตขึ้นมา

พวกเขาถูกหล่อหลอมหรือหลอกล่อให้มีเป้าหมายว่าชีวิตจะต้องประสบความสำเร็จแบบคนดังบนโซเชียลมีเดีย บ้านต้องมีรถต้องมา จะเป็นบ้านธรรมดาหลังเล็กแบบคนยุคก่อนก็ไม่ได้ ต้องเป็นบ้านหรูๆ แบรนด์ดังๆ หลังโตๆ หรือเป็นคอนโดห้องใหญ่ๆ ใจกลางเมืองถือว่าผ่านมาตรฐาน

รถยนต์ก็จะเป็นรถเก๋งบ้านๆ หรือรถญี่ปุ่นทั่วไปแบบที่พ่อแม่เคยใช้ก็ไม่คูล ต้องเป็นรถยุโรป หรือซูเปอร์คาร์ได้ยิ่งดี ส่วนวิถีชีวิตก็ต้องดิ้นรนไปเที่ยวต่างประเทศให้บ่อย ต้องเรียนหลักสูตรโน่นนี่นั่น ต้องสรรหาการเข้าสังคมให้มาก

เรียกได้ว่าเป็นเจนแห่งความเครียดเกินจำเป็นจริงๆ ครับ

และนั่นก็ทำให้เมื่อสอบถามผู้หญิงวัย 30+ ที่เป็น Gen Y ว่าพวกเขาคาดหวังอะไรในชีวิตบ้าง

  • 22% อยากมีงานที่มั่นคง
  • 69% อยากทำงานที่ตัวเองรัก
  • 68% อยากมีแฟนหรือแต่งงาน
  • 41% อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง
  • 75% อยากมีเสถียรภาพทางการเงิน

แต่ทั้งหมดนี้พบว่ามีแค่ 34% หรือ 1 ใน 3 เท่านั้นที่มั่นใจว่าตัวเองมีเสถียรภาพทางการเงินแล้ว ส่วนอีก 2 ใน 3 ยังไม่ใช่ครับ

Celebrate Micro Achievement ที่ไม่เหมือนกับ Gen X

หัวข้อเหมือนกันแต่บริบทมีความต่างกันพอควร กับ Gen X ก่อนหน้าที่บอกว่าพวกเขาต้องการความสุขเล็กๆ ในแต่ละวันแทนที่ความสุขจากเป้าหมายใหญ่ๆ นั่นก็เพราะ Gen X ล้วนได้ทุกอย่างที่ฝันครบหมดแล้ว ก็เลยไม่รู้จะไปใหญ่กว่านั้นอีกทำไม

แต่กับ Gen Y นั่นไม่ใช่ เพราะมีฝันมากมายที่พวกเขายังไม่สำเร็จ ดังนั้นแบรนด์ต้องหาทางทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันบ่อยครั้งขึ้น เช่น ให้ Gift Voucher สักหน่อยในเดือนเกิด หรือให้ของขวัญพิเศษเมื่ออายุเข้าเลข 3 เป็นการฉลองแทนการกลัวความแก่แทน

รายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 ฉบับนี้ยกตัวอย่างแบรนด์ Tracksmith ไว้น่าสนใจว่า แบรนด์นี้จำหน่ายสินค้าเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับการวิ่งโดยเฉพาะ ได้ทำแคมเปญการตลาดว่าถ้าใครทำลายสถิติเดิมตัวเองได้ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ จะได้รับคูปองส่วนลด 100 ดอลลาร์ไปสำหรับซื้อของใหม่เอาไปวิ่งต่อ

Gen Y กับแนวโน้มสู่การเป็นเจนคนโสด Single Generation

ที่บอกว่าโสดไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาครองตัวเป็นโสดมานานถึง 30-40 ปี แต่เป็นเพราะการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้นมากสำหรับคนเจนนี้ คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 น่าจะมีคนกลุ่มนี้โสดมากถึง 45% เลยทีเดียว

บางคู่ไม่มีลูกแยกทางไปก็ใช้ชีวิตง่าย แต่บางคู่มีลูกแล้วก็เลือกจะหย่าร้างกันไป เหลือสถานะไว้แค่ผู้ปกครองลูกร่วมกัน

ในสถานะหย่างร้างบางเหตุผลน่าสนใจ เลือกจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่แทนคู่แต่งงานตัวเอง และทั้งหมดนี้ก็ทำให้แพลตฟอร์มที่ให้คำปรึกษาด้านกฏหมายที่เกี่ยวกับการหย่าร้างมีผู้ใช้งานเยอะมาก ก็เพราะการหย่าเป็นเรื่องทางกฏหมายที่มีอะไรมากมายให้ต้องเคลียร์ตกลงก่อนจะแยกย้ายกันได้ครับ

Reward Relax Retreat

ชาว Millennials ให้ความสนใจกับเรื่องสุขภาวะค่อนข้างมาก ภายในปี 2027 หรืออีกแค่สองปีข้างหน้าก็คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายในเรื่อนี้จะสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเน้นหนักไปที่เรื่องง่ายๆ อย่างการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละสัปดาห์

เราจะเห็นเทคโนโลยีการติดตามการนอนของเราที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ อย่าง Apple Watch ตัวใหม่ก็เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ไปจนถึงที่นอนล้ำสมัยที่มีเทคโนโลยี AI ในตัวก็กำลังจะเปิดวางขายในประเทศไทยปี 2025 นี้ครับ

กลุ่มคนเจนวายยังต้องการสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงานที่ไม่ใช่แค่ผับ บาร์ ร้านเหล้าแบบสมัยก่อน แต่พวกเขามองหากิจกรรมยามดึกหลังเลิกงานอย่างพวก ยิมที่เปิดดึก หรือเปิด 24 ชั่วโมง สวนสาธารณะกะดึก หรือการตีกอล์ฟรอบกลางคืนที่เริ่มได้รับความนิยมในบ้านเรา

