ในโลกการตลาดที่หมุนเร็วจนเราแทบตามไม่ทัน การใช้กลยุทธ์แบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตได้อีกต่อไปแล้ว ปี 2025 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค เทคโนโลยี และภูมิทัศน์ของสื่อที่ซับซ้อนขึ้นอย่างมาก เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ทาง Kantar บริษัทวิจัยข้อมูลชั้นนำระดับโลก ได้สรุป 10 Marketing Trends 2025-2026 สำคัญที่แบรนด์ต้องจับตามอง
และบทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกในแต่ละเทรนด์ เพื่อให้ไม่ตกขบวนและสามารถกลายเป็นแบรนด์หัวแถวที่แข่งขันในสนามของธุรกิจได้ เรามาติดตามไปพร้อมกันเลยครับ
Trend 1: The Voyage to Total Video การเดินทางสู่ยุควิดีโอเต็มรูปแบบ
มาเริ่มต้นกันที่เทรนด์แรก ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่าง ‘ทีวีแบบยุคเก่า’ กับ ‘ทีวีสตรีมมิ่ง’ ผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ แทบจะไม่ต่างกันในสายตาของผู้ชมอีกต่อไปแล้ว เพราะสำหรับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์บนจอใหญ่ที่บ้านก็คือเรื่องเดียวกัน โดยไม่สนใจว่าสัญญาณจะมาจากช่องทางไหน ปรากฏการณ์นี้ได้สร้างภูมิทัศน์สื่อที่ซับซ้อนมากขึ้น (Fragmented Media Landscape) ซึ่งพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้คนจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และภูมิศาสตร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตัวเลขที่น่าสนใจ
50% ของผู้ชมทีวีระบุว่า การดูทีวีส่วนใหญ่มาจากการสตรีมมิ่ง
นักการตลาด 55% ทั่วโลกวางแผนจะ “เพิ่ม” งบในฝั่ง TV Streaming ในปี 2025
ในขณะที่นักการตลาด 8% วางแผนจะ “ลด” งบในฝั่งทีวีดั้งเดิม (Kantar Media Reactions 2024)
ดังนั้น ความท้าทายสำคัญของแบรนด์จึงไม่ใช่การเลือกว่าจะทุ่มงบไปที่ช่องทางไหน แต่คือการทลายกำแพงความคิดที่แยกงบทีวีและออนไลน์ออกจากกัน การวางแผนแบบเดิม ๆ ที่เน้นช่องทางเดียวไม่สามารถเข้าถึงคนหมู่มาก (Mass Reach) ได้อีกต่อไป
หัวใจสำคัญคือการมองภาพรวมเป็น ‘กลยุทธ์สำหรับทุกหน้าจอ’ (Screen Strategy) และค้นหาส่วนผสมของวิดีโอที่ลงตัวที่สุด (The Right Video Mix) ผ่านการใช้ข้อมูลและการทดสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าแบรนด์จะสามารถปรากฏตัวบนทุกหน้าจอที่กลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ครับ
เรียกได้ว่าผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในปัจจุบันเริ่มมีภาวะ “ดื้อโฆษณา” หรือที่เรียกว่า “ตาบอดต่อแบนเนอร์” (Ad Blindness) กันอย่างชัดเจน ผู้บริโภคยุคนี้คุ้นชินกับการไถฟีดที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์มากมายจนสมองรับไม่ไหว แล้วก็เผลอเลื่อนผ่านโฆษณาทั่วไปทิ้งไปโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้การ “ดึงดูดความสนใจ” ของผู้บริโภคถูกยกระดับให้สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้นกับคนทุกเจเนอเรชัน ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่เท่านั้นครับ
ตัวเลขที่น่าสนใจ
เพียง 31% ของผู้คนทั่วโลกรู้สึกว่าโฆษณาบนโซเชียลมีเดียสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ ซึ่งตัวเลขนี้ลดลงมาจากตัวเลขปีก่อนหน้าที่ 43% (Kantar Media Reactions 2024)
อารมณ์ขัน (Humour) คือสิ่งที่ดึงดูด Gen X และ Boomers ได้ดีที่สุด ในขณะที่ Gen Z ตอบสนองต่อ ดนตรี (Music) ได้ดีกว่า
ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า การสร้างสรรค์โฆษณาตามสูตรสำเร็จเดิม ๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เม็ดเงินที่ลงทุนไปอาจสูญเปล่าเพราะไม่สามารถแม้แต่จะหยุดนิ้วโป้งของผู้ชมได้ หากแบรนด์ไม่สามารถดึงความสนใจแรกเริ่มได้ ข้อความที่อยากจะสื่อสารก็ย่อมไปไม่ถึงผู้รับสารเช่นกัน
ดังนั้น แบรนด์ต้องเปลี่ยนเกมจากการทำคอนเทนต์ที่แค่ “เหมาะสมกับแพลตฟอร์ม” ไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่ “โดดเด่นและแตกต่างอย่างมีศิลปะ” (Creatively Distinctive) เป้าหมายไม่ใช่การทำตัวให้กลมกลืน แต่คือการทำตัวให้โดดเด่นจนต้องหยุดมอง และต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งว่าอะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนความสนใจของกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ นั่นเองครับ
Trend 3: The Trust Imperative in the AI Era ความปลอดภัยต้องมาก่อน เมื่อ Generative AI เข้ามามีบทบาท
ต้องบอกว่ากระแสเกี่ยวกับ Generative AI กำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงที่ต้องมองความเป็นจริงมากขึ้น การพูดถึงประเด็นนี้ในแวดวงการตลาดได้เปลี่ยนจากคำถามที่ว่า “AI ทำอะไรได้บ้าง?” ไปสู่คำถามที่สำคัญกว่าอย่าง “เราจะใช้ AI อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบได้อย่างไร?” แบรนด์และนักการตลาดเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านความน่าเชื่อถือของข้อมูล, ประเด็นลิขสิทธิ์ และที่สำคัญคือความรู้สึกของผู้บริโภค
ตัวเลขที่น่าสนใจ
68% ของนักการตลาดมอง Generative AI ในแง่บวก และตื่นเต้นกับศักยภาพของมัน
แต่ 43% ของผู้บริโภคกลับระบุว่าพวกเขา “ไม่ไว้วางใจ” โฆษณาที่สร้างโดย AI
ขณะที่ 36% ของนักการตลาดเองก็ยอมรับว่าทีมของตนยัง “ขาดทักษะ” ที่จำเป็นในการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง “ช่องว่างแห่งความไว้วางใจ” (Trust Gap) ที่เป็นความท้าทายครั้งสำคัญของธุรกิจ การรีบนำ AI มาใช้โดยไม่รอบคอบอาจส่งผลเสียย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้
ดังนั้น การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ที่ต้องทำทันทีคือการเปลี่ยนจากช่วง “ทดลองใช้” ไปสู่การ “มาตรฐานความปลอดภัย” ในการใช้ AI ซึ่งหัวใจหลักคือการให้ความสำคัญสูงสุดกับ “ที่มาของข้อมูล” (Data Provenance) ที่ต้องเชื่อถือได้และมีจริยธรรม ควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาทักษะให้ทีม เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ AI ทุกครั้งจะช่วยส่งเสริมความไว้วางใจของลูกค้า ไม่ใช่การทำลายความเชื่อใจนั้นลงครับ
Trend 4: Sustainability and marketing must merge ความยั่งยืนและการตลาดต้องหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกัน
เรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ได้เดินทางมาถึงจุดที่กลายเป็นองค์ประกอบหลักของธุรกิจอย่างเต็มตัว ไม่ใช่แค่กิจกรรม CSR หรือเรื่องภาพลักษณ์อีกต่อไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกขับเคลื่อนจากสองทิศทางพร้อมกัน คือนโยบายด้าน ESG จากภาครัฐที่เข้มข้นขึ้น และพลังจากฝั่งผู้บริโภคที่ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจโลกอย่างจริงจัง ทำให้ความคาดหวังต่อการลงมือทำจริงของแบรนด์สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ตัวเลขที่น่าสนใจ
93% ของผู้บริโภคทั่วโลกต้องการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น
ความยั่งยืนสามารถสร้างมูลค่าให้กับ 100 แบรนด์ชั้นนำของโลกไปแล้วถึง $193 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (Kantar BrandZ)
94% ของนักการตลาดทั่วโลกยอมรับว่าวาระด้านความยั่งยืนขององค์กรตนเอง ต้องจริงจังและทมีความตั้งใจมากกว่านี้
ข้อมูลเหล่านี้บอกกับคนทำธุรกิจว่า การมองข้ามเรื่องความยั่งยืน คือความเสี่ยงที่จะสูญเสียทั้ง “ความน่าเชื่อถือ” และ “โอกาสทางการเงิน” การทำเรื่องนี้แบบผิวเผินจะถูกมองว่าเป็นการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) ซึ่งสามารถทำลายความไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ได้ในทันที
ดังนั้น กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดคือการ การที่ประเด็นความยั่งยืนต้องไม่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ต้องถูกกำหนดเป็นวาระของทั้งองค์กร จากนั้นบทบาทของนักการตลาดจะเปลี่ยนไปสู่การเป็น “ผู้เล่าเรื่อง” ที่ต้องค้นหาความเชื่อมโยงที่แท้จริงระหว่างการดำเนินงานขององค์กรกับคุณค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับ เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น “ต้นทุน” ให้กลายเป็น “เครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโต” ที่ทรงพลังครับ
Trend 5: Brands tap into creator communities แบรนด์ต้องเข้าไปอยู่ในชุมชนของเหล่าครีเอเตอร์
พลังในการสร้างและขับเคลื่อนชุมชน (Community) กำลังย้ายจากมือของ “แบรนด์” ไปสู่มือของ “ครีเอเตอร์” อย่างชัดเจน ในปัจจุบัน ครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้กลายเป็นศูนย์กลางที่รวบรวมผู้คนที่มีความสนใจเดียวกัน ก่อเกิดเป็นชุมชนที่เหนียวแน่นและไว้วางใจกันมาก พวกเขาไม่ใช่แค่คนทำคอนเทนต์ แต่กลายเป็นผู้นำทางความคิดที่ผู้ติดตามเชื่อมั่นเหมือนเพื่อนหรือคนในครอบครัวเลยทีเดียวครับ
ตัวเลขที่น่าสนใจ
$480 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คือมูลค่าคาดการณ์ของเศรษฐกิจครีเอเตอร์ (Creator Economy) ในปี 2027 (Goldman Sachs)
คอนเทนต์ที่นำโดยครีเอเตอร์สามารถสร้างความโดดเด่นให้แบรนด์ (Brand Distinction) ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 4.85 เท่า (Kantar’s Creator Digest)
ตัวเลขแสดงให้เห็นว่า การตลาดแบบดั้งเดิมที่แบรนด์เป็นผู้ส่งสารฝ่ายเดียวกำลังมีประสิทธิภาพลดลง ธุรกิจที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนของเหล่าครีเอเตอร์กำลังเสี่ยงที่จะถูกตัดขาดออกจากบทสนทนาที่จริงใจและมีอิทธิพล
ดังนั้น การปรับตัวของแบรนด์คือการ เปลี่ยนมุมมองจาก “การจ้างอินฟลูเอนเซอร์” ไปสู่ “การสร้างพันธมิตรกับครีเอเตอร์” หัวใจสำคัญไม่ใช่การซื้อพื้นที่โฆษณา แต่คือการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง (Collaboration) โดยให้อิสระแก่ครีเอเตอร์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในสไตล์ของตัวเองเพื่อรักษา “ความจริงใจ” เอาไว้ เป้าหมายจึงไม่ใช่แค่การ “ซื้อการเข้าถึง” แต่เป็นการ “ยืมความไว้วางใจ” และร่วมสร้างคุณค่ากับชุมชนนั้น ๆ ครับ
Trend 6: The Inclusion Imperative ความหลากหลายคือโอกาสในการเติบโต
ประเด็นเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียม (Diversity and Inclusion) ได้ก้าวข้ามจากการเป็นแค่เรื่องทางสังคมหรือการสร้างภาพลักษณ์ ไปสู่การเป็น “กลไกขับเคลื่อนการเติบโต” ทางธุรกิจที่สำคัญมากขึ้น ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และผู้คนในตลาดเกิดใหม่ กำลังใช้ประเด็นนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกสนับสนุนแบรนด์ครับ
ตัวเลขที่น่าสนใจ
ผู้คนเกือบ 8 ใน 10 คนทั่วโลก ระบุว่าความพยายามด้านความหลากหลายและความเท่าเทียมของแบรนด์ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขา
ประเด็นนี้มีความสำคัญมากสำหรับ Gen Z, Millennials, และกลุ่ม LGBTQ+
89% ของผู้คนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Economies) ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เทียบกับ 71% ในตลาดที่พัฒนาแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ผลกระทบต่อธุรกิจที่มองข้ามเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การถูกวิจารณ์ แต่คือการ “สูญเสียลูกค้า” และ “เสียโอกาสในการเติบโต” อย่างมหาศาล
ดังนั้น การปรับตัวของแบรนด์คือการ ฝังความเท่าเทียมและความหลากหลายให้กลายเป็น DNA ของแบรนด์ ไม่ใช่แค่การทำแคมเปญบางครั้งบางคราว มันต้องสะท้อนออกมาอย่างจริงใจในทุกมิติของธุรกิจ ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการสื่อสารการตลาด
เป้าหมายสูงสุดต้องไม่ใช่แค่การมี “ตัวแทน” ของความหลากหลายในโฆษณา แต่คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผู้คนจากทุกพื้นเพรู้สึกว่าแบรนด์นี้ “มองเห็น” “เข้าใจ” และ “สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มาเพื่อพวกเขา” อย่างจริงใจครับ
Trend 7: The puzzle of slowing population growth การเติบโตของประชากรที่ชะลอตัว
ในอดีต การเติบโตของเศรษฐกิจมักได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของประชากร แต่ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับภาวะที่อัตราการเกิดใหม่ชะลอตัวลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หมายความว่าจำนวน “ผู้ซื้อหน้าใหม่” ที่จะเข้ามาในตลาดนั้นลดน้อยลงทุกปี ประกอบกับพฤติกรรมทางสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น การแต่งงานช้าลง หรือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ปัจจัยเหล่านี้กำลังทำให้ตลาดโดยรวมเติบโตได้ยากขึ้น
ตัวเลขที่น่าสนใจ
อัตราการเติบโตของประชากรโลกในปัจจุบันอยู่ที่ ต่ำกว่า 1% ต่อปี
แบรนด์ต่างๆ มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ มากกว่าถึง 5 เท่า หากหมวดหมู่สินค้าของตนเองกำลังเติบโต (Kantar Worldpanel) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเมื่อตลาดไม่โต แบรนด์จะโตได้ยากขึ้นมาก
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า การเติบโตของธุรกิจที่มาจากการขยายตัวของประชากรกำลังจะหมดไป ธุรกิจไม่สามารถหวังพึ่งให้ตลาดใหญ่ขึ้นมาช่วยพยุงยอดขายได้อีกต่อไป การเติบโตจะกลายเป็นเกมที่ต้อง “แย่งชิงส่วนแบ่งตลาด” จากคู่แข่งเป็นหลัก
ดังนั้น การปรับตัวที่สำคัญคือการเปลี่ยนจาก “การเติบโตแบบตั้งรับ” ไปสู่ “การสร้างการเติบโตเชิงรุก” (Proactive Growth Hacking) ในเมื่อพึ่งพาการเติบโตของตลาดไม่ได้ แบรนด์ก็ต้องสร้างการเติบโตของตนเองขึ้นมา ผ่านการหาพื้นที่ใหม่ ๆ (Find New Space) ด้วยการทำให้แบรนด์ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยขึ้นและการสร้างความรู้สึกโน้มเอียงให้คนหันมาเลือกแบรนด์ของเราแทนคู่แข่งครับ
Trend 8: Stretching the limits of innovation พานวัตกรรมไปให้ไกลกว่าเดิม
แบรนด์ขนาดใหญ่ที่เติบโตจนแข็งแกร่งในตลาดของตัวเองแล้ว มักจะพบกับทางตันในการเติบโตในอุตสาหกรรมเดิม เพื่อหาหนทางใหม่ ๆ แบรนด์เหล่านี้จึงเริ่มใช้กลยุทธ์ “ขยายนวัตกรรม” (Brand Stretching) คือการนำความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของแบรนด์ข้ามไปยังหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่อาจดูไม่เกี่ยวข้องกันเลย เช่น Oreo ที่ขยายไลน์ไปสู่ไอศกรีม หรือ Samsung ที่ทดลองเปิดร้านสะดวกซื้อ
ตัวเลขที่น่าสนใจ
แบรนด์ที่สามารถ “ค้นหาพื้นที่ใหม่ ๆ” ได้สำเร็จ มีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่าแบรนด์อื่นถึง 2 เท่า (Kantar’s Blueprint for Brand Growth)
เรียกได้นี่คือโอกาสสำหรับแบรนด์ที่มีความพร้อมไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคโนโลยี หรือบุคลากร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความเสี่ยงที่คู่แข่งอาจมาจากอุตสาหกรรมที่เราคาดไม่ถึงเลยก็ได้
ดังนั้น การปรับตัวสำหรับแบรนด์ที่เติบโตเต็มที่แล้วคือ การทบทวนและจินตนาการ “เป้าหมาย” ของแบรนด์ขึ้นมาใหม่ ให้กว้างกว่าขอบเขตของผลิตภัณฑ์เดิม ๆ แบรนด์ต้องตั้งคำถามว่า “ด้วยความน่าเชื่อถือที่เรามี เราสามารถเป็นอะไรให้ผู้บริโภคได้อีกบ้าง?” หัวใจสำคัญคือการเข้าใจจุดแข็งของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง และมองหาพื้นที่ใหม่ ๆ ที่แบรนด์สามารถเข้าไปสร้างคุณค่าได้อย่างน่าเชื่อถือ เพื่อปลดล็อกการเติบโตในรูปแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
เครือข่ายสื่อค้าปลีก (Retail Media Networks หรือ RMN) หรือแพลตฟอร์มโฆษณาบนหน้าเว็บหรือแอปฯ ของผู้ค้าปลีกเอง (เช่น Shopee Ads, Grab Ads) กำลังพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นเพียงเครื่องมือช่วยกระตุ้นยอดขายระยะสั้น กลายมาเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังและสร้างผลกระทบได้ตลอดทั้ง Funnel Marketing
ตัวเลขที่น่าสนใจ
คาดการณ์ว่าในปี 2028 สื่อค้าปลีกจะมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของเม็ดเงินโฆษณาทั้งหมด ในสหรัฐอเมริกา
41% ของนักการตลาดทั่วโลกวางแผนที่จะ “เพิ่ม” งบลงทุนในสื่อค้าปลีกในปี 2025
พัฒนาการของ RMN กำลังเข้ามาพลิกโฉมวงการสื่อโฆษณา เพราะแบรนด์สามารถเข้าถึง “ข้อมูลการซื้อจริง” (First-Party Data) ของลูกค้าได้โดยตรง ทำให้ยิงโฆษณาได้แม่นยำและตรงจุดไปยังกลุ่มคนที่พร้อมซื้อมากที่สุด สิ่งนี้กำลังสร้างแรงกดดันให้สื่อช่องทางอื่นๆ ต้องพิสูจน์ความคุ้มค่ามากขึ้น สำหรับแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค RMN ได้กลายเป็นช่องทางที่ขาดไม่ได้ในแผนการตลาดไปแล้ว
ดังนั้น การปรับตัวของแบรนด์คือ การยกระดับ RMN จาก “ค่าใช้จ่ายฝ่ายขาย” ให้กลายเป็น “ช่องทางการตลาดหลัก” ที่ใช้ทั้งเพื่อสร้างแบรนด์และกระตุ้นยอดขาย โดยต้องสร้างความร่วมมือกับทางผู้ค้าปลีกเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้ได้สูงสุด และรวมกลยุทธ์ RMN เข้ากับแผนการตลาดในภาพรวมนั่นเองครับ
Trend 10: The Unstoppable Rise of Livestreaming ไลฟ์สตรีมมิ่งยังแรงไม่ตก
ไลฟ์คอมเมิร์ซ หรือการขายของผ่านไลฟ์สด ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่เป็นกลไกขับเคลื่อนการขายของที่ทรงพลังมาก โดยเป็นการผสมผสานระหว่าง “ความบันเทิง” “การสร้างชุมชน” และ “การช็อปปิ้ง” เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เทรนด์นี้ไม่ได้อยู่กับแคการขายสินค้าชิ้นเล็ก ๆ อีกต่อไป เพราะมันยังไปสู่สินค้าราคาสูงอย่างรถยนต์หรือแฟชั่นหรูหราแล้วด้วย
ตัวเลขที่น่าสนใจ
ยอดขายจากไลฟ์คอมเมิร์ซอาจมีสัดส่วนสูงถึง 20% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด ในประเทศจีนภายในปี 2026 (McKinsey)
สำหรับแบรนด์ขนาดเล็ก ไลฟ์สตรีมมิ่งสามารถเพิ่ม “ความสนใจในทันที” ได้สูงถึง 30%
สำหรับแบรนด์ใหญ่ ไลฟ์สตรีมมิ่งช่วยสร้างแบรนด์ในระยะยาว โดยเพิ่มการรับรู้ว่าแบรนด์ “ตอบสนองความต้องการ” ได้ 10% – 15%
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไลฟ์สตรีมมิ่งได้ทลายกำแพงและเปิดโอกาสให้แบรนด์เล็กสามารถแข่งขันกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ได้ ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นสมรภูมิที่แบรนด์ใหญ่เองก็ไม่สามารถมองข้ามได้ ดังนั้น การปรับตัวของแบรนด์คือ การมองไลฟ์สตรีมมิ่งเป็น “เครื่องมือสร้างแบรนด์และชุมชน” ไม่ใช่แค่ช่องทางการขายหรือระบายสินค้า โดยแบรนด์เล็กควรเน้นสร้างการรับรู้ทันที ส่วนแบรนด์ใหญ่ควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างสินทรัพย์ระยะยาวให้กับแบรนด์ หัวใจสำคัญคือการสร้างเรื่องเล่าที่น่าติดตามเพื่อเปลี่ยนจาก “ผู้ชม” ให้กลายเป็น “แฟนคลับ” ที่พร้อมจะกลับมาซื้อซ้ำและบอกต่อครับ
สรุป 10 Marketing Trends 2025 -2026
จากทั้ง 10 เทรนด์ที่เราได้ไล่เรียงกันมา จะเห็นได้ว่าหัวใจสำคัญของ Marketing Trends 2025-2026 ไม่ได้อยู่ที่การไล่ตามเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพียงอย่างเดียว แต่คือการกลับมาให้ความสำคัญกับแก่นแท้ของการตลาด นั่นก็คือ ‘ความเข้าใจมนุษย์’ อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่นและจริงใจ , การทำงานร่วมกับครีเอเตอร์เพื่อสร้างความไว้วางใจ, การใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาล, หรือการแสดงจุดยืนเรื่องความยั่งยืนและความหลากหลายอย่างแท้จริง
AI-Generated by Shutterstock (Prompt: Close-up portrait of a person wearing futuristic AR glasses, surrounded by dreamy pastel abstract clouds in soft peach, pink, and baby blue colors. The background blends like ink in water or cotton candy smoke. The AR glasses reflect digital icons subtly—such as a heart, a globe, or a chat bubble—symbolizing human empathy, sustainability, ethical AI, and diversity. The expression is calm, thoughtful, and emotionally connected. The lighting is soft and cinematic, with ultra-smooth textures and gentle depth of field. Futuristic yet warm and human-centered aesthetic, pastel color scheme, abstract background, high resolution, centered composition.)
ทั้งหมดนี้ล้วนมีจุดร่วมเดียวกันคือการสร้างความเชื่อมโยงที่มีคุณค่ากับผู้บริโภค แบรนด์ที่สามารถปรับตัวและมองเห็นโอกาสในความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ก่อน จะไม่ใช่แค่ผู้รอดชีวิต แต่จะเป็นผู้ที่สามารถเติบโตท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอนครับ
Source
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่