9 Beauty & Wellness Behavior Insight 2025 ที่แบรนด์ไทยต้องรู้

เราอาจมักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า “ผู้บริโภคยุคนี้ไม่เหมือนเดิม” แต่เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมความงาม Beauty & Wellness ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เราจะพบว่ามันไม่ใช่แค่ “ไม่เหมือนเดิม” แต่มันเปลี่ยนแปลงไปจนเราจำไม่ได้ ทั้งพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากขึ้น การหาข้อมูลเชิงลึก ไปจนถึงการตระหนักถึงความสำคัญของ Mental Health ที่เพิ่มสูงขึ้น

ในบทความนี้ผมเลยจะขอพาทุกคนไปสำรวจอินไซต์พฤติกรรมของผู้บริโภคแบบลงลึกในอุตสาหกรรม Beauty & Wellness ปี 2025 ที่แบรนด์ทุกขนาดต้องจับตามอง พร้อมแนวทาง “New Game Changer” ที่จะช่วยให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์ได้อย่างตรงจุด ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพื่อก้าวทันและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสและการแข่งขันแห่งนี้

Changing Consumer Behavior พฤติกรรมเปลี่ยนแบรนด์ก็ต้องเปลี่ยน

ต้องยอมรับว่าในยุคอดีตและปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อน เรียกได้ว่าเราในอดีตกับเราในปัจจุบันแถบจะเป็นคนละคนกัน ซึ่งก็เกิดจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น การมาของเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น หรือปัจจัยด้านสังคมเองก็ตาม โดยพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เองก็ส่งผลต่ออุตสาหกรรม Beauty & Wellness เช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย 

Wise Wallet ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างมีสติมากขึ้น

ในสภาพเศรษฐกิจผันผวน ผู้บริโภคส่วนใหญ่กลายเป็นกลุ่ม ‘Intentional Consumer’ หรือก็คือกลุ่มผู้ที่ที่ใช้จ่ายอย่างมีเป้าหมายและความระมัดระวังมากขึ้น พวกเขาเหล่านี้ให้ความสำคัญในการหาข้อมูลอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเปรียบเทียบสินค้า การดูรีวิว หรือแม้แต่การดูลึกไปถึงส่วนผสมอถึงขึ้นที่รู้ว่าส่วนผสมนี้ควรหรือไม่ควรใช้คู่กับส่วนผสมอะไร

จากการ Research กลุ่มตัวอย่าง ที่พบว่า 57% ของผู้บริโภคกลุ่ม Beauty & Wellness จะทำ “Extended Research” หรือค้นหาข้อมูลเชิงลึกก่อนตัดสินใจซื้อ 

รสมไปถึง สัดส่วนการซื้อแบบ “Impulse Purchase” หรือการซื้อฉับพลัน ลดเหลือเพียง 18% (ประมาณ 1 ใน 5) สะท้อนว่าคนพร้อม “ตัด” รายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป

ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าแบรนด์จะต้องปรับตัวโดยอาศัยการพิสูจน์ตัวเองว่ามีความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคยอมจะควักเงินในกระเป๋า ซึ่งไม่ใช่ความคุ้มค่าในเรื่องของราคาเท่านั้น แต่เป็นความคุ้มค่าที่เกิดจากประสบการณ์ที่ลูกค้ามีร่วมกับแบรนด์ในทุก Touchpoints ตั้งแต่การเห็นสินค้าไปจนถึงหลังจากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ไปแล้ว

นอกจากนี้ การปรับกลยุทธ์การสื่อสาร โดยเฉพาะการทำโปรโมชั่นที่มีประสิทธิภาพลดลง ดังนั้นแบรนด์ควรหามาให้ความสำคะญในการสร้างสรรค์ Content ที่มีคุณค่าและสามารถสร้างความมั่นใจในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ได้

Skintellectual ลูกค้ารู้ลึกเรื่องส่วนผสม และไม่เชื่อโฆษณาง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อน

อย่างที่เราเห็นไปหัวข้อก่อนหน้านี้ว่า ลูกค้าให้ความสำคัญในการหาข้อมูลลงลึกไปถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับส่วนผสม ซึ่นั่นก็คือกลุ่ม Skintellectual (มาจาก Skin + Intellectual) เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับหลักวิทยาศาสตร์และพลิกหลังกล่องสินค้า ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสม (Ingredients) ความเข้มข้น และกระบวนการทดสอบต่าง ๆ  ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มักสืบค้นข้อมูลอย่างเจาะลึก และคาดหวังความชัดเจนและความโปร่งใสจากแบรนด์

