Collaboration Marketing จระเข้ แสนสิริ

ถอดกลยุทธ์ Collaboration Marketing จระเข้ x แสนสิริ ไม่ใช่แค่แคมเปญ แต่คือการวางระบบ Green Living ของทั้งอุตสาหกรรม

บทความนี้จะพาทุกคนมาดูกลยุทธ์ Collaboration Marketing ของ จระเข้ และ แสนสิริ ที่ไม่ได้แค่จับมือกันโปรโมตสินค้า แต่เป็นการร่วมสร้างมาตรฐานใหม่ของวงการอสังหาฯ ผ่านแนวคิด Green Living ที่วัดผลได้จริง และต่อยอดได้จริงในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งความน่าสนใจของแคมเปญนี้อยู่ที่การใช้จุดแข็งของแต่ละแบรนด์ แสนสิริในฐานะผู้นำอสังหาฯ ที่มีเป้าหมาย Net-Zero ชัดเจน และจระเข้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้างสาย Green Innovation มาร่วมกันสร้างต้นแบบบ้านแห่งอนาคต ที่ไม่เพียงรักษ์โลก แต่ยังยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคไปพร้อมกัน มาดูกลยุทธ์กันครับว่าเป็นยังไง

การจับมือระหว่างแสนสิริ และจระเข้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อเพิ่มสีสันทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนกลยุทธ์การสร้าง Eco sustainability system ที่อาจไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยแบรนด์เดียว แสนสิริแม้จะเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และมีเป้าหมาย Net-Zero ชัดเจน แต่หากดำเนินแนวคิด Green Living เพียงลำพังโดยใช้วัสดุก่อสร้างทั่วไป ย่อมยากที่จะส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สอดคล้องกับแนวคิด Health & Well-Being Living ได้อย่างสมบูรณ์ครับ

ขณะเดียวกันจระเข้เอง ก็มีนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่โดดเด่น โดยเฉพาะการพัฒนา Green Products ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าหากสื่อสาร Value ดังกล่าวในร้านวัสดุหรือสื่อโฆษณาเพียงลำพัง อาจไม่สามารถสร้างความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคได้เต็มที่ครับ เพราะนวัตกรรมระดับวัสดุมักเป็นเรื่องเทคนิคที่อธิบายยาก การมีพันธมิตรอย่างแสนสิริจึงกลายเป็นโอกาสทองที่ทำให้จระเข้สามารถโชว์ของจริงผ่านบ้านต้นแบบระดับพรีเมียม สร้างทั้งความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์การเป็น Green Innovation Partner ในวงการอสังหาฯ ได้พร้อมกันครับ

สิ่งสำคัญคือการ Collab ในครั้งนี้ช่วยให้เกิดสิ่งที่แบรนด์ทำคนเดียวไม่ได้ นั่นคือการวางมาตรฐานใหม่ให้ทั้งวงการ ด้วยต้นแบบบ้านที่ไม่เพียงใช้วัสดุยั่งยืน แต่ยังวัดผลได้จริง เช่น การลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 83% และลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 14,000 ต้น สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยภาพสวย ๆ หรือโบรชัวร์เพียงอย่างเดียวครับ ต้องใช้ของจริงเป็นหลักฐาน และความร่วมมือเป็นพลังขับเคลื่อน 

การร่วมมือกันของแสนสิริและจระเข้จึงเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ตลาดเชื่อว่า Green Construction ไม่ใช่แค่แนวคิดชั่วคราว แต่เป็นมาตรฐานถาวรของที่อยู่อาศัยในอนาคตครับ

ทั้งสองแบรนด์ไม่ได้ร่วมมือกันเพื่อแค่แสดงนวัตกรรม แต่เพื่อวาง Eco sustainability system ใหม่ของวงการอสังหาฯ ที่ใช้วัสดุปลอดสารพิษ ลด VOC ลดคาร์บอน และยืดอายุการใช้งานของวัสดุครับ แสนสิริย้ำว่าความยั่งยืนต้องเริ่มจากโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่แค่กิจกรรม CSR หรือการติดโซลาร์เซลล์ ทางด้านจระเข้ก็สร้าง Green Products ที่ได้รับมาตรฐานสากล ครอบคลุมทั้งงานปูกระเบื้อง เคมีก่อสร้าง และสีทาอาคาร พร้อมนวัตกรรม Microban และ Hydrophobic ที่ช่วยลดเชื้อราและเพิ่มสุขภาวะผู้อยู่อาศัย

  • รายแรกและรายเดียวที่ใช้เทคโนโลยี Microban ยับยั้งราดำตลอดอายุการใช้งาน
  • Hydrophobic ป้องกันการซึมน้ำ ผนัง-พื้นสะอาดง่าย ลดปัญหาทางเดินหายใจ
  • มีสีให้เลือกถึง 35 เฉดสี รองรับทุกสไตล์บ้าน ตั้งแต่ Minimal ไปจนถึง Luxury
  • กาวยาแนวและปูนคุณภาพสูง VOC ต่ำ ไม่มีกลิ่นฉุน
  • ยับยั้งราดำ ตะไคร่น้ำ และแบคทีเรีย
  • ทนทาน ใช้ได้ยาวนาน พร้อม 14 เฉดสี

สินค้าเหล่านี้ไม่ได้โชว์ในแคตตาล็อก แต่ใช้งานจริงในบ้านตัวอย่าง Sansiri Sustainable Hom ครับ

Collaboration Marketing จระเข้ แสนสิริ
Collaboration Marketing จระเข้ แสนสิริ
  1. Health and Well-being Design ออกแบบบ้านให้ลดการสัมผัสเชื้อรา แสงสว่างดี พื้นที่ปลอดสารพิษ
  2. Resource Efficiency ติดตั้ง Solar Panel, ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า, ลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 83%
  3. Cooliving Design บ้านเย็นด้วยวัสดุสะท้อนความร้อน, ออกแบบตามทิศทางลม แดด ฝน
  4. Green Materials & Upcycling ใช้เศษวัสดุก่อสร้าง เช่น หินอ่อนเหลือใช้มาทำเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ลดขยะ และคาร์บอน
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 35%
  • เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 14,300 ต้น ต่อบ้าน 1 หลัง

Prototype นี้อยู่ที่โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ สาย 1 และเป็นการรวมพลังของ 18 Green Partners ที่จะช่วยขับเคลื่อนโมเดลนี้ต่อยอดในระดับประเทศ

ผมมองว่าแคมเปญนี้คือการสร้างมาตรฐานใหม่ ให้กับวงการอสังหาฯ ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ชั่วคราว เป็น Collaboration ที่ถูกออกแบบมาทั้งในมิติ เศรษฐกิจ, มนุษย์, และสิ่งแวดล้อมโดยใช้จุดแข็งของแต่ละแบรนด์อย่างสมดุล นี่คือตัวอย่างการทำ Collaboration ที่คิดใหญ่ + ทำจริง + สื่อสารได้ครบ นักการตลาดควรเก็บเคสนี้ไว้เป็นกรอบการทำงาน เมื่อคิดเรื่อง Brand Partnership ในยุคที่ Sustainable is the New Norm

(ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : A futuristic eco-friendly cityscape featuring a modern residential home built with green construction materials. The home showcases solar panels, green rooftops, and rainwater harvesting systems. The atmosphere should be clean, bright, and hopeful, with an emphasis on sustainable living, health, and environmental harmony. The image should evoke a sense of systemic change, not just a single product, highlighting industry-level collaboration on green living solutions.)

Collaboration ระหว่างแสนสิริและจระเข้ไม่ใช่แค่การร่วมมือระหว่างแบรนด์ใหญ่ แต่คือการออกแบบระบบนิเวศความยั่งยืนร่วมกันที่ทำได้จริง วัดผลได้ และต่อยอดได้ในระดับอุตสาหกรรม โดยใช้จุดแข็งของทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจนแสนสิริในฐานะผู้นำอสังหาฯ ที่ขับเคลื่อนแนวคิด Net-Zero และจระเข้ในฐานะแบรนด์วัสดุก่อสร้างที่พัฒนา Green Innovation อย่างต่อเนื่อง นี่คือตัวอย่างของ Brand Partnership ที่ยกระดับทั้งตลาด สร้างมาตรฐานใหม่ และพิสูจน์ว่า Sustainability ไม่ได้เป็นแค่ภาพฝัน แต่เป็น Competitive Advantage ที่จับต้องได้จริงครับ

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

ชื่อเติ้ลครับ เป็น Senior Data Insight Researcher & Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอนครับ ^^ มีงานอดิเรกเป็น ผู้ช่วยนักวิจัยฝั่ง Consumer Insights ที่คณะวิทยาศาตร์การกีฬา ที่จุฬาครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *