แม้ตัวเลขนี้จะไม่มากเท่ากับกลุ่ม Gen X แต่ก็ถือว่าเป็นกลุ่มลุกค้าที่ปรับตัวเข้ากับการช้อปปิ้งออนไลน์ได้อย่างดีมาก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
พวกเขาจะกลายเป็น Super Consumer ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จากจำนวนที่มากขึ้นและอยู่ได้อีกนาน แล้วไหนจะเงินทองที่สะสมเก็บมาตลอดชีวิต
แบรนด์ที่อยากไปต่อหา New S Curve ใหม่ได้หลังจากนี้ต้องรีบปรับสินค้าหรือบริการให้เข้ากับเงื่อนไขทางสภาพร่างกายของพวกเขา แต่ไม่ใช่กับสภาพจิตใจเพราะต้องบอกว่าบูมเมอร์นั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งมากจากการผ่านร้อนหนาวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
Gen X Becoming Premium Purchaser จากนักประหยัด สู่ผู้ฉลาดในการใช้เงิน
หลายปีก่อนหน้าเรามักบอกว่า Gen X เป็นกลุ่มคนที่ใช้เงินค่อนข้างประหยัดมาก คิดหน้าคิดหลังก่อนใช้เงินทุกครั้ง เพราะพวกเขาต้องดูแลทั้งคนข้างหน้าและคนข้างหลังไปพร้อมกัน นั่นก็คือทั้ง Boomer ที่เป็นพ่อแม่ผู้แก่ชราของพวกเขา และ Gen Z ที่เป็นลูกๆ ของพวกเขาในเวลาเดียวกัน
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ Gen X จะกล้าใช้เงินกับของฟุ่มเฟือยมากขึ้น ขยับจากการจับจ่ายที่คุ้มค่าไปสู่สินค้ากลุ่มพรีเมียมเพิ่มขึ้นเป็นอันดับต้นๆ
แต่ความน่าสนใจคือ Gen X เป็นกลุ่มคนที่ชอบระบบสมาชิกสะสมแต้มหรือ Loyalty Program เป็นอันดับต้นๆ ดังนั้นนักการตลาดคนไหนที่มีกลุ่ม Gen X เป็นเป้าหมายหลักลองศึกษาเรื่อง CRM หรือ Customer Relationship Marketing จาก CRM Canvas ของการตลาดวันละตอนเพิ่มดูนะครับ
แม้เหล่า Gen X อาจไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่ากับคนรุ่นใหม่ แต่ความเก่งกาจของพวกเขาที่หาได้ยากคือความสามารถในการรับมือเรื่องปวดหัวในที่ทำงาน ตั้งแต่การเหยียดอายุว่าแก่เกินจะรับผิดชอบไหวหรือเปล่า (เทียบกับ Boomer ที่ Sensitive กว่ามาก) หรืออาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่า ไม่ว่าจะ AI หรือ Automation
แต่ Gen X ปรับตัวได้เก่งกับทุกสถานการณ์เพระาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก สามารถพาคนทุกเจนที่แตกต่างหลากหลายในที่ทำงานให้ร่วมงานกันได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะในด้านหนึ่งพวกเขาคือ Manager หรือ Management ในที่ทำงานส่วนใหญ่ ที่ต้องอาศัยทุกคนสร้างผลงานให้นั่นเอง
และอย่าลืมว่า Gen X นี่แหละที่เป็นคนกลุ่มแรกที่ต้องปรับตัวรับมือกับทุก Tech Wave ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา
เริ่มตั้งแต่ยุคคอมพิวเตอร์ปี 90 ยุค Internet ดอทคอม ปี 2000 ยุค Social Media & Smartphone ปี 2010 ยุค Data & AI หรือ Digital Transformation ปี 2020 ยังไม่พูดถึงยุค AI Become Assistant Intelligence นับจากนี้ถึงปี 2030 ครับ
คุณพอเห็นความสามารถในการปรับตัวของ Gen X แล้วใช่มั้ยครับว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมามากกว่าที่เราคิด แม้ความคล่องตัวในเครื่องมือใหม่ๆ อาจไม่สู้คนรุ่นใหม่ แต่ที่เป็นไม้เด็ดของพวกเขาคือประสบการณ์ที่นำไปสู่ความสามารถในการตัดสินใจและนำพาทีมให้รอดต่อไปได้
Beauty Like Gen X สวยสง่าในแบบสาววัยกลางคน
แม้ Gen X วันนี้จะอายุ 45+ ขึ้นไปแล้ว แต่แน่นอนว่าพวกเขายังไม่แก่ และก็ไม่มีทางที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่ชราได้โดยง่าย และนั่นก็สะท้อนถึงยอดขายสินค้ากลุ่มความสวยความงามในตลาดผู้หญิงวัยกลางคนที่โตวันโตคืนขึ้นทุกวัน
พวกเขาคือกลุ่มวัยกลางคนที่เราอาจแบ่งเป็น Silver Age มาจากสีผมที่หงอกเต็มหัว กับกลุ่ม Menopause Segment คนที่เริ่มหมดประจำเดือนหรือฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
พวกเขามีความต้องการในสินค้าที่แตกต่างออกไปจากสมัยเป็นผู้ใหญ่วัย 30 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการสินค้าประเภท Beauty & Personal Care ที่เข้าใจสภาพผิวหรือร่างกายและจิตใจที่เปลี่ยนไปอย่างมาก
3. Gen Y (Millennials) Insight 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 1980-1995
Gen Y หรือ Millennials หรือคนที่เคยถูกนิยามว่าเป็น Gen Me ก่อหน้า คนกลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 30-45 ปี จากวัยรุ่นในวันวานวันนี้พวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแถมยังกำลังก้าวเข้าสู่ช่วง Mid-Life Crisis ที่ถูกปรับนิยามใหม่เป็น Tri-Life Crisis หรือวิกฤตชีวิตในช่วงวัยเลข 3 ครับ
หัวข้อเหมือนกันแต่บริบทมีความต่างกันพอควร กับ Gen X ก่อนหน้าที่บอกว่าพวกเขาต้องการความสุขเล็กๆ ในแต่ละวันแทนที่ความสุขจากเป้าหมายใหญ่ๆ นั่นก็เพราะ Gen X ล้วนได้ทุกอย่างที่ฝันครบหมดแล้ว ก็เลยไม่รู้จะไปใหญ่กว่านั้นอีกทำไม
แต่กับ Gen Y นั่นไม่ใช่ เพราะมีฝันมากมายที่พวกเขายังไม่สำเร็จ ดังนั้นแบรนด์ต้องหาทางทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันบ่อยครั้งขึ้น เช่น ให้ Gift Voucher สักหน่อยในเดือนเกิด หรือให้ของขวัญพิเศษเมื่ออายุเข้าเลข 3 เป็นการฉลองแทนการกลัวความแก่แทน
เราจะเห็นเทคโนโลยีการติดตามการนอนของเราที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ อย่าง Apple Watch ตัวใหม่ก็เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ไปจนถึงที่นอนล้ำสมัยที่มีเทคโนโลยี AI ในตัวก็กำลังจะเปิดวางขายในประเทศไทยปี 2025 นี้ครับ
Live in Blue Zone หลบหนีจากเมืองหลวงไปอยู่เมืองที่ยังธรรมชาติ
Blue Zone เป็นคำใหม่ที่ผมเพิ่งเคยเห็นจากรายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 ฉบับนี้ เมื่อถาม ChatGPT จึงเข้าใจว่ามันคือคำอธิบายพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ผู้คนในแถบนั้นอายุยืนและมีสุขภาพดีกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
ตัวอย่างพื้นที่หรือเหมืองที่เป็น Blue Zone คือซาร์ดิเนียในประเทศอิตาลี ที่เต็มไปด้วยคนสูงวัยสุขภาพดีเยอะมาก หรือ โอกินาวาในประเทศญีปุ่น ที่มีผู้หญิงอายุยืนเยอะที่สุดในโลก
และก็ดูเหมือนคนเจนวายกลุ่มหนึ่งที่ต้องการหลบหนีจากเมืองแสนวุ่นวายไปอาศัยและใช้ชีวิตในพื้นที่ Blue Zone เหล่านี้ หรือจะเรียกว่าเป็นพื้นที่ใหม่ของเหล่า Digital Nomad Gen Y ก็ไม่ผิดนักครับ
เมื่อพวกเขาหันมาสนใจกับการใช้ชีวิตแบบ Work Life Relax ทำงานบ้างแต่เน้นการออกกำลังกาย การได้นอนหลับเต็มอิ่มแบบไม่มีอะไรกวนใจ เมื่อเงินเริ่มไม่ใช่เป้าหมายหลักของเจนวายบางกลุ่ม ที่เริ่มตั้งเป้าหมายเป็นเราจะมีชีวิตที่ดีในแบบที่ตัวเองชอบได้อย่างไรครับ
และสำหรับเจนวายที่ไม่สามารถออกจากชีวิตจริงไปใช้ชีวิตในฝันตาม Blue Zone ได้ ก็จะเลือกเก็บเงินไปเที่ยวในประเทศเหล่านั้นเพิ่มขึ้น และนั่นก็ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเจนวายวัยกลางคนจำนวนมาก ที่ต้องการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เนิบช้า อยู่และกินกับธรรมชาติแบบคนโอกินาวาญี่ปุ่นจริงๆ
Generation MZ คือมาจากส่วนผสมระหว่าง Millennials กับ Gen Z ที่จับมามัดรวมกันเพราะก็มีความคล้ายกันมากอยู่ เจนนี้มีจุดกำเนิดที่เกาหลีใต้ที่แบรนด์ต่างๆ จับมาเป็นเป้าหมายหลัก เพราะถ้าจะ Millennials อย่างเดียวก็จะดูอายุเยอะเกินไป แต่ถ้าจะเอาแค่ Gen Z ก็ดูจะอายุน้อยไป พวกเขาเลยจับเอาสองเจนมารวมกันนั่นก็คือกลุ่มคนที่ยังอายุไม่มากและมีกำลังซื้อไม่น้อย กลายเป็นเป้าหมายหลักทางการตลาดของหลายแบรนด์ในเกาหลีทุกวันนี้
BNPL Buy Now Pay Later นวัตกรรมทางการเงินที่ทำให้เจนวายเป็นหนี้ง่ายขึ้นมาก
BNPL หรือ Buy Now Pay Later อารมณ์ก็คล้ายๆ การผ่อนบัตรเครดิตแต่เป็นการผ่อนกับแอปต่างๆ แทน ทำให้เจนวายหลายคนที่อาจไม่พร้อมเรื่องการเงินก็สามารถผ่อนของที่ต้องการมาก่อนได้
BNPL มาจาก Digital Wallet ที่เก็บดาต้าการใช้เงินของเราเอาไปปล่อยสินเชื่อให้เราได้กู้ซื้อสินค้าที่ต้องการแทนธนาคารหรือบัตรเครดิตแบบเดิมๆ
4. Gen Z Insight 2025 เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคที่เกิดในช่วงปี 1996-2011
Gen Z หรือกลุ่มคนที่กำลังอยู่ในช่วงอายุ 14-29 ปี จะเรียกว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น วัยเริ่มต้นทำงาน ไปจนถึงวัยเริ่มเข้าสู่ Senior หรือ Manager ในที่ทำงานก็ว่าได้ ตัวผมเองเคยพูดถึงเรื่องนี้ในงาน CTC2023 ไป เพราะคนกลุ่มนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักการตลาดทั่วโลกอย่างมาก เนื่องจากจำนวนที่มีมหาศาล บวกกับความสามารถในการซื้อไปจนถึงการหาเงินที่สูงกว่าคนเจนก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ
JOLO จุดกึ่งกลางระหว่าง FOMO กับ JOMO
จากเทรนด์การ FOMO Fear of Mission Out สำหรับกลุ่ม Gen Y ตอนต้นยุคโซเชียล มาสู่เทรนด์ JOMO Joy of Mission Out หรือช่างๆ มันบ้างก็ได้ ไม่ต้องบ้าโซเชียลนักหรอกเมื่อไม่กี่ปีก่อน และในวันนี้สำหรับ Gen Y พวกเขาก็มีนิยามคำใหม่นั่นก็คือ JOLO ที่มาจากคำว่า Joy of Logging Off
Joy of Logging Off อยู่ระหว่าง FOMO และ JOMO จะเรียกว่าเป็นการออนไลน์แบบทางสายกลางก็ไม่ผิดนัก นั่นก็คือไม่ได้รังเกียจการแอนตี้การออนไลน์การโซเชียล แต่ก็ไม่ได้ติดขนาดว่าจะพลาดอะไรไม่ได้เลย
ดังนั้นมันคือการเลือกที่จะ Logout หรือ Log off ออกจากโซเชียลบ้างตามช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือตัวเองต้องการ ถ้าต้องเล่นก็จะเล่น แต่ถ้ารู้สึกพอหรือไม่อยากเล่นก็จะหยุด จะเรียกว่าเป็น Digital Literacy ที่ฉลาดแบบคนรุ่นใหม่ก็ว่าได้ในมุมมองผม และหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเทรนด์ JOLO นี้ก็คือภาวะความเหงาความโดดเดี่ยวจากการใช้เวลากับโซเชียลมีเดียหรือออนไลน์นานเกิน
เป็นเจนที่ลำบากในการหางานมาก เพราะคนกลุ่มนี้เรียนจบในช่วงโควิดทำให้การหางานยากลำบากกว่าคนเจนก่อนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จนรายงานเจาะเทรนด์โลก 2025 ใช้คำว่าพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหา First Job Crisis
เพราะบริษัทต่างๆ เลือกระงับการจ้างคนใหม่กันถ้วนหน้า และถ้าจำเป็นต้องเอาคนออกก็จะเป็นคนกลุ่มที่เพิ่งจ้างซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ Gen Z นี่แหละออกไปก่อนแทนคนรุ่นเก่าที่อยู่มานาน
ในแง่หนึ่งเข้าใจได้ในทางเศรษฐศาสตร์เพราะการจ้างคนอายุงานน้อยออกจากงานมีค่าใช้จ่ายน้อยสุด เสียค่าชดเชยน้อยสุด แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งที่ผมอยากฝากไว้คือการเก็บคนเก่าที่ทำงานไม่ได้ไว้ต่างหากคือต้นทุนทางธุรกิจที่สูงมาก บางครั้งถ้าคุณจะเป็นต้องคัดคนออก ลองให้โอกาสคนใหม่ วิธีคิดใหม่ เพื่อจะได้เจอกับ New S Curve ใหม่ง่ายกว่าครับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Social Trends ส่วนใหญ่ล้วนเกิดและกระจายจาก Gen Z ทั้งนั้น ส่วนหนึ่งเพราะคนกลุ่มนี้ครองพื้นที่สื่อบน TikTok มากที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างกระแส Y2K ก็มาจากพวกเขา นั่นหมายความว่าถ้าคุณอยากทำให้สินค้าหรือบริการคุณฮิตติดเทรนด์ก็ต้องเข้าหา Gen Z ให้มาก ทำให้พวกเขาอยากหยิบของคุณไปทำคอนเทนต์ได้ง่ายครับ
และนั่นทำให้บรรดาแบรนด์แฟชั่นต่างๆ เลือกที่จะเชิญ Influencer หรือ Creator มานั่งแถวหน้าเวลาจัดงานแฟชั่นโชว์ทุกวันนี้ เพราะทีมการตลาดแบรนด์หรูทั้งหลายรู้ว่าสินค้าคอลเลคชั่นใหม่พวกเขาจะหมดตลาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการทำคอนเทนต์ของเหล่า Influencer Gen Z อย่างมากครับ
เมื่อ Gen Z มีทั้งคนที่ยังเป็นวัยรุ่นหาเงินเองไม่ได้ แต่ก็สามารถหาเงินได้ด้วยการเป็น Content Creator แล้ว ส่วนกลุ่มที่หาเงินเองได้ก็กำลังเผชิญกับปัญหาการหางานยาก
พวกเขามีความเข้าใจในการใช้ Digital และ AI ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองกว่าที่หลายคนคิด เลือกจะออนไลน์แค่จำเป็น และใช้เงินกับ Generative AI หรือ ChatGPT เยอะมาก
สุดท้ายพวกเขาคือผู้นำเทรนด์อย่างปฏิเสธไม่ได้ ถ้าอยากให้สินค้าคุณติดกระแสขายเกลี้ยงตลาด ต้องหมั่นเข้าหา Gen Z ให้ดีเพื่อทำให้พวกเขาอยากพูดถึงหรือเชียร์คุณ
แต่ก็อาจมี Generation Alpha แค่ 50% เท่านั้นที่เรียนจบชั้นมหาวิทยาลัย เพราะพวกเขาอาจย้ายไปทำสายงานอาชีพแทนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากความก้าวหน้าของ AI และ Automation อาจส่งผลให้งานแบบ White Collar จะถูกแทนที่ไปอีกมากนับจากวันนี้ไปถึง 5 ปีข้างหน้า
ดังนั้นงานประเภทสายอาชีพ หรืองานช่าง งานฝีมือ ถือเป็นงานละเอียดอ่อนที่ AI ยังไม่อาจขยับทำได้แบบมนุษย์
ก็มีคำแนะนำว่าแบรนด์ควรอาจต้องคิดแผนกลยุทธ์การตลาดที่จะสร้างงาน สร้างอาชีพไปพร้อมกับพวกเขา อารมณ์เหมือนสมัย Ford เริ่มต้นธุรกิจผลิตด้วยระบบสายพานกับ Ford Model T
จากลูกจ้างกลายเป็นลูกค้า เพราะถ้าพนักงานทุกคนสามารถซื้อรถยนต์ Ford ได้ อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถขายกลับเอามาทำกำไรแล้วเอาส่วนเกินไปขายกับคนทั่วไปที่ไม่ใช่พนักงาน
Alpha โตขึ้นอยากเป็น Creator
ดูเหมือนอาชีพ Creator จะกลายเป็นอาชีพยอดฮิตของเด็กรุ่นใหม่ตั้งแต่สมัย Gen Z มาร่วมสิบปีแล้ว เพราะมันดูเป็นอาชีพที่หวือหวาและทุกคนต่างก็ติดตาม Creator หรือ Influncer ไม่คนใดก็คนหนึ่งอยู่เป็นประจำ
Millennial Parents หรือพ่อแม่เจนวายหลายคนชอบโพสรูปลูกตัวเองลงโซเชียลตลอดเวลา นั่นหมายความว่าคุณกำลังอัปโหลดข้อมูลของลูกคุณไปโดยที่พวกเขายังไม่ได้ยินยอมให้สร้าง Digital Footprint ในวันที่บรรลุนิติภาวะ
เพราะร่องรอย Digital Footprint ในวัยเด็กน้อยวันนั้นอาจย้อนกลับมาเป็นเครื่องมือสำหรับการถูก Bully ในวันหน้า ซึ่งอาจเป็นการสร้างแผลในใจไปจนถึงอาจคิดทำอะไรสั้นๆ จากการกระทำที่ไม่ค่อยยั้งคิดของคนเป็นพ่อแม่ที่ชอบแชร์รูปลูกตัวเองลงโซเชียลมีเดียและเปิด Public มากเกินควรครับ
เจนเบต้าจะเกิดขึ้นมากับเทคโนโลยี AI ที่จะกลายเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลกขึ้นมา พวกเขาจะเกิดมาเจอกับความสะดวกสบายของระบบอัตโนมัติต่างๆ คาดว่าพวกเขาจะเกิดและโตมาในยุครถยนต์ไร้คนขับจนวันหนึ่งอาจถามคนรุ่นเก่าอย่างเราว่า “พวงมาลัยรถยนต์คืออะไร ?” เหมือนกับที่เด็ก Alpha ถามว่า CD Rom และ Gen Z ถามว่าแผ่นดิสก์คืออะไร
คำว่า Metaverse น่าจะเป็นจริงในเจนนี้ พวกเขาจะโตขึ้นมาพร้อมกับอุปกรณ์สมใส่แว่น VR หรือ ER ที่ง่ายกว่า Apple Vision Pro อาจจะเป็น Oculus เวอร์ชั่นใหม่ที่ดีกว่า หรืออาจจะเป็น Google Glass ที่กลับมาใช้งานได้จริงอีกครั้ง
เด็ก Gen Z อาจไม่คุ้นเคยกับการไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่เด็ก Gen Beta อาจไม่คุ้นเคยถ้าสิ่งนั้นไม่มี AI ในตัวในแบบที่แค่พูดมันก็โต้ตอบทำตามคำสั่งได้ อาจสงสัยขนาดว่าเม้าส์คืออะไร ทำไมแค่บอกแล้วไม่ทำ ทำไมเราต้องเป็นคนพิมพ์สั่ง หรือพยายามคลิ๊กบอกให้มันทำแบบคนรุ่นเรา
เนื่องจากพ่อแม่ของกลุ่ม Generation BETA ก็หนีไม่พ้นที่จะเป็น Gen Z แน่นอน ดังนั้นเมื่อ Gen Z กลายไปเป็นผู้ปกครองในปีหน้าพวกเขาก็จะเริ่มมีทัศนคติกับการออนไลน์ที่ลดน้อยลงกว่าพ่อแม่เจนก่อน ที่กล้าเลี้ยงลูกด้วย iPad หรือ YouTube