จะเห็นว่าพวกเขาเน้นการรีแลกซ์ไม่ได้เน้นการเมาแบบสมัยก่อน ถ้าจะดื่มก็ดื่มเอาสนุก ดื่มแบบนอนแอลกอฮอลล์ อะไรก็ตามที่ทำให้พวกเขาหลับได้ดีขึ้นก็มีโอกาสที่จะทำเงินกับคนกลุ่มนี้ได้ดีมาก

เพราะคนกลุ่มนี้ทำงานหนักมาทั้งหมด โหมงานหนักมาทั้งสัปดาห์ พวกเขาเลยต้องการให้รางวัลชีวิตด้วยการกิน ดื่ม(ไม่เมา) เที่ยว ทำกิจกรรมใช้แรงเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นและมีแรงกลับไปลุยงานหนักในสัปดาห์ถัดไป

Live in Blue Zone หลบหนีจากเมืองหลวงไปอยู่เมืองที่ยังธรรมชาติ

Blue Zone เป็นคำใหม่ที่ผมเพิ่งเคยเห็นจากรายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 ฉบับนี้ เมื่อถาม ChatGPT จึงเข้าใจว่ามันคือคำอธิบายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ผู้คนในแถบนั้นอายุยืนและมีสุขภาพดีกว่าค่าเฉลี่ยของโลก

คนในพื้นที่เหล่านี้มักมีอายุเกิน 90-100 ปี มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ค่อยมีสารเคมี ฝุ่นควัน ที่จะก่อให้เกิดโรงเรื้อรังหรือปัญหาสุขภาพมากมาย

ตัวอย่างพื้นที่หรือเหมืองที่เป็น Blue Zone คือซาร์ดิเนียในประเทศอิตาลี ที่เต็มไปด้วยคนสูงวัยสุขภาพดีเยอะมาก หรือ โอกินาวาในประเทศญีปุ่น ที่มีผู้หญิงอายุยืนเยอะที่สุดในโลก

และก็ดูเหมือนคนเจนวายกลุ่มหนึ่งที่ต้องการหลบหนีจากเมืองแสนวุ่นวายไปอาศัยและใช้ชีวิตในพื้นที่ Blue Zone เหล่านี้ หรือจะเรียกว่าเป็นพื้นที่ใหม่ของเหล่า Digital Nomad Gen Y ก็ไม่ผิดนักครับ

เมื่อพวกเขาหันมาสนใจกับการใช้ชีวิตแบบ Work Life Relax ทำงานบ้างแต่เน้นการออกกำลังกาย การได้นอนหลับเต็มอิ่มแบบไม่มีอะไรกวนใจ เมื่อเงินเริ่มไม่ใช่เป้าหมายหลักของเจนวายบางกลุ่ม ที่เริ่มตั้งเป้าหมายเป็นเราจะมีชีวิตที่ดีในแบบที่ตัวเองชอบได้อย่างไรครับ

และสำหรับเจนวายที่ไม่สามารถออกจากชีวิตจริงไปใช้ชีวิตในฝันตาม Blue Zone ได้ ก็จะเลือกเก็บเงินไปเที่ยวในประเทศเหล่านั้นเพิ่มขึ้น และนั่นก็ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเจนวายวัยกลางคนจำนวนมาก ที่ต้องการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เนิบช้า อยู่และกินกับธรรมชาติแบบคนโอกินาวาญี่ปุ่นจริงๆ

แต่ในขณะเดียวกันก็มีเจนใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้น นั่นก็คือ

Generation MZ

Generation MZ คือมาจากส่วนผสมระหว่าง Millennials กับ Gen Z ที่จับมามัดรวมกันเพราะก็มีความคล้ายกันมากอยู่ เจนนี้มีจุดกำเนิดที่เกาหลีใต้ที่แบรนด์ต่างๆ จับมาเป็นเป้าหมายหลัก เพราะถ้าจะ Millennials อย่างเดียวก็จะดูอายุเยอะเกินไป แต่ถ้าจะเอาแค่ Gen Z ก็ดูจะอายุน้อยไป พวกเขาเลยจับเอาสองเจนมารวมกันนั่นก็คือกลุ่มคนที่ยังอายุไม่มากและมีกำลังซื้อไม่น้อย กลายเป็นเป้าหมายหลักทางการตลาดของหลายแบรนด์ในเกาหลีทุกวันนี้

Generation MZ คือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปี 1980-2010 ถ้าคิดอายุก็ราวๆ 15-45 ปี คนกลุ่มนี้คุ้นชินกับเทคโนโลยีเป็นอย่างดี ชอบแชร์ประสบการณ์ลงโซเชียลจนอาจกลายเป็นผู้สร้างกระแสต่างๆ โดยไม่รู้ตัว

ชอบทำธุรกรรมออนไลน์ด้วยตัวเอง คิดไวตัดสินใจเร็ว ชอบก็จัดประหยัดทำไม ช้อปออนไลน์เก่งจนเป็นดูเรื่องปกติ เน้นหาดีลที่ดีถ้าคิดว่าคุ้มแล้วก็จัดทันทีไม่มีรอ

BNPL Buy Now Pay Later นวัตกรรมทางการเงินที่ทำให้เจนวายเป็นหนี้ง่ายขึ้นมาก

BNPL หรือ Buy Now Pay Later อารมณ์ก็คล้ายๆ การผ่อนบัตรเครดิตแต่เป็นการผ่อนกับแอปต่างๆ แทน ทำให้เจนวายหลายคนที่อาจไม่พร้อมเรื่องการเงินก็สามารถผ่อนของที่ต้องการมาก่อนได้

BNPL มาจาก Digital Wallet ที่เก็บดาต้าการใช้เงินของเราเอาไปปล่อยสินเชื่อให้เราได้กู้ซื้อสินค้าที่ต้องการแทนธนาคารหรือบัตรเครดิตแบบเดิมๆ

สรุป Millennials หรือ Gen Y Insight 2025

พวกเขาคือผู้ใหญ่และกลายเป็นวัยกลางคนเข้าสู่เลข 3 ไปถึง 4 แบบเต็มตัว เต็มไปด้วยความคาดหวังและถูกหลอกล่อจากแบรนด์ให้ต้องได้ต้องมีมานานมาก จนทำให้พวกเขามีภาวะความเครียดล้นเกิน

หลายคนเริ่มถอดใจแต่ยังอาจยอมรับความจริงของชีวิตไม่ได้ ก็เลยมองหาพื้นที่หลบภัยทั้งทางกายและทางใจ ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนโดยเฉพาะการนอนที่จะช่วยให้พวกเขามีแรงกายแรงใจไปลุยงานต่อ

บ้างก็มองหาการไปอยู่ยังพื้นที่ที่จะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ ซึ่งไม่ได้หมายถึงความมั่นคั่ง แต่หมายถึงการได้ทำงานและใช้ชีวิตสบายๆ ไม่หรูหราร่ำรวยแต่มีความสุขเบาๆ ควบคู่กัน

และหลายคนครองสถานะโสด หรือกลับมาอยู่ในสถานะโสดอีกครั้ง ส่งผลให้กลุ่มคนโสดเยอะขึ้นมากจนแบรนด์ต้องมองหาสินค้าหรือบริการที่จะช่วยพวกเขาเหล่านี้ได้ก่อนคู่แข่ง

4. Gen Z Insight 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 1996-2011

Gen Z หรือกลุ่มคนที่กำลังอยู่ในช่วงอายุ 14-29 ปี จะเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น วัยเริ่มต้นทำงาน ไปจนถึงวัยเริ่มเข้าสู่ Senior หรือ Manager ในที่ทำงานก็ว่าได้ ตัวผมเองเคยพูดถึงเรื่องนี้ในงาน CTC2023 ไป เพราะคนกลุ่มนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักการตลาดทั่วโลกอย่างมาก เนื่องจากจำนวนที่มีมหาศาล บวกกับความสามารถในการซื้อไปจนถึงการหาเงินที่สูงกว่าคนเจนก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ

JOLO จุดกึ่งกลางระหว่าง FOMO กับ JOMO

จากเทรนด์การ FOMO Fear of Mission Out สำหรับกลุ่ม Gen Y ตอนต้นยุคโซเชียล มาสู่เทรนด์ JOMO Joy of Mission Out หรือช่างๆ มันบ้างก็ได้ ไม่ต้องบ้าโซเชียลนักหรอกเมื่อไม่กี่ปีก่อน และในวันนี้สำหรับ Gen Y พวกเขาก็มีนิยามคำใหม่นั่นก็คือ JOLO ที่มาจากคำว่า Joy of Logging Off

Joy of Logging Off อยู่ระหว่าง FOMO และ JOMO จะเรียกว่าเป็นการออนไลน์แบบทางสายกลางก็ไม่ผิดนัก นั่นก็คือไม่ได้รังเกียจการแอนตี้การออนไลน์การโซเชียล แต่ก็ไม่ได้ติดขนาดว่าจะพลาดอะไรไม่ได้เลย

ดังนั้นมันคือการเลือกที่จะ Logout หรือ Log off ออกจากโซเชียลบ้างตามช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือตัวเองต้องการ ถ้าต้องเล่นก็จะเล่น แต่ถ้ารู้สึกพอหรือไม่อยากเล่นก็จะหยุด จะเรียกว่าเป็น Digital Literacy ที่ฉลาดแบบคนรุ่นใหม่ก็ว่าได้ในมุมมองผม และหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเทรนด์ JOLO นี้ก็คือภาวะความเหงาความโดดเดี่ยวจากการใช้เวลากับโซเชียลมีเดียหรือออนไลน์นานเกิน

ทำไมพวกเขาไม่ได้บ้าออนไลน์หรือโซเชียลมากนักแบบคนผู้ใหญ่คนเจนก่อนคิด พวกเขาแพลนที่จะทำกิจกรรมออฟไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะไปเที่ยว ไปคาเฟ่ ไปเดินเล่นตามท้องถนนเพื่อพบปะผู้คนแปลกหน้าใหม่ๆ

หรือจะเรียกว่าเป็นการไปออฟไลน์เพื่อไปทำคอนเทนต์ออนไลน์อีกทีก็ได้ เพราะมันคือโลกของการ Interaction กันทั้งสองด้าน

Gender Fluidity รักไม่จำกัดเพศ

ไม่พูดถึงความรักไม่ได้ เพราะเจนซีอยู่ในช่วงวัยรุ่น ช่วงวัยกำลังเรียนรู้เพศตรงข้าม เพียงแต่พวกเขาไม่ได้จำกัดความรักระหว่างเพศใดกับเพศหนึ่งเสมือนคนเจนก่อนหน้า เพราะพวกเขาเปิดกว้างรับความหลากหลายทางเพศได้อย่างน่าสนใจ

เช่น คนเจนก่อนไม่ชายกับหญิง ก็หญิงกับชาย ไม่ก็ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง แต่กับคนเจนซีคือพวกเขาสามารถเป็นชายที่รักหญิง แล้วก็อาจลองหันมาคบกันชาย แล้วก็กลับไปคบกับผู้หญิงอีกทีก็ได้

เรียกว่ามีความ Gender Fluidity สูงในแบบที่คนเจนก่อนตามไม่ทัน คำว่า LGBTQ+ ไม่อาจเพียงพอที่จะนิยามกับพวกเขาได้ รักก็คือรัก ไม่สำคัญว่าจะเพศไหนหรือเลือกเป็นแบบใด และอีกแง่มุมหนึ่งในเครื่องความรักความสัมพันธ์ของคน Gen Z รุ่นใหม่คือการกล้าที่จะเปิดเผยความรักความโรแมนติกให้คนอื่นรู้

รายการ Reality อย่าง Single’s Inferno ใครโสดตกนรก หรือ Love is Blind จึงได้รับความนิยมอย่างมากจากทั่วโลก เพราะปัญหาหนึ่งของคนรุ่นใหม่เจนซีวันนี้คือพวกเขาบอกว่าการหารักดีๆ ยากกว่าการหางานดีๆ ให้ได้เสียอีก

ดังนั้นธุรกิจเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ ความโรแมตติก ต้องเข้าใจใน Insight นี้ หรือถ้าแบรนด์ไหนคิดจะทำ Communiction ก็ต้องศึกษาเรื่องนี้ให้มาก อย่าพยายามนิยามความรักแบบเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผลกับคนเจนก่อนที่เคยทำการตลาดมาครับ

MBTI กลายเป็นนามบัตรใหม่ของคน Gen Z

Photo: https://www.webtoons.com/en/canvas/mbticomics/list?title_no=722387

Insight นี้ของ Gen Z น่าสนใจมันคือการที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้ผลลัพธ์จากการทดสอบ MBTI เอามาใช้แทนนามบัตรตัวเองในการแนะนำตัวเองกับคนแปลกหน้า

ในด้านหนึ่งมันคือการไม่ต้องเล่าเรื่องตัวเองเยอะ แต่สามารถอธิบายตัวเองได้ค่อนข้างครบว่าเป็นคนแบบไหน ชอบไม่ชอบอะไร ถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร ทำให้เวลาร่วมงานกับใครก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมคนนั้นถึงไม่เก่งจุดนี้ เพราะเขาเป็นคน type นี้ใน MBTI นั่นเองครับ

คนรุ่นก่อนต้องค่อยๆ คุย ต้องค่อยๆ ถาม เพื่อทำความเข้าใจกัน คนรุ่นใหม่ฉลาดในการประหยัดเวลาเรียนรู้กันได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

First Job Crisis, Find Job in Covid

เป็นเจนที่ลำบากในการหางานมาก เพราะคนกลุ่มนี้เรียนจบในช่วงโควิดทำให้การหางานยากลำบากกว่าคนเจนก่อนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จนรายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 ใช้คำว่าพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหา First Job Crisis

เพราะบริษัทต่างๆ เลือกระงับการจ้างคนใหม่กันถ้วนหน้า และถ้าจำเป็นต้องเอาคนออกก็จะเป็นคนกลุ่มที่เพิ่งจ้างซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ Gen Z นี่แหละออกไปก่อนแทนคนรุ่นเก่าที่อยู่มานาน

ในแง่หนึ่งเข้าใจได้ในทางเศรษฐศาสตร์เพราะการจ้างคนอายุงานน้อยออกจากงานมีค่าใช้จ่ายน้อยสุด เสียค่าชดเชยน้อยสุด แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งที่ผมอยากฝากไว้คือการเก็บคนเก่าที่ทำงานไม่ได้ไว้ต่างหากคือต้นทุนทางธุรกิจที่สูงมาก บางครั้งถ้าคุณจะเป็นต้องคัดคนออก ลองให้โอกาสคนใหม่ วิธีคิดใหม่ เพื่อจะได้เจอกับ New S Curve ใหม่ง่ายกว่าครับ

และจากตรงนั้นก็ทำให้บรรดาคนหนุ่มสาวเจนซีรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความมั่นคงในชีวิต หรือสถานะทางการเงินเอาเสียเลยเมื่อเทียบกับคนรุ่นพ่อแม่พวกเขา

และนั่นก็ส่งผลให้พวกเขาเริ่มไม่ค่อยอยากมองหางานประจำทำ เพราะหางานก็ยาก โดนเอาออกก็ง่ายกว่าคนอื่น เริ่มมองหาอาชีพทางเลือกยุคใหม่ๆ อย่างการเป็น Creator หรือ TikToker เพื่อจะได้เป็น Influencer ที่ประสบความสำเร็จได้ไว

TrendZetter

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Social Trends ส่วนใหญ่ล้วนเกิดและกระจายจาก Gen Z ทั้งนั้น ส่วนหนึ่งเพราะคนกลุ่มนี้ครองพื้นที่สื่อบน TikTok มากที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างกระแส Y2K ก็มาจากพวกเขา นั่นหมายความว่าถ้าคุณอยากทำให้สินค้าหรือบริการคุณฮิตติดเทรนด์ก็ต้องเข้าหา Gen Z ให้มาก ทำให้พวกเขาอยากหยิบของคุณไปทำคอนเทนต์ได้ง่ายครับ

และนั่นทำให้บรรดาแบรนด์แฟชั่นต่างๆ เลือกที่จะเชิญ Influencer หรือ Creator มานั่งแถวหน้าเวลาจัดงานแฟชั่นโชว์ทุกวันนี้ เพราะทีมการตลาดแบรนด์หรูทั้งหลายรู้ว่าสินค้าคอลเลคชั่นใหม่พวกเขาจะหมดตลาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการทำคอนเทนต์ของเหล่า Influencer Gen Z อย่างมากครับ

Zustainable เจนซีใส่ใจความยั่งยืนกว่าคนทุกเจน

เพราะพวกเขาเกิดมาในยุคที่โลกเรื่องเสื่อม เกิดมาในยุคแห่งควันพิษจากอุตสาหกรรมโรงงาน เกิดมาในยุคที่เต็มไปด้วยข่าวภาวะโลกร้อน และก็มาจนถึงโลกเดือด

ทำให้พวกเขาใส่ใจกับการเลือกสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืนมากกว่าคนทุกเจน วัยรุ่นในจีนกว่า 64% เลือกที่จะสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่นมากกว่าแบรนด์นอก

ในแง่หนึ่งราคาไม่แพงเท่า อีกแง่หนึ่งอาจเพราะลดการสร้าง Carbon footprint ด้วย ส่วนวัยรุ่นอเมริกาก็นิยมซื้อของมือสองมาใช้แทนของใหม่ ดูเหมือนการบริโภคแบรนด์เนม แบรนด์หรู จะไม่ใช่เป้าหมายหลักในชีวิตของเจนซีบางคน

Generative AI Literacy ลงทุนกับเอไอและเทคโนโลยีให้ตัวเอง

จากรายงาน YPulse พบว่าเด็กยุโรปช่วงอายุ 13-22 ปี ใช้ ChatGPT ของ OpenAI กว่า 42% เรื่องนี้บอกให้รู้ถึงความสามารถในการเข้าใจและใช้ Generative AI สูงกว่าเด็กหลายประเทศ และนั่นคือ AI Literacy ที่จะสร้างความได้เปรียบในการพัฒนาเศรษฐกิจเมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาเป็นแรงงานในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

Gen Z วัยรุ่นจำนวนมากเลือกใช้เงินกับอุปกรณ์ Gadget ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ Streaming หรือ Subscibe แอปต่างๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาทำโน่นนี่นั่นด้วยมือถือหรือคอมพิวเตอร์ได้ดีขึ้น

จากเดิมหนึ่งคนทำงานหนึ่งอย่าง แต่ดูเหมือนว่าเจนซีรุ่นใหม่พร้อมจะทำงานสิบอย่างจบในตัวเองคนเดียว

สรุป Gen Z Consumer Insight 2025

เมื่อ Gen Z มีทั้งคนที่ยังเป็นวัยรุ่นหาเงินเองไม่ได้ แต่ก็สามารถหาเงินได้ด้วยการเป็น Content Creator แล้ว ส่วนกลุ่มที่หาเงินเองได้ก็กำลังเผชิญกับปัญหาการหางานยาก

พวกเขามีความเข้าใจในการใช้ Digital และ AI ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองกว่าที่หลายคนคิด เลือกจะออนไลน์แค่จำเป็น และใช้เงินกับ Generative AI หรือ ChatGPT เยอะมาก

มุมมองเรื่องความรักนั้นก็หลากหลายไปอีกขั้น แล้วก็หาวิธีแนะนำตัวเองใหม่ด้วย MBTI ซึ่งในอนาคตอาจพัฒนาเป็นเครื่องมืออื่นได้ แต่ก็ยังอยู่ในวัตถุประสงค์เดิม นั่นก็คือฉันเป็นแบบนี้ เธอเป็นแบบไหน จะได้อยู่ด้วยกันง่ายๆ

สุดท้ายพวกเขาคือผู้นำเทรนด์อย่างปฏิเสธไม่ได้ ถ้าอยากให้สินค้าคุณติดกระแสขายเกลี้ยงตลาด ต้องหมั่นเข้าหา Gen Z ให้ดีเพื่อทำให้พวกเขาอยากพูดถึงหรือเชียร์คุณ

5. Generation Alpha 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 2010-2024

Generation Alpha หรือถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายก็คือคนที่อายุตั้งแต่ 1-14 ปี พูดให้ง่ายขึ้นอีกจะบอกว่าเด็กทุกคนจนถึงชั้นมัธยมต้นก็ได้ แม้วันนี้พวกเขาอาจเป็นแค่เด็กที่ไม่มีกำลังซื้อของตัวเองมากนัก แต่รู้ไหมครับว่าผู้ใหญ่ทุกเจนล้วนฟังความเห็นของเด็กเจนนี้ว่าจะตัดสินใจซื้อหรือไม่เป็นประจำ

นักการตลาดคนไหนอยากทำความรู้ใจและเข้าใจถึง Insight Alpha มาอ่านไปพร้อมกันครับ

ปี 2030 พวกเขาจะมีจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกใบนี้

คาดการณ์ไว้ว่าภายในปี 2030 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะเป็นคนกลุ่ม Generation Alpha มากถึง 2.2 พันล้านคน นับว่าเยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์ และในตอนนั้นเจนอัลฟารุ่นแรกจะเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ 20 ปี บริบูรณ์ พวกเขาจะเริ่มก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานแบบเต็มตัว สิ่งที่พวกเขาจะให้ความสำคัญมากก็คือเรื่องวิกฤติสภาพภูมิอากาศ โลกร้อน โลกเดือด อัตราเงินเฟ้อ และสุขภาพจิตครับ

แถมยังถูกคาดการณ์ไว้ว่า 65% ของงานในวันนั้นที่เจนอัลฟาเริ่มโตพอจะเข้ามาสู่ตลาดแรงงาน จะเป็นตำแหน่งงานใหม่ๆ ที่ไม่มีในวันนี้ งานแบบที่เราไม่รู้จัก หรืออาจเป็นตำแหน่งงานที่เราจินตนาการไม่ถึงมาก่อน

แต่ก็อาจมี Generation Alpha แค่ 50% เท่านั้นที่เรียนจบชั้นมหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาอาจย้ายไปทำสายงานอาชีพแทนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากความก้าวหน้าของ AI และ Automation อาจส่งผลให้งานแบบ White Collar จะถูกแทนที่ไปอีกมากนับจากวันนี้ไปถึง 5 ปีข้างหน้า

ดังนั้นงานประเภทสายอาชีพ หรืองานช่าง งานฝีมือ ถือเป็นงานละเอียดอ่อนที่ AI ยังไม่อาจขยับทำได้แบบมนุษย์

ก็มีคำแนะนำว่าแบรนด์ควรอาจต้องคิดแผนกลยุทธ์การตลาดที่จะสร้างงาน สร้างอาชีพไปพร้อมกับพวกเขา อารมณ์เหมือนสมัย Ford เริ่มต้นธุรกิจผลิตด้วยระบบสายพานกับ Ford Model T

จากลูกจ้างกลายเป็นลูกค้า เพราะถ้าพนักงานทุกคนสามารถซื้อรถยนต์ Ford ได้ อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถขายกลับเอามาทำกำไรแล้วเอาส่วนเกินไปขายกับคนทั่วไปที่ไม่ใช่พนักงาน

Alpha โตขึ้นอยากเป็น Creator

ดูเหมือนอาชีพ Creator จะกลายเป็นอาชีพยอดฮิตของเด็กรุ่นใหม่ตั้งแต่สมัย Gen Z มาร่วมสิบปีแล้ว เพราะมันดูเป็นอาชีพที่หวือหวาและทุกคนต่างก็ติดตาม Creator หรือ Influncer ไม่คนใดก็คนหนึ่งอยู่เป็นประจำ

และนั่นก็อาจนำมาสู่การวางกฏระเบียบรากฐานใหม่ๆ ของการใช้โซเชียลมีเดียนับจากนี้ไป เราจะสร้างโซเชียลมีเดียอย่างไรเพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่กลายเป็นอะไรที่ดูไม่ดี

Gen Alpha Driven Well-Being

คาดการณ์ว่าเจนอัลฟาจะเป็นผู้ขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่มสุขภาพเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิต หรือสุขภาพกาย เพราะพวกเขาเกิดขึ้นมาในสังคมที่โลกอุดมไปด้วยความเครียดและความกดดันจากรอบด้าน

ปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองของคนเจนนี้ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพจิตในการเลี้ยงดูลูกอย่างมาก ยังไม่นับถึงบรรดาบริษัทต่างๆ ก็เริ่มออกนโยบายลดความเครียด ลดความกดดัน หรืออาจจ้างผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้มาเป็นหนึ่งในสวัสดิการบริษัทครับ

ปัจจุบันนี้เด็กรุ่นใหม่หรืออัลฟาในสิงค์โปรกว่า 1 ใน 3 กำลังเผชิญกับปัญหาภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ทางองค์การอนามัยโลกก็แนะนำว่าควรให้เด็กเล็กที่อายุ 1-5 ปี เล่นกลางแจ้งวันละ 3 ชั่วโมงอย่างน้อย ส่วนเด็กที่โตกว่านั้นก็ควรเล่นอย่างจริงจัง หรือออกกำลังกายให้หนักขึ้นวันละ 1 ชั่วโมง

มันคือการทำให้เด็กได้ใช้ชีวิตวิ่งเล่นแบบเด็กบ้าง อย่างเลี้ยงลูกด้วยจออย่างเดียวแม้ว่างานคุณจะยุ่งขนาดไหน เพราะมันจะทำให้พวกเขามีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น

ESG จะเข้มข้นสุดสำหรับ Generation Alpha

วันนี้แม้ ESG หรือเรื่อง Sustatinability จะไม่ใช่แค่เทรนด์หรือกระแสอีกต่อไป เพราะหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนล้วนรับเรื่องไปดำเนินการไม่มากก็น้อย

แต่เมื่ไหร่ที่เจนอัลฟาโตกว่านี้เรื่อง ESG จะกลายเป็นประเด็นหลักที่พวกเขาให้ความสำคัญ เพราะพวกเขาจะโตขึ้นมากับภาวะโลกเดือด หรือสภาพอากาศแปรปรวนอย่างสุดขั้ว ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะทำสินค้าหรือขายบริการก็ต้องคิดถึงการรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อทให้รอบด้าน ไม่อย่างนั้นคุณอาจไม่เหลือตัวตนในยุค Alpha Become Mainstream ในอีก 5 ปีข้างหน้าครับ

The Regression Generation เจนแห่งการถดถอย

เพราะจากข้อมูลที่รายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 บอกมาคือมีแค่ 28% ของเด็กอายุ 8-18 ปีเท่านั้นที่ได้อ่านหนังสือทุกวัน (เพราะมัวแต่เล่นจอ) ครอบครัวหรือแบรนด์ต้องพยายามสนับสนุนการเรียนรู้ของพวกเขาให้มากกว่านี้ เพื่อลดช่องว่างในการเรียนรู้ลง

แบรนด์อาจสร้างสิ่งที่ช่วยทำให้เด็กเจนนี้ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ควรมากขึ้น ไม่ว่าจะคอนเทนต์หรือพื้นที่ทำกิจกรรมของแบรนด์ หรืออาจลงทุนทำห้องสมุดให้ครอบครัวได้มาใช้เวลาร่วมกันแบบประเทศในแถวสแกนดิเนเวียนก็ได้

Permission Before Post

Millennial Parents หรือพ่อแม่เจนวายหลายคนชอบโพสรูปลูกตัวเองลงโซเชียลตลอดเวลา นั่นหมายความว่าคุณกำลังอัปโหลดข้อมูลของลูกคุณไปโดยที่พวกเขายังไม่ได้ยินยอมให้สร้าง Digital Footprint ในวันที่บรรลุนิติภาวะ

เพราะร่องรอย Digital Footprint ในวัยเด็กน้อยวันนั้นอาจย้อนกลับมาเป็นเครื่องมือสำหรับการถูก Bully ในวันหน้า ซึ่งอาจเป็นการสร้างแผลในใจไปจนถึงอาจคิดทำอะไรสั้นๆ จากการกระทำที่ไม่ค่อยยั้งคิดของคนเป็นพ่อแม่ที่ชอบแชร์รูปลูกตัวเองลงโซเชียลมีเดียและเปิด Public มากเกินควรครับ

ยังไม่นับถึงบรรดา Alphluencers หรือเด็กที่เป็นอินฟลูด้วยความผลักดันของพ่อแม่ ในวัยเด็กที่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำคือการกำลังแชร์ข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ยินยอมของเขาอยู่ และหลายแบรนด์ก็เริ่มจะงดการใช้ Alphluencers หรืออินฟลูเด็กเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Kid Online Safety Act กฏหมายเพื่อความปลอดภัยทางออนไลน์ของเด็ก

และเรื่องนี้ก็กำลังจริงจังถึงขนาดเป็นร่างกฏหมายในสหรัฐอเมริกาแล้ว เป้าหมายคือเพื่อปกป้องเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจากการออนไลน์ที่อาจอันตรายเกินไป ไม่ว่าจะทางโซเชียลมีเดีย เกม หรือแอปใดๆ ก็ตาม

ดูเหมือนว่าการให้ความสำคัญกับ Digital Privacy นับจากนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โดยเฉพาะกับบรรดากลุ่ม Generation Alpha ที่กำลังจะกลายเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ในวันหน้าครับ

สรุป Generation Alpha Insight 2025

ด้วยจำนวนเยอะสุดในประวัติการณ์กว่า 2.2 พันล้านคน ทำให้นักการตลาดทุกคนบนโลกมองข้ามพวกเขาไม่ได้ พวกเขาจะเริ่มหาเงินได้อย่างเป็นทางการในอีกแค่ 5 ปีข้างหน้า ดังนั้นการทำความเข้าใจพวกเขาตั้งแต่วันนี้พร้อมกับติดตามดูความเปลี่ยนแปลงทาง Insight จะทำให้เราเข้าใจว่าพวกเขามีวิวัฒนาการอย่างไรที่แบรนด์อย่างเราสามารถเข้าไปตอบสนองสิ่งนั้นได้

อาชีพใหม่ๆ จะเกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ในแบบที่เราคิดไม่ถึงมาก่อนมากมาย แต่ส่วนหนึ่งก็จะย้อนกลับไปยังอาชีพสายวิชาชีพแบบดั้งเดิมที่ยากจะถูกระบบ Robotic หรือ Automation แทนที่ได้

ภาวะความเครียดคือปัญหาใหญ่ของคนเจนนี้ ยังไม่รวมถึงปัญหาโลกร้อน โลกเดือด ที่รุมร้อมพวกเขาตั้งแต่เกิดจนถึงโตแบบไม่มีวี่แววจะดีขึ้น

คนเจนนี้อาจเล่นจอมากเกินไปจนการเรียนรู้ถดถอย เราต้องหาทางส่งเสริมให้พวกเขาได้เป็นเด็กอย่างที่ควรจะเป็นมากขึ้น และสุดท้ายคือเรื่อง Privacy กับกฏหมายที่จะออกมาเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพการใช้ชีวิตจากออนไลน์ในอนาคตเมื่อพวกเขาโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ครับ

6. Generation Beta 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 2025-2039

มาถึง Insight Generation สุดท้ายแต่ว่าเป็นเจนใหม่ปีนี้กันครับ นั่นก็คือ Generation BETA คือกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ปี 2025 นี้เป็นต้นไป เอาง่ายๆ พวกเขายังไม่ได้เริ่มเกิดขึ้นมาหรอก

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม นักการตลาดควรทำความรู้จักและเข้าใจพวกเขาเนิ่นๆ เพื่อจะได้เตรียมกลยุทธ์หรือสินค้าและบริการไว้รับมือได้ถูก ถ้าอยากรู้แล้วมาดูกันนะครับ

BETA จะเป็นเจนแรกที่มีจำนวนน้อยสุดในโลก

คาดการณ์ว่าภายในปี 2035 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าคนเจนนี้จะมีแค่ 16% ของประชากรโลกเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยที่สุด

สาเหตุหนึ่งเพราะหลายประเทศบนโลกกำลังเผชิญปัญหาคนเกิดไม่ทันคนตาย จากการที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกที่จะอยู่แบบไม่มีลูกไปจนตาย ทำให้อัตราการเกิดของประชากรต่ำลงแทบจะทุกประเทศบนโลกใบนี้

ยกเว้นก็แต่ประเทศที่มีข้อห้ามในการคุมกำเนิดด้วยหลักศาสนา ก็น่าจะส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นยังคงมีประชากรรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทดแทนและกลายเป็นกำลังหลักของประเทศในอีก 10-15 ปีนับจากนี้ไป

ดีไม่ดีขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจโลกอาจพลิกไปอยู่ฝั่งแอฟริกา หรือตะวันออกกลางก็เป็นได้นะครับ

Generation AI Automation Robotic and Metaverse

เจนเบต้าจะเกิดขึ้นมากับเทคโนโลยี AI ที่จะกลายเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลกขึ้นมา พวกเขาจะเกิดมาเจอกับความสะดวกสบายของระบบอัตโนมัติต่างๆ คาดว่าพวกเขาจะเกิดและโตมาในยุครถยนต์ไร้คนขับจนวันหนึ่งอาจถามคนรุ่นเก่าอย่างเราว่า “พวงมาลัยรถยนต์คืออะไร ?” เหมือนกับที่เด็ก Alpha ถามว่า CD Rom และ Gen Z ถามว่าแผ่นดิสก์คืออะไร

คำว่า Metaverse น่าจะเป็นจริงในเจนนี้ พวกเขาจะโตขึ้นมาพร้อมกับอุปกรณ์สมใส่แว่น VR หรือ ER ที่ง่ายกว่า Apple Vision Pro อาจจะเป็น Oculus เวอร์ชั่นใหม่ที่ดีกว่า หรืออาจจะเป็น Google Glass ที่กลับมาใช้งานได้จริงอีกครั้ง

เด็ก Gen Z อาจไม่คุ้นเคยกับการไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่เด็ก Gen Beta อาจไม่คุ้นเคยถ้าสิ่งนั้นไม่มี AI ในตัวในแบบที่แค่พูดมันก็โต้ตอบทำตามคำสั่งได้ อาจสงสัยขนาดว่าเม้าส์คืออะไร ทำไมแค่บอกแล้วไม่ทำ ทำไมเราต้องเป็นคนพิมพ์สั่ง หรือพยายามคลิ๊กบอกให้มันทำแบบคนรุ่นเรา

ในคนยุคนี้คำว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” น่าจะเป็นจริงได้แล้ว เมื่อเทคโนโลยีรอบตัวพร้อมทำทุกสิ่งที่เราคิดให้เป็นจริงได้ ที่เหลือคือวัดกันว่าใครมีจินตนาการหรือตั้งคำถามได้ดีกว่ากัน เราจะสามารถสร้างโลก Metaverse ได้ไม่รู้จบจากการสั่งให้ Generative AI ทำจากปากของเหล่า Beta ครับ

Data Privacy & Cyber Security

ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จะใส่ใจกับเรื่อง Privacy ตั้งแต่เด็ก เพราะในยุคของ Alpha นั้นกฏหมายเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจะเริ่มถูกบังคับใช้มากขึ้น พ่อแม่จะหยุดโพสรูปหรือข้อมูลใดๆ ของลูกลงบนโซเชียลมีเดียจากความเข้าใจในเรื่อง Privacy Literacy ที่มากขึ้นตามกาลเวลา ดังนั้นแพลตฟอร์มใดก็ตามที่เจนเบต้าใช้จะต้องยกเรื่อง Cyber Security และ Privacy เป็นอันดับต้นๆ

จะไม่มียุคดาต้ารั่วไหลแล้วไม่มีใครรับผิดชอบแค่ผ่านๆ อีกต่อไป

The Age of Metropolis

คาดการณ์ว่าในปี 2050 ประชากรโลกกว่า 2 ใน 3 หรือ 68% จะอาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวงทั่วโลกอย่างหนาแน่น และในเวลานั้นชาว Gen Beta ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงอายุ 25 ปีหรือวัยทำงานมาสักระยะแล้ว ดังนั้นเมืองต้องออกแบบให้ตอบรับความหนาแน่นของประชากรในแบบที่คาดไม่ถึง

คนจำนวนมากจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและสงบสุขได้อย่างไร จะมีสิ่งอำนวจความสะดวกแบบไหนบ้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ชีวิตคนส่วนใหญ่สะดวกสบายและเท่าเทียมมากกว่านี้

Be The Hope

เด็กเจนนี้จะเกิดมาพร้อมกับวิกฤตโลกรอบด้าน ทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง ไปจนถึงภาวะโลกร้อน แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็น่าจะมีความหวังที่จะแก้ไขให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นกว่าคนเจนก่อนจากความพร้อมของเทคโนโลยีรอบตัวที่ทำให้การคิดเป็นจริงได้ง่ายกว่าเดิมมาก

ดังนั้นไม่ว่าจะปัญหาใดก็น่าจะถูกแก้ได้ในเจนนี้ พวกเขาจะกลายเป็นเจนที่แบกความหวังของคนทั้งโลกไว้มากที่สุด นี่อาจจะเป็นยุคของ Utopia ที่มนุษย์เราใฝ่หาและใฝ่ฝันถึงมานาน

Gen Z The Parent

เนื่องจากพ่อแม่ของกลุ่ม Generation BETA ก็หนีไม่พ้นที่จะเป็น Gen Z แน่นอน ดังนั้นเมื่อ Gen Z​ กลายไปเป็นผู้ปกครองในปีหน้าพวกเขาก็จะเริ่มมีทัศนคติกับการออนไลน์ที่ลดน้อยลงกว่าพ่อแม่เจนก่อน ที่กล้าเลี้ยงลูกด้วย iPad หรือ YouTube

อาจก่อให้เกิดธุรกิจประเภท Physical สำหรับการเล่นและทำกิจกรรมกลางแจ้งสำหรับคนกลุ่มนี้มากขึ้น เมื่ออินเทอร์เน็ตกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่การได้ทำกิจกรรมแบบคนยุคก่อนอาจกลายเป็นสิ่งหรูหราที่ตั้งใช้ทั้งเวลา การเดินทาง และสถานที่ถึงจะออกกำลังกายได้

สรุป Generation BETA Consumer Insight 2025

ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดนี้เป็นแค่การณ์คาดการณ์ล่วงหน้าจากสิ่งที่มันเป็นอยู่และก็น่าจะเป็นหลังจากนี้ เมื่อดูจากบริบทโดยรอบเราจะเห็นอัตราการเกิดที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ และก็คาดว่าจะต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุดในเร็ววัน

เราเห็นเทรนด์การกลับมากระจุกเข้าสู่เมืองหลวงอีกครั้ง เราเห็นการเกิดขึ้นของ AI ที่แสนฉลาดจนมันน่าจะสามารถทำสิ่งต่างๆ รอบตัว 90% ด้วยตัวเอง เช่นการเดินทางด้วยรถยนต์ขับเองได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หรือการนำ Generative AI มาใช้กับงานทุกด้านรอบตัวจนไม่จำเป็นต้องมีเม้าส์และคีย์บอร์ดอีกต่อไป

และนั่นก็จะยกระดับความสามารถของเจนเบต้าให้สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เคยเป็นแค่จินตนาการของคนเจนเก่าขึ้นมาเป็นจริงได้ในอีกไม่กี่สิบปีนับจากนี้

สรุป 6 Generation Consumer Insight 2025: Baby Boomer, Gen X, Gen Y หรือ Millennials, Gen Z, Alpha และ Beta

ปีนี้เป็นปีแรกที่นักการตลาดอย่างเราได้รู้จัก Consumer Generation ใหม่อย่าง Generation Beta พวกเขากำลังจะเกิดในปี 2025 เป็นปีแรก ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเพราะโลกกำลังอยู่ในช่วงก้าวกระโดดเข้าสู่ยุค Generative AI อย่างเต็มที่ บวกกับการเข้ามาของระบบ Automation ต่างๆ ที่จะยกระดับการใช้ชีวิตเราทุกด้านไปอีกมาก

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นแค่แนวทางให้คุณได้พอเข้าใจภาพกว้าง สำคัญสุดของการทำการตลาดคือคุณต้องเอา Customer Data ที่มีมา Analytics เพื่อทำ Segmentation แยกย่อยข้างในออกมา

จากนั้นก็ไปทำความเข้าใจ Consumer Insight 2025 แต่ละ Segment ให้ดีว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เพื่อจะได้เอาไปใช้กำหนดเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แม่นยำในระดับ Personalization นับจากนี้

ขอบคุณรายงานดีๆ จากทาง TCDC มาก ถ้าสนใจสามารถดาวน์โหลดตัวเต็มได้จากลิงก์นี้ครับ >> https://www.tcdc.or.th/th/all/service/resource-center/e-book/34560-Trend_2025

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *