Samsung Bespoke AI เปลี่ยนตู้เย็นธรรมดาให้กลายเป็นผู้ช่วยชีวิตยุคใหม่

ครั้งนี้ Samsung ไม่ได้แค่เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ แต่กำลังเปิดตัวแนวคิด Bespoke AI ที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าใจชีวิตเรามากขึ้น และ “AI Home” บนตู้เย็น ก็คือก้าวแรกที่ทำให้เทคโนโลยีในบ้าน ฉลาดแบบที่ใช้งานได้จริงค่ะ

เคยรู้สึกมั้ยคะว่า… เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหลายอย่าง ดูเหมือนจะฉลาดขึ้น แต่กลับไม่เคยเข้าใจเราเลยจริง ๆ? มีแต่หน้าจอใหญ่ขึ้น ปุ่มเพิ่มขึ้น ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะใช้มันตอนไหน แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นของที่ “เหมือนจะล้ำ แต่ไม่ได้ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นจริง ๆ”

และ Samsung คิดต่างค่ะ เพราะพวกเขาไม่ได้แค่เพิ่มฟีเจอร์ให้ตู้เย็น แต่กำลังเปลี่ยน “ตู้เย็น” ให้กลายเป็นผู้ช่วยจัดการบ้านตัวจริง สำหรับชีวิตยุคที่เหนื่อยง่าย และอยากให้ใครสักคนมาช่วยจัดระเบียบชีวิตให้เราบ้าง

Samsung

วันนี้โอปอเลยอยากมาแชร์ให้ฟังว่า Samsung มอง “ตู้เย็น” ยังไง? และทำไม AI Home รุ่นใหม่ ถึงไม่ใช่แค่ตู้เย็นอัจฉริยะ แต่คือก้าวใหม่ของการใช้ชีวิตที่เบาสบายขึ้นแบบไม่รู้ตัว

ถ้าสังเกตดูดี ๆ จะเห็นได้เลยว่า ตู้เย็นคือที่ที่เราเดินไปหาเองทุกวันแบบไม่ต้องตั้งใจ ไม่ว่าจะดื่มน้ำเย็น ๆ ตอนเช้า เปิดหาขนมตอนดึก หรือแค่เดินไปยืนจ้องเวลาไม่รู้จะกินอะไร โอปอว่าเราน่าจะเดินไปเปิดมันบ่อยยิ่งกว่ากดรีโมตเปิดทีวีอีกด้วยซ้ำค่ะ

พวกเขาเลยไม่ได้แค่อัปเกรดฟีเจอร์ แต่เปลี่ยน “ประตูตู้เย็น” ให้กลายเป็น “ประตูสู่บ้านอัจฉริยะ” ที่มีหน้าจอ AI สั่งงานทุกอย่างได้ในจุดที่เราคุ้นมือที่สุด ไม่ว่าจะเปิดเพลง รับสาย ดูสูตรอาหาร หรือเช็กสถานะเครื่องใช้ไฟฟ้า

เพราะเทคโนโลยีที่ดีไม่ควรทำให้ชีวิตซับซ้อนขึ้น แต่ควรแอบอยู่ในจังหวะชีวิตของเราได้อย่างแนบเนียน และ “แตะทุกวัน” มากที่สุด นั่นก็คือ…ตู้เย็นนั่นเองค่ะ 

และหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นภาพแนวคิด Bespoke AI ได้ชัดที่สุด ก็คือ 5 ฟีเจอร์ของ AI Home ที่ไม่แค่ล้ำ แต่เข้าใจจังหวะชีวิตเราอย่างแท้จริง

พวกเขาไม่ได้แค่ใส่เทคโนโลยีล้ำ ๆ ลงไปในตู้เย็น แต่เขาใส่ “ความเข้าใจมนุษย์” ลงไปในทุกฟีเจอร์ค่ะ เพราะในยุคที่เรายุ่งเกินกว่าจะจัดการบ้านได้ทุกเรื่องด้วยตัวเอง AI Home เลยออกแบบมาให้กลายเป็น “ผู้ช่วย” ที่อยู่ตรงหน้าเราทุกวัน ช่วยคิดแทน จำแทน และจัดการสิ่งเล็ก ๆ ที่เราไม่มีเวลาจะสนใจแต่ก็มีผลกับคุณภาพชีวิตมากกว่าที่คิด ด้วย concept “Touch the magic with AI Home”

หลายคนเปิดตู้เย็นแล้วยืนจ้องของอยู่นาน แต่กลับนึกไม่ออกว่าจะกินอะไร ทั้งที่วัตถุดิบก็มีครบ เพราะในความเป็นจริง มื้ออาหารไม่ใช่แค่เรื่อง “มีของ” แต่คือการ “เอาของมาทำให้เวิร์ก” ซึ่ง Food AI ทำให้จบได้

Samsung

คุณสามารถกรอกวัตถุดิบลงในตู้เย็น พร้อมวันหมดอายุ (หรือจะให้ระบบช่วยคำนวณอายุเฉลี่ยก็ได้ เช่น แครอทอยู่ได้ 14 วัน) ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้จะไปโผล่ในแอป SmartThings พอไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตก็เช็กของในตู้ได้ทันที ไม่ต้องเดา ไม่ต้องซื้อซ้ำ

และเมื่อถึงเวลาอยากทำอาหาร AI จะใช้ของที่คุณมี “จริง ๆ” เพื่อเสนอเมนูที่ทำได้ พร้อมสูตร + วิธีทำแบบ step-by-step 

ตู้เย็นนี้ไม่ได้แค่ช่วยคุณทำกับข้าว แต่เขาช่วยคุณจัดการของในบ้าน และลด food waste ไปพร้อมกันค่ะ

ทุกคนต้องเคยถือของเต็มสองมือกลับจากตลาดแล้วมาควานหาวิธีเปิดตู้เย็น บางคนใช้ศอก บางคนเอาเท้าเขี่ยเบา ๆ ด้วยซ้ำ (ไม่บาปค่ะ เราเข้าใจ)

AI Home เลยใส่ทางเลือกใหม่มาให้:

  • สั่งเปิดด้วยเสียง “Bixby open door”
  • หรือแค่แตะเบา ๆ ที่เซนเซอร์
Samsung

มันอาจดูเล็กน้อย แต่พฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากโดยที่เราไม่รู้ตัว พวกเขาเลยเลือกออกแบบให้ตู้เย็น “รู้จักจังหวะชีวิต” ไม่ใช่แค่ตอบสนองคำสั่ง

เคยมั้ย? กำลังหั่นผัก หรือทำมื้อเช้าอยู่ แล้วมือถือดังขึ้นมาจากห้องนั่งเล่น คุณลังเลว่าควรรีบไปรับสายมั้ย? หรือจะปล่อยผ่านไปเลยดี?

AI Home ตัดความลังเลตรงนั้นทิ้งไปเลยค่ะ เพราะคุณแค่แตะหน้าจอที่ตู้เย็น → ระบบจะรับสายให้ทันทีผ่าน Bluetooth ใช้งานได้เหมือนลำโพงในบ้าน ช่วยให้คุยสบายแม้กำลังเจียวไข่

Samsung

เพราะ Samsung เข้าใจว่า เวลาในครัว = เวลาทำหลายอย่างพร้อมกัน และการ “รับสายได้โดยไม่ต้องวิ่ง” คือความสบายเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ค่ะ

จอ 9 นิ้วของ AI Home ไม่ได้มีไว้โชว์เฉย ๆ แต่ใช้งานจริงจังได้ครบทุกอารมณ์

  • เปิดเพลงผ่าน Spotify
  • เปิด YouTube ดูรายการโปรด
  • หรือแคสต์หน้าจอมือถือขึ้นมาผ่าน SmartView ก็ยังได้

ลองนึกภาพเช้าวันอาทิตย์ที่คุณต้มน้ำรอทำกาแฟ เปิดเพลง Lo-fi คลอเบา ๆ แล้วดูคลิปสอนทำขนมไปด้วยจากหน้าจอเดียว นี่ไม่ใช่บ้านในอนาคต แต่มันคือบ้านวันนี้ที่ Samsung วางให้คุณแตะได้แล้ว

Samsung เข้าใจว่าการจะให้คนใช้ Smart Home ได้จริง ๆ ต้องไม่ซับซ้อน และต้องอยู่ในที่ที่คนใช้งานอยู่แล้ว
AI Home เลยถูกออกแบบให้เป็นเหมือน “หน้าจอควบคุมบ้าน” ที่แตะง่ายเท่าการเปิดตู้เย็น

คุณสามารถสั่ง:

  • เปิด–ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ
  • ตั้งเวลาเปิดแอร์, เครื่องซักผ้า, ไฟในบ้าน
  • เช็ก Map View ว่าเครื่องใช้แต่ละตัวเปิดอยู่มั้ยจากแผนผังบ้าน

จากตู้เย็น → กลายเป็นรีโมตชีวิตที่เชื่อมทุกอย่างไว้ในที่เดียว โดยไม่ต้องเปิดมือถือเลยด้วยซ้ำ

โอปอมองว่าทั้งหมดนี้ Samsung ไม่ได้คิดจากการนั่งอยู่ในห้องประชุมแล้วเดาว่า “ผู้ใช้คงชอบแบบนี้”  แต่เขาดูพฤติกรรมจริงของคนใช้บ้าน และหาทางลดความวุ่นวายเล็ก ๆ ที่เราต้องเจอทุกวัน เพราะความสบายที่แท้จริง ไม่ได้เริ่มจากเทคโนโลยีล้ำ ๆ แต่มันเริ่มจากการเข้าใจคนใช้ให้ลึกพอค่ะ

จะเห็นได้เลยว่า Samsung ไม่ได้แค่ใส่ฟีเจอร์ล้ำ ๆ ลงไปในตู้เย็น แล้วเรียกมันว่า “สมาร์ท” แต่เขาออกแบบทุกอย่างภายใต้ 3 คำง่าย ๆ ที่กลายเป็นหัวใจของ AI Home และเป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิด Bespoke AI ด้วยค่ะ

  • สะดวก (Convenience): ไม่ใช่แค่แช่ของเย็น ๆ แต่คือช่วยจัดการทุกอย่างในบ้านได้จากจอเดียว เช่น เปิดแผนผังบ้านบนหน้าจอเพื่อดูสถานะเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Bixby เวลาไม่มีมือจะกดปุ่มก็ยังใช้งานได้สบาย ๆ
  • เข้าถึงง่าย (Accessibility): ไม่ว่าคุณจะอยู่บ้าน หรืออยู่นอกบ้าน ก็สามารถควบคุมทุกอย่างได้ผ่านแอป SmartThings หรือแม้แต่จิ้มสั่งจากหน้าจอตู้เย็นได้ทันที ไม่ต้องเปิดมือถือให้ยุ่งยาก
  • ประหยัด (Saving): แค่เปิด AI Energy Mode ก็ช่วยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานอัตโนมัติ ลดค่าไฟได้สูงสุดถึง 10% แบบไม่ต้องนั่งคำนวณเองให้วุ่นวาย

เพราะสุดท้ายแล้ว ของที่ดีจริง ไม่ใช่ของที่ดูฉลาดที่สุดในโชว์รูม แต่คือของที่เข้าไปอยู่ในจังหวะชีวิตเราได้อย่างแนบเนียน และทำให้ทุกวันของเราง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพยายาม และซัมซุงก็กำลังพิสูจน์สิ่งนั้นผ่าน AI Home ได้อย่างสวยงามค่ะ

สิ่งที่ Samsung Bespoke AI ทำ มันไม่ใช่แค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่คือการสร้างภาพจำใหม่ให้กับแบรนด์ ว่าเขาไม่ใช่แค่ “ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า” แต่เป็น “แบรนด์ที่เข้าใจจังหวะชีวิตของคนยุคนี้” อย่างลึกซึ้ง

และสำหรับโอปอ นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของการเปลี่ยน “ของธรรมดา” ให้กลายเป็น touchpoint ทางแบรนด์ที่ทรงพลังมาก ๆ ค่ะ เพราะตู้เย็นไม่ใช่จุดที่คนมักคิดถึงเวลาอยากพูดเรื่อง Smart Living แต่  Samsung กลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ใกล้ตัว และน่าเชื่อถือที่สุด เพราะมันคือของที่ทุกบ้านมี และทุกคนแตะทุกวัน

ในมุมของนักการตลาด นี่คือบทเรียนที่ดีมากว่า “การแตกต่าง” ไม่จำเป็นต้องมาจากการทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำ แต่อาจมาจากการ เข้าใจว่าคนใช้อะไรอยู่แล้ว แล้วเติมมันให้ฉลาดขึ้น ในแบบที่เขาไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมแม้แต่นิดเดียว แค่นั้นก็อาจเป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าที่สุดแล้วก็ได้ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ :0)

อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่

โอปอ Marketing Content Creator และ Data Insight Researcher ของการตลาดวันละตอน ⋆˚✿˖° ดีใจที่ได้แชร์เรื่องราวกับทุกคนค่ะ อย่าลืมยิ้มให้ตัวเองทุกวัน และฝากติดตามบทความต่อไปด้วยนะคะ ( 。•ㅅ•。)~✧

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *