ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์และธุรกิจต่าง ๆ บทความนี้จะพูดถึง Accenture Life Trends 2025 ซึ่งเผยให้เห็นถึง 5 เทรนด์ผู้บริโภค 2025 ที่จะมีผลกระทบต่อทั้งธุรกิจและการใช้ชีวิต โดยได้รับเกียรติจาก คุณแม็ค สุนาถ ธนสารอักษร กรรมการผู้จัดการ Accenture Song (ประเทศไทย) ที่มาร่วมพูดคุยแบ่งปันข้อมูลที่น่าสนใจนี้ ใน Live รายการ ‘การตลาดวันละคน’ ค่ะ
Accenture Song คือใคร ?
ก่อนอื่นมารู้จักกับ Accenture Song กันก่อน บริษัทนี้เรียกว่าเป็น Business Unit ในเครือ Accenture ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาธุรกิจ โดย Accenture เล็งเห็นความสำคัญของผู้บริโภค และการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน ซึ่งสร้าง Business Unit ที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ การมี Empathy เพื่อตอบสนองและมาดูแลเกี่ยวกับผู้บริโภคจึงเกิดเป็น Accenture Song ขึ้นมา ทำให้ Accenture Song โฟกัสไปที่การสร้าง ประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) ผ่านการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และข้อมูลเชิงลึก
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเป็นคำว่า Song ที่มาต่อท้าย Accenture เพื่อเป็น New Business Unit ที่จะมาตอบสนองในโจทย์ที่ Accenture ตั้งไว้ เพราะความสำคัญของ Accenture Song อยู่ที่การช่วยแบรนด์ปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิทัล และพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นสิ่งที่จะเป็นสื่อกลางที่มอบประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์ โดยคนทั่วไปเข้าใจก็คือ เพลง (Song) จึงเรียกใช้คำว่า Song มา Represent ตรงนี้ค่ะ โดย Accenture Song ทีมงานกว่า 50,000 คน ใน 125 สาขาทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยเองที่มีทีมงานกว่า 150 คน โดยในไทย Accenture Song ได้ขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อ Rabbit’s Tale ซึ่งเป็นบริษัทครีเอทีฟที่โดดเด่นในด้านการตลาดดิจิทัล
เปิดเทรนด์ผู้บริโภคปี 2025 กับ Accenture Life Trends
ต้องบอกก่อนว่าในแต่ละปี Accenture จะออก Report สำคัญที่เปิด Public อยู่ 2 อันคือ Technology Vision และอีกฉบับคือ Accenture Life Trends โดยในหัวข้อหลักของ Live นี้เราจะคุยในเรื่อง Accenture Life Trends ของปี 2025 ซึ่งคุณแม็คได้นำเสนอ 5 เทรนด์สำคัญที่สะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและทิศทางของแบรนด์ในอนาคต โดยแต่ละเทรนด์ถูกออกแบบและพัฒนาจากการศึกษาข้อมูลเชิงลึกจากทั่วโลกค่ะ
โดย Accenture Life Trends 2025 เกิดจากการศึกษา Collecting Signals มีการใช้ 50+ Accenture Song Design Studios และ Creative Agency จากทั่วโลก เพื่อรวบรวมข้อมูลและสัญญาณที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภค ดำเนินการโดย Accenture Research Song Team ซึ่งเป็นทีมที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยของ Accenture
มีการ Identifying Trends การระบุแนวโน้ม โดยใช้ The Experience Innovation Radar ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจจับและวิเคราะห์แนวโน้มใหม่ ๆ และยังมีการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Subject Matter Experts) และนักอนาคตศาสตร์ (Futurists) เพื่อรับมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเหล่านั้นด้วยค่ะ
และ Testing and Validating โดย Video Interviews กับผู้เข้าร่วม 50 คนจาก 8 ประเทศ ทำการ Survey ผู้บริโภคกว่า 24,295 คน ครอบคลุม 22 ประเทศ มีการพูดคุยในเชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ใน Accenture (Accenture SMEs) และใช้การ Secondary Research เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมและศึกษากรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันแนวโน้มที่ค้นพบจนออกมาเป็น Accenture Life Trends 2025 ค่ะ
ซึ่งใน Accenture Life Trends 2025 ก็มีทั้งหมด 5 เรื่อง โดยหลังอ่านจบคุณแม็คเองก็บอกว่ารู้สึกว่าทั้ง 5 เรื่องตั้งอยู่บนหัวข้อเดียวกัน คือคําว่า Trust คือความเชื่อมั่นและไว้ใจ เรามาเริ่มดูในแต่ละเทรนด์กันดีกว่าค่ะ
1. ราคาของความลังเล (Cost of Hesitation)
คนลังมากขึ้นเพราะโอกาสของการจะโดนหลอกเยอะขึ้น ทุกวันเนี้ยเราเจอคอนเทนต์ทั้งจริงและปลอมผสมผสานกันมั่วไปหมดเลย ทำให้เกิดปัญหาความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ (trust) ที่ลดลง เพราะการสร้าง คอนเทนต์ดิจิทัล (digital content) กลายเป็นเรื่องง่าย ทำให้เกิดข้อมูลปลอมและหลอกลวง (scams) มากขึ้น ทำให้เราแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่จริงกับไม่จริง ผลกระทบทำให้คนเริ่มลังเลและขาดความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนออนไลน์
รวมถึงการมาของ Generative AI ยิ่งทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้มากขึ้น เพราะ Generative AI สามารถเป็นทั้งตัวช่วยสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และยังนำใช้ในทางที่ผิดได้ด้วย ส่งผลให้เกิดความสับสนและความกังวลของผู้คนมากขึ้นไปอีก
รีวิวออนไลน์ที่เคยเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการตัดสินใจซื้อสินค้า ตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่คนเริ่มไม่มั่นใจ เพราะมีรีวิวปลอมเกิดขึ้นเต็มไปหมด และปัญหานี้ยิ่งหนักขึ้นเพราะ AI ทำให้การสร้างรีวิวปลอมทำได้ง่ายและเร็วมาก เช่น ในปี 2022 แพลตฟอร์ม TripAdvisor พบรีวิวปลอมมากถึง 1.3 ล้านรายการ และในปี 2021 TrustPilot ต้องลบรีวิวปลอมไปถึง 2.7 ล้านรายการ
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : An abstract and motion-blur inspired image of a person sitting alone, holding a smartphone with a stressed and worried expression. The lighting is dominated by a single, warm yellow glow from the phone screen, casting subtle highlights on the person’s face and surroundings. The background is softly blurred with muted tones, creating a dreamlike, slightly distorted atmosphere. The person’s outline and movements are intentionally blurred to convey a sense of anxiety and unease, while the bold lighting emphasizes the emotional intensity of the moment.
มันแสดงให้เห็นว่า การเชื่อรีวิวออนไลน์อาจไม่ใช่ตัวช่วยที่ไว้ใจได้อีกต่อไป เพราะเราคงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอันไหนจริงหรือหลอก อย่างในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มเจอกับปัญหาความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
52% เคยเห็นข่าวปลอมหรือบทความที่ไม่จริง โผล่มาบนหน้าเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย
38.8% เจอกับรีวิวสินค้าที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวง มากกว่าที่จะเป็นรีวิวจริงจากผู้ใช้
52% เผชิญหน้ากับการหลอกลวงที่ซับซ้อนขึ้น เช่น การใช้ Deep Fake มาหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวหรือเงิน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความไว้วางใจในโลกดิจิทัลกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงในรูปแบบไหน มันก็ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งหมายถึงแบรนด์เอง รวมไปถึงแพลตฟอร์มก็จะได้รับความไม่ไว้วางใจจากผู้บริโภคไปด้วยค่ะ
คุณแม็คเล่าว่ามีเคสนึงคือ พี่ที่ทํางานเจอแพคเกจท่องเที่ยวยิงแอดมา ไปฮ่องกง 3 วัน 2 คืน นอน ที่ Sheraton รวมตั๋วเครื่องบินเอมิเรตส์ 19,000 บาท ซึ่งตอนแรกเขาไม่เชื่อเลย จนเขาเอาไปเช็ค สุดท้ายมันจริง นี่คือราคาของความลังเล เพราะกว่าจะไปตรวจสอบ กว่าจะไปเช็ค ทำให้ Customer Journey ยาวมากขึ้น แทนที่จะตัดสินใจได้เลย
ทำให้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง ความไว้วางใจ (trust) ให้กลับคืนมาอีกครั้ง ดังนั้นแบรนด์และแพลตฟอร์ม รวมไปทั้งภาครัฐและเอกชน ควรให้ความสำคัญกับเรื่องการฟื้นฟูความไว้วางใจ (trust) ของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่นในการใช้งานออนไลน์อีกครั้ง
ซึ่งในยุคที่โลกออนไลน์เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ไม่จริงและอันตราย สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ
แพลตฟอร์มต้องพัฒนาให้ทันสมัย ต้องมีระบบคัดกรองเนื้อหาที่ดีขึ้น เพื่อป้องกันเนื้อหาหลอกลวงที่กำลังระบาดหนัก
แบรนด์ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ ลูกค้าสมัยนี้อยากได้สิ่งที่ตรวจสอบได้ แบรนด์ควรสร้างระบบให้ลูกค้าสามารถเช็คความถูกต้องของสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้พวกเขา
สร้างระบบตรวจสอบความน่าเชื่อถือ เช่น การใช้ Blockchain
เสริมความมั่นใจด้วยการรับประกันสินค้า
สื่อสารอย่างโปร่งใสผ่านช่องทางที่เชื่อถือได้
ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น ทุกวันนี้คนโดนหลอกง่ายขึ้น แบรนด์ควรช่วยเหลือ เช่น การให้คำแนะนำหรือเครื่องมือที่ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องกังวล
รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาท เพิ่มกฎหมายเพื่อป้องกันผู้บริโภคจากการหลอกลวงและสร้างความปลอดภัยในโลกดิจิทัล
ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อทำให้โลกออนไลน์เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและน่าไว้วางใจสำหรับทุกคนค่ะ นอกจากนั้นคุณแม็คก็เสริมว่า แบรนด์ต้องสร้างความเชื่อมั่นสูงมากมาก เช่น ถ้าจะออกโปรแบบเจ๋ง ๆ CEO ต้องออกมาพูดเองเลย หรือต้องทําอะไรที่ตรวจสอบได้ เช่น รับประกันเลยถ้าเกิดซื้อไปแล้ว กลัวว่าของจะห่วย ก็ต้องมีโซลูชั่นให้ เคลมได้ หรือบางทีแบรนด์ทําของจริงตลอด แต่ถ้าไปเจอของปลอมมา ก็มาเคลม แบรนด์เยียวยาให้ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์สูงขึ้นค่ะ
2. การปกป้องเด็กในยุคดิจิทัล (The Parent Trap)
เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเปรียบเสมือนดาบสองคม ผู้ปกครองต้องเผชิญกับคำถามว่า “จะให้ลูกใช้เทคโนโลยีมากน้อยแค่ไหน?” เพราะในขณะเดียวกันที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้ แต่พวกเขาก็อาจเจอ Cyberbullying, Beauty Standards เกินจริง และ Content ไม่เหมาะสม เพราะพ่อแม่มีหน้าที่สำคัญ คือการปกป้องลูกให้ปลอดภัย แข็งแรง และเลี้ยงดูให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต แต่ในยุคดิจิทัลนี้ ความท้าทายใหม่ที่พ่อแม่ต้องเผชิญคือ เทคโนโลยี
ปัจจุบัน การเติบโตของเด็ก ๆ แตกต่างจากยุคของพ่อแม่อย่างมาก เพราะอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงได้ง่ายทำให้เกิดปัญหามากมาย เช่น การส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยง หรือผลกระทบที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน
แต่เทคโนโลยีก็เป็นแหล่งเรียนรู้ที่กว้างใหญ่ มีข้อมูลมหาศาลให้ลูกได้เรียนรู้ พ่อแม่จะเริ่มลังเล ถ้าจํากัดเทคโนโลยีลูก ลูกก็เสียโอกาสในการเรียนรู้ แต่ถ้าเปิดเต็มที่ ลูกก็อาจจะเจออะไรที่มันไม่ดี นี่ก็เป็นความเชื่อมั่นที่ลดลงของพ่อแม่กับเรื่องเทคโนโลยีจึงเป็นที่มาของเทรนด์
ตอนนี้เราเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวจากสองทาง ด้านหนึ่งคือรัฐบาลที่เริ่มออกนโยบายเพื่อดูแลปัญหาเหล่านี้ และอีกด้านคือพ่อแม่และโรงเรียนที่ช่วยกันวางกฎเกณฑ์เพื่อปกป้องลูก ๆ และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อแบรนด์และบริษัทต่าง ๆ อย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : An abstract, motion-blur inspired image of a family sitting together, with a warm and intimate atmosphere. A young child is seated in the center, holding a smartphone, while the parents sit on either side, leaning in and attentively engaging with the child, as if teaching or guiding. The glow from the phone screen softly illuminates their faces, casting warm yellow light that enhances the moment of connection. The background is softly blurred with neutral and pastel tones, creating a dreamlike yet comforting setting. The subtle motion blur around the edges adds a sense of movement and togetherness, emphasizing the nurturing and educational dynamic.
จากผลสำรวจ วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวอายุ 18-24 ปีถึง 56.5% บอกว่าโซเชียลมีเดียส่งผลต่อมุมมองเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขา ซึ่งต่างจากคนวัย 55 ปีขึ้นไปที่มีเพียง 23.3% เท่านั้นที่คิดแบบเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่มากกว่าคนรุ่นก่อนอย่างชัดเจน
และคุณแม็คยังเสริมอีกว่า 2-3 อย่างบนอินเทอร์เน็ตทําร้ายเด็กอยู่ทุกวันนี้ อันแรก Cyberbullying การทําร้ายการบนไซเบอร์การกลั่นแกล้ง ต่อมาคือ Beauty Standards เกินจริง เด็กไม่ได้มีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะเข้าใจว่า Beauty Standards แบบนั้นเป็นอะไรที่มันเกินความเป็นจริง แล้วเปรียบเทียบกับตัวเอง และพบว่าเด็กมีภาวะซึมเศร้ามากขึ้น แล้วก็สามคือ Content ไม่เหมาะสม
โดยมาตรการที่นำมาใช้การแก้ไขเรื่องนี้ คือ สร้างบทสนทนาในครอบครัวเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี มีใช้เครื่องมือที่ช่วยจัดการการเข้าถึงของเด็ก เช่น ซองแม่เหล็กเก็บสมาร์ทโฟนในโรงเรียน และ สนับสนุนกฎหมายที่ปกป้องเด็กจากภัยออนไลน์ ในบางประเทศเริ่มมีการจำกัดเเรื่องการใช้เทคโนโลยีสำหรับเด็กแล้วด้วย ซึ่งตรงนี้เองที่อาจส่งผลกระทบต่อแบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์ที่ต้องการเข้าหาผู้บริโภค หรือ กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กหรือวัยรุ่น
ดังนั้นหากแบรนด์ต้องการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ สิ่งสำคัญคือการวางกลยุทธ์ที่ไม่พึ่งพาดิจิทัลหรือโซเชียลมีเดียเพียงอย่างเดียว สร้างตัวเลือกอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการซื้อแบบออฟไลน์และสื่อออฟไลน์ ใช้วิธีการโปรโมทแบบเดิม เช่น กิจกรรมในศูนย์การค้า งานอีเวนต์ โทรทัศน์และบริการสตรีมมิ่ง
เพราะหากมีการกำหนดข้อจำกัดในแอปหรืออุปกรณ์ที่มุ่งเป้าไปยังเด็กหรือวัยรุ่น จำเป็นต้องออกแบบบริการใหม่หรือสร้างบริการที่ไม่ต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟน หรือสร้างประสบการณ์ที่หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่จะนำไปสู่ข้อถกเถียง หรือใช้อินเทอร์เฟซที่จำกัดเนื้อหาเพื่อลดความเสี่ยง ข้อเสนอนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ
นอกจากนั้นแบรนด์ก็ควรพิจารณา ถึงเรื่องการสื่อสารของตนเอง เช่น การใช้โซเชียลมีเดียสำหรับการโฆษณา เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่จะเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับบริษัทหรือไม่ เพราะอาจเจอการโจมตีจากกลุ่มที่กังวลต่อประเด็นเหล่านี้ นอกจากนี้ หากแบรนด์เป็นช่องทางสู่เนื้อหาที่เป็นอันตราย แบรนด์ก็จำเป็นต้องดำเนินการแก้ไขอย่างทันทีและเด็ดขาด
และหากมีผู้ปกครองที่ควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาสำหรับเด็กมีมากขึ้น แบรนด์ก็ควรพิจารณาวิธีสร้างข้อเสนอที่เป็นมิตรกับผู้ปกครอง เพื่อสร้างความไว้วางใจและเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ๆ ด้วยค่ะ
3. เศรษฐกิจแห่งความไม่อดทน (Economy of Impatience)
5 เทรนด์ผู้บริโภค 2025 เทรนด์ที่ 3 คือผู้บริโภคในยุคนี้ต้องการทุกอย่าง “เดี๋ยวนี้!” ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า บริการด้านสุขภาพ หรือความงาม เช่น การดูดไขมัน หรือการใช้ยาลดน้ำหนัก ซึ่งมีปัจจัยสำคัญสองอย่างที่ทำให้ผู้คนลงมือริเริ่มเพื่อเร่งการบรรลุเป้าหมายในชีวิตของพวกเขาค่ะ
เทคโนโลยีที่ช่วยเปิดเส้นทางใหม่ ๆ เทคโนโลยีได้ทำให้การค้นหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อไล่ตามเป้าหมายกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือที่ช่วยให้พวกเขาออกแบบเส้นทางของตัวเองได้อย่างสะดวกสบาย
คำแนะนำจากช่องทางโซเชียลมีเดีย หลายคนที่ต้องการคำแนะนำในการรับมือกับความซับซ้อนของชีวิต ได้หันไปหาช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักจะมีผู้ให้คำแนะนำที่พวกเขารู้สึกว่า “เข้าถึงได้” หรือ “คล้ายคลึงกับตัวเอง” ผู้ให้คำแนะนำเหล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้คนผ่านข้อมูลและความคิดเห็นจากชุมชนออนไลน์
ด้วยความรู้จาก “ฝูงชนดิจิทัล” เหล่านี้ ผู้คนจึงมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะสร้างเส้นทางใหม่ที่เหมาะสมกับตัวเอง แทนที่จะเดินตามเส้นทางแบบเดิมๆ ที่สังคมกำหนดไว้ จากรายงาน Accenture Life Trends 2024 พบว่า 55% ของผู้คนมีความชอบในวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วมากกว่าวิธีการแบบดั้งเดิม และหลายคนยังยินดีที่จะลองเส้นทางที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพและการเงินของพวกเขาค่ะ
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่มองหาวิธีการที่ช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นก็ตาม
อย่างที่บอกว่าผู้คนเริ่มมีความอดทนน้อยลงและมีความกระตือรือร้นมากขึ้นในการจัดการชีวิตของตนเอง พวกเขาเลือกใช้วิธีใหม่ ๆ เพื่อแสวงหาสุขภาพ ความมั่งคั่ง และความสุข ซึ่งกำลังท้าทายกรอบแนวคิดเดิมของธุรกิจ
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : an abstract, motion-blur inspired image of a person sitting and looking at a smartphone, viewed from behind, the phone screen glowing brightly, showing an image of a successful person in a formal suit standing confidently with symbols of success such as trophies, charts, or luxurious elements in the background, the glowing light from the screen dominated by a warm golden hue softly illuminating the person’s hands and upper body, the background softly blurred with muted tones, focusing on the phone screen, subtle light trails and motion effects enhancing the dynamic feel, symbolizing aspiration and inspiration
บทบาทของ Influencers ที่เริ่มต้นจากการแนะนำสินค้า ได้พัฒนาไปสู่การช่วยเหลือผู้คนแก้ปัญหาในชีวิต และเสนอตัวเลือกที่แตกต่างออกไป สำหรับธุรกิจที่เคยเห็น Tech Startups เติมเต็มช่องว่างของตลาดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้พลังจาก “กลุ่มคน” หรือ Crowd กำลังเข้ามาแทนที่ จาก Accenture Life Trends survey 2024 พบว่า 68.2% ของผู้คนยินดีที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มากขึ้น หากแบรนด์ช่วยให้ความรู้ผ่านบทความหรือวิดีโอ
สำหรับธุรกิจ นี่เป็นโอกาสที่จะสร้างความแตกต่างโดยการเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่า และเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่านการให้ความรู้ในแบบที่ช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาโดยตรงค่ะ
เพราะในปัจจุบันคำแนะนำส่วนบุคคลที่ผู้คนได้รับจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักจะดูจริงใจ เชื่อมโยงกับชีวิตจริง และสามารถนำไปใช้ได้จริง กำลังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในชีวิตของผู้คนมากกว่าที่เคยเป็นมา ผู้คนเริ่มใส่ใจและตระหนักถึงข้อมูลและการกระทำมากขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถจัดการเรื่องการเงิน สุขภาพ และการใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างมีคุณค่า
ดังนั้นสำหรับแบรนด์ การกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการหมายถึงการลดความซับซ้อนของกระบวนการที่ไม่จำเป็น (mundane) และเพิ่มประสบการณ์ที่มีความหมายและเข้าใจง่าย (humane) “Life hacks” ที่สามารถช่วยให้ผู้คนบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วขึ้น กำลังถูกบริโภคอย่างแพร่หลาย ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเป้าหมายของลูกค้า สำหรับธุรกิจ การเป็นคำตอบสำหรับทางลัดที่ลูกค้ากำลังมองหา อาจเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความโดดเด่นให้แบรนด์ค่ะ
หากแบรนด์ไหนอยากปรับตัวแล้วเข้ามาจับเทรนด์นี้ โอกาสของแบรนด์คือ ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองได้รวดเร็ว สร้าง Content ที่เข้าใจง่ายและตอบโจทย์ตรงจุด ใช้ Influencer เชื่อมโยงกับผู้บริโภคเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
นอกจากนั้นคือ ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ตรวจสอบว่ามีส่วนไหนที่สามารถทำให้เรียบง่ายขึ้นได้ เช่น การนำระบบอัตโนมัติมาใช้หรือทำให้การใช้งานอินเทอร์เฟซเป็นไปอย่างราบรื่น เสริมด้วยการใส่ความเป็นมนุษย์ (human touch) เข้าไปในประสบการณ์ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ เป้าหมายคือการมอบประสบการณ์ที่เหมาะกับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและตอบโจทย์พวกเขาค่ะ
เน้นการให้บริการลูกค้าเป็นหลัก หาโอกาสในการใช้สื่อและ Influencer ที่จะสามารถช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายได้ในช่วงที่พวกเขาเบื่อหน่าย ผู้คนต้องการคำแนะนำและความช่วยเหลือจากคนจริง ๆ ดังนั้นควรขยายการใช้ช่องทางที่รู้สึกว่าใกล้ชิดและเข้าถึงได้ง่ายค่ะ
ความสามารถของ Community Online ในการช่วยนำทางทางเลือกต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง หากธุรกิจมุ่งเน้นเฉพาะผลิตภัณฑ์โดยไม่สนใจลูกค้า ก็อาจพลาดโอกาสที่มีค่า ใช้ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์และมีความหมายค่ะ
อย่างที่บอกไปว่าคนในปัจจุบันมีความใจร้อนและอยากจะควบคุมชีวิตในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ธุรกิจควรหาโอกาสในการเสนอผลิตภัณฑ์และบริการในบริบทอื่น ๆ เช่น การพัฒนาข้อเสนอผ่านความร่วมมือที่ช่วยเสริมบทบาทของแบรนด์ในชีวิตของผู้คนมากขึ้น
เพราะคนรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการจากแบรนด์ ซึ่งกลายเป็นโอกาสสำคัญที่จะสร้างความแตกต่าง ความสำเร็จของธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่ผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าผ่านการมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและมีความหมายค่ะ
4. เกียรติยศของการทำงาน (The Dignity of Work)
“คุณค่าของงาน” เป็นเสาหลักสำคัญของการสร้างสถานที่ทำงานที่ดี แต่ในปัจจุบันกลับถูกสั่นคลอนด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากธุรกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความสำคัญและคุณค่าของการทำงานของพนักงานเริ่มถูกมองข้ามค่ะ
การที่องค์กรให้ความสำคัญกับพนักงานและปฏิบัติอย่างเหมาะสมจะกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ หากแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ พนักงานก็จะพร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลง เช่น การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Generative AI เข้ามาใช้งาน ในทางตรงกันข้าม หากพนักงานไม่ได้รับแรงจูงใจหรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาทสำคัญในองค์กร ก็ย่อมส่งผลให้ขาดพลังและความตั้งใจก็ลดลง ส่งผลต่อผลงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ หรือประสบการณ์ที่ส่งมอบให้กับลูกค้าด้วยค่ะ
องค์กรที่ประสบความสำเร็จในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจะต้องให้ความสำคัญกับ “คุณค่าของคน” ควบคู่ไปกับการปรับตัวไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หากขาดการดูแลพนักงานอย่างเหมาะสม ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ก็จะลดลงด้วยค่ะ
จากข้อมูลในเทรนด์นี้ พบว่าการทำงานสมัยนี้มันเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยรู้สึกสนุกหรือมีพลัง กลายเป็นเหมือน “แลกเปลี่ยน” กันแบบผิวเผิน เช่น นายจ้างจ่ายเงินเดือน พนักงานทำงานให้ จบแค่นั้น โดยไม่มีความรู้สึกผูกพันหรือแรงกระตุ้นเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้มันควรจะต้องมีพลังสองทาง คือ นายจ้างต้องทุ่มเทดูแลพนักงาน และพนักงานเองก็ควรจะใส่ใจงานเพื่อให้งานออกมาดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือทั้งสองฝ่ายเริ่มขาดพลังหรือความเต็มใจที่จะทำให้มันเกิดขึ้น
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : A photo-realistic image of a person sitting at a desk, staring at a computer screen with a stressed and anxious expression. The person is leaning slightly forward, resting their head on one hand while the other hand hovers over the keyboard or mouse. The computer screen emits a cold, bluish glow that illuminates their face and upper body, contrasting with the dim, muted tones of the room. The background is softly blurred, with faint outlines of scattered papers, coffee cups, or a cluttered desk, emphasizing the tense and overwhelming atmosphere of the moment.
มันก็เลยส่งผลให้ที่ทำงานหลายแห่งที่เคยดูมีชีวิตชีวากลายเป็นแค่สถานที่ที่ทำงานให้เสร็จ ๆ ไป ไม่มีแรงบันดาลใจหรือความสุขแบบที่ควรจะเป็น แล้วปัญหานี้มันเริ่มชัดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนทำงาน ทำให้การทำงานกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อและน่าหนักใจสำหรับหลาย ๆ คน
60% ขององค์กรขนาดใหญ่ ใช้เครื่องมือติดตามพฤติกรรมการทำงานของพนักงาน แม้จะมีหลักฐานยืนยันว่า การให้อิสระในการทำงานช่วยเพิ่มความพึงพอใจ แรงจูงใจ และความคิดสร้างสรรค์ แต่การติดตามพนักงานอย่างเข้มงวดกลับสร้างความกดดันและลดประสิทธิภาพในระยะยาวค่ะ
การบริหารในยุคปัจจุบันเรียกร้องให้ผู้นำ เช่น CEO, ผู้จัดการ และหัวหน้าทีม ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น เพื่อรับมือกับความท้าทายในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความผันผวน ต้องสร้างวิธีใหม่ ๆ ในการฟื้นฟูแรงจูงใจของพนักงาน ต้องหาวิธีเติบโตแบบยั่งยืน ในขณะที่รักษาความสัมพันธ์ที่ดีภายในทีมอีกด้วยค่ะ
ซึ่งการสร้าง Energy และการสร้างสมดุลในการแลกเปลี่ยนคุณค่าระหว่างพนักงานและองค์กร ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้เอง แต่เป็นผลลัพธ์จากการดำเนินการที่ตั้งใจและจริงจังของผู้นำที่ใส่ใจในการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการทำงานอย่างกระตือรือร้น รวมทั้งแบรนด์ หรือ ธุรกิจที่ไม่ใส่ใจอาจต้องเผชิญกับวัฒนธรรมองค์กรที่แย่ลง งานที่ไร้คุณภาพ และแรงจูงใจที่ถดถอย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้าและการเติบโตของธุรกิจอีกด้วยค่ะ
โดยหากแบรนด์ หรือ ธุรกิจ อยากแก้ไขก็ต้องเริ่มต้นที่ผู้นำ หรือ หัวหน้า เพื่อฟื้นฟูพลังงานทีมงาน ส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างคนในทีม ไม่ว่าจะเป็นการพบปะกันแบบตัวต่อตัวหรือทางออนไลน์ หลีกเลี่ยงการตัดงบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ช่วยเสริมพลังงานและแรงบันดาลใจของพนักงาน
ต้องแยกแยะบทบาทของมนุษย์และเครื่องจักร ปฏิบัติต่อคนในฐานะมนุษย์ และเครื่องจักรในฐานะเครื่องมือ ห้ามมอง AI เป็นสิ่งที่เทียบเท่ามนุษย์ เพราะอาจลดทอนคุณค่าของงานที่มนุษย์สร้างขึ้น และนำไปสู่ความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลได้ค่ะ
การทำงานที่ให้ความเคารพและคุณค่า โครงสร้างงานควรเน้นไปที่การให้เกียรติและแสดงถึงคุณค่าของพนักงาน ย้ำถึงความสำคัญของบทบาทของพนักงานในการบรรลุเป้าหมายของทีม การยอมรับและแสดงให้พนักงานเห็นถึงความแตกต่างที่พวกเขาสร้างได้ จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจและเป้าหมายในงานมากขึ้น
รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ เพราะพนักงานควรมีโอกาสแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำ AI มาปรับใช้ในงานของพวกเขา ให้พนักงานได้กำหนดว่า AI จะช่วยในงานส่วนไหน และควรให้คุณค่ากับความคิดเห็นเหล่านั้น และผู้นำ หรือ หัวหน้าต้องพิจารณาว่าใครควรรับผิดชอบงานที่ AI มีส่วนช่วย และรับประกันว่า AI จะเป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุน ไม่ใช่ตัวแทนที่รับผิดชอบงานทั้งหมดค่ะ
การบริหารคนในยุค AI ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เครื่องมือดิจิทัลและการให้คุณค่ากับมนุษย์ การเคารพความคิดเห็นและความสำคัญของพนักงานเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสร้างความสำเร็จในระยะยาวให้กับองค์กรค่ะ
5. การเชื่อมโยงกับธรรมชาติอีกครั้ง (Social Rewilding)
และสำหรับ 5 เทรนด์ผู้บริโภค 2025 เทรนด์สุดท้าย คือ ผู้คนเริ่มต้องการ “การหลีกหนี” จากโลกดิจิทัลและกลับสู่ประสบการณ์ที่จับต้องได้ เช่น การใช้เวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง การหาความเชื่อมโยงทางสังคมที่มีความหมาย และการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน ตอนนี้คนเราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันแบน ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ เลยอยากหาอะไรที่มันลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้น
เช่น อยากสัมผัสประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ หรือรู้สึกถึงสิ่งรอบตัวจริง ๆ การกลับมาสนใจธรรมชาติหรือกิจกรรมที่จับต้องได้จริง ๆ แบบนี้ เขาเรียกกันว่า “Social Rewilding” หรือการคืนสู่ธรรมชาติในเชิงสังคม มันคือการพยายามกลับมาเชื่อมต่อกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมในโลกจริง ไม่ใช่แค่ผ่านหน้าจอค่ะ
รายงานเทรนด์ของ Accenture ปีนี้ก็บอกว่า แนวคิดนี้ไม่ได้แค่เกิดในที่ใดที่หนึ่ง แต่เป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั่วโลก เช่น คนเริ่มหันมาทำสวน ปลูกต้นไม้ ทำงานฝีมือ หรือกิจกรรมที่ได้ใช้มือและหัวใจในการสร้างสรรค์ รวมถึงการหาวิธีเชื่อมต่อกับคนรอบตัวจริง ๆ ไม่ใช่ผ่านเทคโนโลยีอย่างเดียว ซึ่งเทรนด์นี้ยังเปิดโอกาสให้องค์กรต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทในการช่วยสร้างประสบการณ์เหล่านี้ให้คนได้อีกด้วยค่ะ
ตอนนี้คนเราเริ่มหันกลับมามองหาความหมายและความลึกซึ้งจากโลกแห่งความจริงกันมากขึ้น แนวคิดที่เรียกว่า “Social Rewilding” กำลังมาแรง มันเหมือนกับการฟื้นฟูธรรมชาติในตัวเอง เช่น การกลับมาสู่กิจกรรมที่ช่วยให้เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติ มีชีวิตที่สมดุล หรือฟื้นฟูพฤติกรรมดี ๆ ที่เราเคยทำแต่ลืมไปค่ะ
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกเหมือนกำลังทดสอบว่าเราสามารถเชื่อมต่อกันได้แค่ไหนผ่านโลกดิจิทัล แน่นอนว่ามันสะดวกสำหรับชีวิตที่ยุ่งเหยิงในยุคนี้ แต่เราก็เริ่มรู้แล้วว่าแค่การใช้ดิจิทัลมันไม่พอ คนเริ่มอยากสัมผัสโลกจริงมากขึ้น เช่น อยากกลับมามีช่วงเวลาที่ได้เดินในสวน ได้ทำงานอดิเรก หรือได้พูดคุยกับคนรอบตัวแบบจริง ๆ
สิ่งสำคัญไม่ใช่การปฏิเสธโลกดิจิทัลไปเลย แต่เป็นการหาจุดสมดุล เราเริ่มเห็นว่าคนให้บทบาทกับดิจิทัลแค่เป็น “ผู้ช่วย” ที่เสริมสร้างประสบการณ์ดี ๆ ในโลกจริง แทนที่จะปล่อยให้มันดึงเราออกจากความสุขเหล่านั้น
อบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : A photo-realistic image of a person sitting and crafting a clay pot on a pottery wheel, surrounded by a serene natural setting. The person’s hands are covered in wet clay, skillfully shaping the pot while focusing intently on their work. The background features lush greenery, soft sunlight filtering through the trees, and a tranquil outdoor atmosphere. The scene highlights the harmony between art and nature, with earthy tones from the clay blending beautifully with the natural surroundings.
ตอนนี้เราอยู่ในจุดที่คนเริ่มหันกลับมามองหาความสมดุลระหว่างชีวิตจริงกับโลกดิจิทัล แนวคิด Social Rewilding เป็นเหมือนการฟื้นฟูตัวเองจากความเหนื่อยล้าของชีวิตที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมากเกินไป คนเริ่มตั้งใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้เรียบง่ายและสมดุลมากขึ้น
ผลสำรวจล่าสุดของ Accenture ชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกดีมากที่สุดกับประสบการณ์ในโลกจริง โดย 41.9% ของคนที่ตอบแบบสอบถามบอกว่า ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นในโลกจริง เช่น การไปเที่ยวธรรมชาติหรือทำกิจกรรมที่ได้ใกล้ชิดกับผู้คน ขณะที่มีเพียง 15.3% เท่านั้นที่บอกว่าประสบการณ์ที่ดีที่สุดของพวกเขาเป็นเรื่องในโลกดิจิทัล
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่น่าสนใจคือ คนเริ่มชื่นชม JOMO (Joy of Missing Out) หรือความสุขที่ได้อยู่ห่างจากเทคโนโลยี มีถึง 37.9% ที่รู้สึกว่าไม่ต้องเชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลตลอดเวลาก็ทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนเริ่มปรับตัวหาวิธีใช้ชีวิตที่เชื่อมต่อกับธรรมชาติและคนรอบข้างมากขึ้น และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีให้น้อยลง
อย่างที่เล่าไปว่าช่วงนี้คนเริ่มกลับมาสนใจการใช้ชีวิตในโลกจริงมากขึ้น พวกเขาอยากได้ประสบการณ์ที่ “รู้สึกได้จริง” ไม่ใช่แค่ดูผ่านหน้าจอ นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ ที่จะสร้างกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตลูกค้าในแบบออฟไลน์
แน่นอนว่าเรายังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลกันต่อไป แต่คนเริ่มมองหาความสมดุล อยากลดเวลาที่ใช้หน้าจอลง และใช้เวลากับสิ่งที่ทำให้รู้สึกถึงการมีชีวิตชีวามากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังเกิดขึ้นแล้ว และมันจะยิ่งขยายตัวมากขึ้นในอนาคต ถ้าแบรนด์ไหนปรับตัวเข้ากับเทรนด์นี้ได้ตั้งแต่ตอนนี้ ก็จะกลายเป็นแบรนด์ที่โดดเด่นและมีความแตกต่างในสายตาลูกค้า
ถ้าตอนนี้คุณกำลังคิดอยู่ว่าแบรนด์ของคุณจะปรับตัวยังไงให้เข้ากับคนยุคนี้ ข้อแนะนำหลัก ๆ คือการเชื่อมโยงกับลูกค้าในแบบที่ไม่ใช่ดิจิทัลค่ะ เพราะช่วงนี้หลายคนเริ่มโหยหาประสบการณ์ที่จับต้องได้จริง ๆ เช่น การได้เจอหน้าพูดคุยแบบตัวต่อตัว หรือการมีกิจกรรมสนุก ๆ ที่มีแบรนด์อยู่ด้วย
อีกจุดที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีแบบง่าย ๆ ที่คนเลือกใช้ในช่วงเวลาสำคัญ เช่น กล้องฟิล์มหรือเสียงดิจิทัลแบบดั้งเดิม ซึ่งแสดงถึงอารมณ์และความคิดถึงอดีต แบรนด์ที่เข้าใจตรงนี้และนำเสนอสิ่งเหล่านี้ในแบบที่ดูเข้าถึงได้ จะกลายเป็นแบรนด์ที่โดดเด่น
นอกจากนี้ การหันมาใส่ใจ “ความเป็นท้องถิ่น” ก็สำคัญค่ะ แต่ต้องทำอย่างละเอียดอ่อน ไม่ใช่แค่หยิบยกภาพลักษณ์ซ้ำ ๆ ของวัฒนธรรมมาใช้ เช่น การจัดกิจกรรมที่สะท้อนวิถีชีวิตเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ก็จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใกล้ชิดมากขึ้น
สุดท้ายนี้ อย่าลืมเรื่องธรรมชาติค่ะ ผู้คนเริ่มมองหาประสบการณ์ที่เกี่ยวกับธรรมชาติมากขึ้น การทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ อาจช่วยให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงใจลูกค้าได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย
นี่คือ 5 เทรนด์ผู้บริโภค 2025 กับคุณแม็ค สุนาถ ธนสารอักษร Accenture Song ทั้ง 5 เทรนด์ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคกำลังมองหาความจริงใจ ความน่าเชื่อถือ และประสบการณ์ที่มีความหมาย ทั้งในโลกดิจิทัลและโลกจริง นักการตลาดและธุรกิจควรปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการเหล่านี้ โดยมุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง โปร่งใส และตอบโจทย์ชีวิตของลูกค้าในทุกมิติ เพื่อความสำเร็จในระยะยาว ใครอยากอ่าน Report เพิ่มเติม สามารถอ่านตรงนี้ได้เลยนะคะ https://accntu.re/49EAt7U แล้วคุณล่ะ พร้อมหรือยังที่จะก้าวสู่อนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับผู้บริโภค?
ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