ดังนั้นแบรนด์ควรให้ความสำคัญในเรื่องของจริยธรรม มุ่งเน้นไปที่การสื่อสารที่มีความตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบอกมาของวัตถุดิบและงานวิจัยสนับสนุน ซึ่งถือได้ว่าเป็นกุญแจที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถชนะใจคนกลุ่ม Skintellectual ได้นั่นเอง

นอกจากนี้กลยุทธ์ในการสื่อสารที่แบรนด์ควรระวังคือการ ‘Over Claiming’ เพราะผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ตลอดเวลา และแบรนด์ก็ควรมุ่งเน้นไปการทำ Content ที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค เช่น บทความอธิบายสารสกัด วิธีใช้ที่ถูกต้อง หรือวิดีโอแนะนำขั้นตอนดูแลผิว เพื่อสื่อให้เห็นว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญจริงและมีความน่าเชื่อถือนั่นเอง

Lack of Trust เมื่อ “ความเชื่อมั่น” กลายเป็นหนึ่งใน Key success

ต่อจากหัวข้อก่อนนหน้าที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของการ ‘Over Claiming’ รวมไปถึงข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าปลอม ทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นทั้งต่อตัวผลิตภัณฑ์และแบรนด์เพิ่มมากขึ้น

จากการสำรวจพบว่า 59% จากกลุ่มตัวอย่างไม่มีความเชื่อมั่น Content ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เพราะมองว่าอาจเป็นไปเพื่อการโฆษณา

และกว่า 71% จากกลุ่มตัวอย่างยังให้ความสำคัญในการหาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักสำหรับหลาย ๆ แบรนด์ในอุตสาหกรรม Beauty & Wellness

แบรนด์จะต้องให้ความสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มเจนวาย (Millennials) และเจนซี (Gen Z) ที่หาข้อมูลหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หลัก โซเชียลมีเดีย หรือรีวิวจากผู้ใช้จริง 

ดังนั้นแบรนด์สามารถใช้เหล่า Influencer เป็นเหมือนกระบอกเสียงและตัวแทนให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตามก็ต้องระมัดระวังและเลือกผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ให้ตรงกับภาพลักษณ์และกลุ่มเป้าหมาย ไม่ควรเลือกแบบใครก็ได้

นอกจากนี้แบรนด์ควรมุ่งมั่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เพื่อที่จะสร้าง User-Generated Content (UGC) ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นการตัดสินใจของตัวลูกค้าได้นั่นเอง

Health Span และ Mental Health – สุขภาพที่ดีต้องมาจากทั้งกายและใจ

ต้องบอกว่าผู้คนในยุคนี้ไม่ได้สนใจแค่มีชีวิตยืนยาว (Life Span) แต่ยังใส่ใจกับคุณภาพชีวิตที่ดี Health หรือ Span ควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะประเด็น “Mental Health” ซึ่งกลายเป็นประเด็นใหญ่ระดับโลก

และจากการสำรวจพบว่า 1 ใน 2 ของผู้บริโภค (50%) เชื่อมั่นว่าภายในปี 2029 สุขภาพของตนจะดีกว่าปัจจุบัน และ 54% ทราบว่าตัวเองต้องทานวิตามินตัวไหนเพื่อตอบโจทย์สุขภาพของตัวเอง

ดังนั้นแบรนด์ควรนำเสนอ Holistic Wellness หรือก็คือการพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น สินค้าเสริมวิตามินพร้อมเทคนิคผ่อนคลายความเครียด นอกจากนการมีนักโภชนาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเข้ามาอยู่เบื้องหลัง ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น

Marketing Strategy for Beauty & Wellness Industry 2025 กลยุทธ์ที่จะพาแบรนด์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม

หลังจากที่เรารู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะส่งผล่ออุตสากรรม Beauty & Wellness เราก็ต้องมองหากลยุทธ์ที่เหมาะสมอละสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่า จะมีกลยุทธ์อะไรที่น่าสนกันบ้าง

Listen Consumer and Competitor Voice รับฟังอินไซต์อย่างเปิดกว้างและต้องลงลึก

Beauty & Wellness

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่าย ๆ แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงและปริมาณข้อมูลมีมากเกินไป ทำให้แบรนด์ต้องหาวิธี “เจาะลึก” เพื่อเข้าใจความต้องการที่แท้จริง ซึ่งรวมถึง Pain Point และแรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม ตัวอย่างแช่น

  • ส่องเทรนด์ผ่านเครื่องมือออนไลน์ Google Trends, TikTok Creative Center และ Facebook Ads Library สามารถช่วยสแกนดูว่า ผู้บริโภคกำลังสนใจสินค้าหรือคีย์เวิร์ดแบบไหน คู่แข่งทำอะไรอยู่ และช่องว่างหรือโอกาสใหม่ ๆ คืออะไร
  • สำรวจเสียงจากผู้บริโภคตัวจริง การอ่านคอมเมนต์ รีวิว หรือแม้แต่การจัดโพล (Poll) และถามตรง ๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย ช่วยให้เราเห็นปัญหาและความคาดหวังที่ผู้บริโภคต้องการให้แก้ไขโดยตรง

เมื่อแบรนด์สามารถรวบรวมอินไซต์ได้แล้ว แบรนด์ต้องตัดสินใจให้รวดเร็วและตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นการออกสินค้าใหม่ หรือปรับแคมเปญการตลาด เพื่อที่จะได้ไม่พลาดโอกาสในการนำตลาดนั่นเอง

Personalization – สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลในระดับ “สเกล”

Beauty & Wellness

การตลาดเฉพาะบุคคล (Personalization) ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้สามารถรองรับลูกค้า “ทุกคน” ได้ในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียทรัพยากรไปกับการดูแลทีละคน ซึ่งแบรนด์ก็สามารถทำได้โดย

  • เก็บข้อมูล First-Party Data เริ่มจากการขอความยินยอมอย่างถูกต้อง แล้วรวบรวมข้อมูลลูกค้า เช่น ปัญหาผิว สภาพผิว ความสนใจ หรือพฤติกรรมการสั่งซื้อ เพื่อให้มี “ภาพรวม” ของแต่ละคน
  • วิเคราะห์-แบ่ง Segment ข้อมูลที่เก็บมาอาจกระจัดกระจาย จึงต้องนำมาจัดระเบียบ สร้างกลุ่มเป้าหมาย หรือ Target และทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า กลุ่ม A ต้องการอะไร กลุ่ม B กังวลเรื่องใด
  • ส่งมอบข้อเสนอได้ตรงใจ เมื่อรู้ความต้องการของแต่ละกลุ่ม แบรนด์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ ข้อเสนอ หรือคอนเทนต์ที่เหมาะสมได้แบบ “เฉพาะบุคคล” ซึ่งนอกจากช่วยสร้างความพึงพอใจ ยังเพิ่มโอกาสการตัดสินใจซื้อมากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ ก็ยังมี Tool ที่น่าสนใจอย่าง น LINE Official Account หรือระบบ CRM ที่มีฟีเจอร์ MyCustomer เข้ามาช่วย จะทำให้การเก็บข้อมูล ติดแท็กอัตโนมัติ (Auto Tag) และบรอดแคสต์เนื้อหาแบบเฉพาะเจาะจง เป็นไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

สร้างประสบการณ์ร่วม – กระตุ้น Engagement และความไว้วางใจ

Beauty & Wellness

ในตลาดความงามและสุขภาพที่มีการแข่งขันสูง “ประสบการณ์” จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว ประสบการณ์ที่ดีจะนำไปสู่ “User-Generated Content (UGC)” ในเชิงบวก ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือและประชาสัมพันธ์ได้ในตัว ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์ควรทำคือ

  • Design Customer Journey ให้สนุก ตั้งแต่จุดแรกที่ลูกค้าเข้ามาในหน้าร้านหรือโซเชียล มีช่องทางสื่อสารที่เป็นกันเอง มีกิจกรรม แจกของเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือส่วนลดพิเศษ ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจในการบอกต่อ
  • กระตุ้นให้เกิด UGC การที่ลูกค้าถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอรีวิว หรือแชร์ประสบการณ์ผ่านแฮชแท็กเฉพาะแบรนด์ ล้วนเป็น “หลักฐาน” ยืนยันคุณภาพที่แบรนด์ไม่ต้องลงทุนจ้างโฆษณาราคาแพง
  • ใช้ Loyalty Program อย่างฉลาด บัตรสมาชิก หรือสิทธิ์สะสมแต้มที่แลกกับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จะกระตุ้นการกลับมาซื้อซ้ำและผูกพันแบรนด์ได้ยาวนาน

อย่างไรก็ตาม ความไว้วางใจ (Trust) เป็นปัจจัยสำคัญ การให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ตอบคำถามลูกค้าอย่างจริงใจ และพร้อมแก้ปัญหาอย่างตรงจุด จะช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงในระยะยาวได้

AI และ Automation – ขยายขีดความสามารถในโลกดิจิทัล

Beauty & Wellness

AI และ Automation กำลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในธุรกิจยุคใหม่ ด้วยความสามารถที่ช่วยให้ธุรกิจ “ปลดล็อก” ศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีจำนวนมหาศาล และทำให้เกิดการสื่อสารเฉพาะบุคคล (Personalized Communication) ในปริมาณมากพร้อมกันได้ ดังนั้นแบรนด์ก็สามารถที่จะนำเครื่องมือต่าง ๆ ทั้ง AI และ Automation เข้ามาช่วยในธุรกิจ Beauty & Wellness ได้เหมือนกันเช่น

  • ครีเอทีฟคอนเทนต์ด้วย AI ปัจจุบันมีเครื่องมือ AI ด้านงานออกแบบ (Text-to-Image, Text-to-Video) และงานเขียน (เช่น ChatGPT, Meta AI) ที่ช่วยแบรนด์ผลิตคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น และปรับใช้เป็นภาษาไทยได้อย่างมีคุณภาพ
  • Automated Marketing แพลตฟอร์มอีเมล หรือ Line Broadcast ที่ตั้งเงื่อนไข (Trigger) และแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมโดยอัตโนมัติ จะช่วยให้แบรนด์ส่งข้อเสนอได้ตรงจุดและประหยัดเวลา

แบรนด์ที่เริ่มประยุกต์ใช้ AI ในงานการตลาดจะได้เปรียบทั้ง “ความเร็ว” และ “ความแม่นยำ” ในการตอบโจทย์ลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการแข่งขันในอนาคตนั่นเอง

เจาะ Gen Z – เมื่อความหลากหลายและ Mental Health คือหัวใจ

Beauty & Wellness

Gen Z ถือว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่สังคมกำลังจับตามอง ทั้งในเชิงกำลังซื้อและอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการบริโภค คนกลุ่มนี้เติบโตมากับโลกดิจิทัล และให้ความสำคัญกับ “สุขภาพจิต” (Mental Health) ไม่แพ้สุขภาพกาย พร้อมเปิดกว้างต่อ “ความหลากหลาย” (Diversity & Inclusivity) ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญคือ

  • นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ Mental Health แบรนด์ที่จัดกิจกรรมให้ข้อมูล หรือสร้างคอมมิวนิตี้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เชื่อมโยงสุขภาพกายกับสุขภาพใจจะสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและสร้างการมีส่วนร่วมได้ดี
  • Diversity & Inclusivity การยอมรับความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเพศ สีผิว รูปร่าง หรือลักษณะเฉพาะทางร่างกาย เป็นสิ่งที่ Gen Z ให้คุณค่าในประเด็นนี้มาก การออกแบบผลิตภัณฑ์หรือการสื่อสารที่ “เป็นมิตรกับทุกคน” จะได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากกลุ่ม Gen Z
  • ทำเกิน “แค่การตลาด” Gen Z มองว่าแบรนด์ไม่ควรทำแค่สัญลักษณ์หรือสีรุ้งในแคมเปญสั้น ๆ แต่ต้อง “ตั้งใจจริง” และมีนโยบายที่สอดคล้องกับแนวคิดในระยะยาว เพื่อแสดงความจริงใจนั่นเอง

สรุป

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคอุตสาหกรรม Beauty & Wellness Insight 2025 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ ความใส่ใจในส่วนผสมเพื่อสุขภาพผิวที่ดี หรือแม้แต่การหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและความหลากหลายทางสังคม

สิ่งที่ตามมาคือ แบรนด์จะต้องปรับตัวเพื่อให้ตอบโจทย์มากกว่าแค่โปรโมชั่นลดแลกแจกแถม แต่จำเป็นต้องเข้าใจอินไซต์เหล่านี้อย่างลงลึก พร้อมประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทั้งAI และ Automation ควบคู่ไปกับการสื่อสารที่มีความจริงใจ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและคุณค่าให้กับลูกค้า เพื่อจูงใจให้เกิดการบอกต่อและสร้างความไว้วางใจระยะยาว

ท้ายที่สุดแล้ว การแข่งขันในโลก Beauty & Wellness จะไม่ใช่การแข่งกันเพียงเพื่อให้คนซื้อผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่ง แต่คือการแข่งกันสร้างความผูกพันและคุณค่าที่มีร่วมกันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ซึ่งหากคุณสามารถสร้างความเชื่อใจ (Trust) และความเชื่อมโยงทางอารมณ์ (Engagement) ได้อย่างต่อเนื่อง ก็เท่ากับกุมกุญแจสู่การเป็น “Game Changer” อย่างแท้จริง

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่

สวัสดีครับ ชื่อดิวนะครับ จะพยายามนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้เขียนบทความดี ๆ ให้กับทุกคนครับ *_*

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *