ถ้าลองย้อนดูตลาดเครื่องสำอางเมื่อสิบปีที่แล้ว เราจะเห็นค่านิยมที่บอกว่า “ผิวต้องขาวถึงจะดูดี” หรือ “ผู้ชายห้ามแต่งหน้า” แต่โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากค่ะ คนไม่ได้ซื้อเมกอัพแค่เพราะอยาก “ตามเทรนด์” แต่ซื้อเพราะอยาก “เป็นตัวเอง”
ความงามไม่ใช่กรอบเดียวกันสำหรับทุกคนอีกต่อไป และนี่คือสิ่งที่ KIKO Milano และ BEAUTRIUM เข้าใจได้เร็วกว่าใคร เพราะโอปอได้มีโอกาสไปร่วมงานครบรอบ 1 ปีของ KIKO ใน BEAUTRIUM บอกเลยว่ารู้สึกชัดมากว่า ทั้งสองแบรนด์ไม่ได้แค่มาขายเครื่องสำอาง แต่กำลังสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้ลอง สนุก และค้นพบตัวตนของตัวเองผ่านเมกอัพ จริง ๆ
มาดูกันค่ะว่าเบื้องหลังของการเปลี่ยน “จุดขายของ” ให้กลายเป็น “พื้นที่แห่งประสบการณ์” เขาทำยังไง และแบรนด์อื่น ๆ เอาไปปรับใช้ยังไงได้บ้าง
จากแค่ “ขายเครื่องสำอาง” สู่การสร้าง “Beauty Playground”
KIKO Milano วางขายใน BEAUTRIUM ครบ 1 ปีแล้ว หลังจากเปิดตัวในช่องทางนี้เมื่อปี 2567 และได้รับกระแสตอบรับดีมาก ด้วยราคาที่จับต้องได้ แต่คุณภาพระดับยุโรป ซึ่งเข้ากันได้ดีกับแนวทางของ BEAUTRIUM ที่ไม่ได้เป็นแค่ Multi-brand beauty store แต่เป็น “One Stop Beauty Destination” ที่เชื่อในความสวยที่ไม่จำกัดนิยาม และพร้อมสร้างประสบการณ์ความงามที่สนุกและมืออาชีพให้กับทุกคนค่ะ
ปีนี้ ทั้งสองแบรนด์จึงเดินหน้ากันต่อ ด้วยการขยายจุดวางจำหน่าย KIKO Milano ภายใน BEAUTRIUM เป็น 15 สาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่แค่มีจุดขายเพิ่มมันยังไม่พอ เพราะยุคนี้ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่ “ซื้อของ” แต่ต้องการ “ลอง สนุก และอินกับแบรนด์” จริง ๆ
BEAUTRIUM และ KIKO Milano จึงทำให้หน้าร้านกลายเป็น “Beauty Playground” ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามาสนุกกับเมกอัพจริง ๆ ผ่านบริการ “Make Up & Go” ที่มี Makeup Artist ประจำสาขาคอยให้คำแนะนำและช่วยทัชอัพลุคให้ลูกค้าแบบมั่นใจ ใครอยากรู้ว่าโทนสีไหนเหมาะกับตัวเอง หรืออยากได้ไอเดียลุคใหม่ ๆ ก็สามารถเข้ามาลองได้แบบไม่มีกรอบจำกัดเลยค่ะ
“Self-Expression” เทรนด์ใหญ่ที่ KIKO Milano จับได้อยู่หมัด
ในยุคนี้ คนไม่ได้แต่งหน้าแค่เพื่อ “ตามเทรนด์” อีกต่อไป แต่แต่งหน้าเพื่อ “เป็นตัวเอง” และเพื่อให้ภาพลักษณ์ของตัวเองสะท้อนสิ่งที่พวกเขาอยากสื่อออกไป ซึ่ง KIKO Milano รู้ดีว่าถ้าจะเข้าถึงคนยุคนี้ได้ ต้องทำให้เมกอัพเป็นเรื่องของ “Self-Expression” ไม่ใช่แค่ความสวยแบบที่เคยถูกจำกัดอยู่ในกรอบเดิม ๆ
ในอีเวนต์ครบรอบ 1 ปีนี้ KIKO Milano ได้โชว์ 3 ลุคที่ช่วยตอกย้ำแนวคิดนี้ ตั้งแต่ ลุคเกาหลี ที่เน้นความสดใส ผิวฉ่ำวาว ลุค Soft Glam สายฝอ ที่ดูแพงแต่แต่งง่าย และที่น่าสนใจคือ Men Healthy Look ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ชายก็สามารถใช้เมกอัพเพื่อเพิ่มความมั่นใจได้ โดยไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าแบบจัดเต็ม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความงามไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพศ หรือสไตล์เดียว ทุกคนสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองได้ (ซึ่งจุดนี้โอปอชื่นชมและเห็นด้วยมาก ๆ ค่ะ)
การที่แบรนด์ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ว่าต้องแต่งหน้ายังไงถึงจะสวย แต่กลับบอกให้ทุกคน “แต่งยังไงก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกดี” ทำให้เกิด Emotional Connection กับลูกค้าทันที ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจเขา และเมื่อผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์สะท้อนตัวตนของพวกเขาได้ Brand Loyalty ก็จะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
4 กลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ดีลนี้แข็งแกร่ง
1. Shop-in-Shop ขยายจุดขาย ให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น
KIKO เลือกใช้กลยุทธ์ Shop-in-Shop โดยเข้าไปอยู่ใน BEAUTRIUM ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับ KIKO ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ชอบลองสินค้าและเปรียบเทียบหลายแบรนด์ในที่เดียว การใช้ช่องทางนี้ทำให้ลูกค้าสามารถพบแบรนด์โดยไม่ต้องตั้งใจเดินเข้าชอปของ KIKO โดยตรง
ทำไมกลยุทธ์นี้เวิร์ก?
เพราะการมีแค่ชอปของตัวเองอาจจำกัดการเข้าถึงลูกค้า แต่การกระจายจุดขายไปอยู่ในช่องทางที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มทดลองและซื้อสูง เช่น Multi-brand store ช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้ลองใช้และตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น
แล้วแบรนด์อื่นเอาไปใช้ยังไงดี?
หากแบรนด์ของคุณมีร้านของตัวเองอยู่แล้ว แต่ต้องการขยายตลาด ลองวางจุดขายในร้านที่ลูกค้าเป้าหมายไปเป็นประจำ เช่น Multi-brand store พื้นที่ Pop-up ในห้าง หรือร้านพาร์ทเนอร์ที่มีสินค้าเสริมกัน วิธีนี้ช่วยให้แบรนด์ไม่ต้องแบกต้นทุนการเปิดร้านเอง แต่ยังสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
2. Offline-First Experience คนต้องการ “สัมผัส” ของจริง ก่อนตัดสินใจซื้อ
จากที่ลองสังเกต โอปอว่าสำหรับเมกอัพแล้ว “เห็นในจอ กับของจริง มันคนละเรื่องกัน” นี่แหละค่ะ คือสิ่งที่ KIKO เข้าใจดีว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังอยากไปหน้าร้านเพื่อลองเนื้อสัมผัส เลือกเฉดสีที่ใช่ และรับคำแนะนำจาก Makeup Artist ซึ่งพอได้ลองจริงแล้ว ความลังเลก็จะลดลงเยอะ ยิ่งการมีบริการ Make Up & Go ที่ BEAUTRIUM ทำให้หน้าร้านไม่ได้เป็นแค่ที่ขายของ แต่เป็นที่ที่ลูกค้าสามารถค้นหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเองได้แบบชัด ๆ
ทำไมกลยุทธ์นี้เวิร์ก?
เพราะต่อให้รีวิวออนไลน์จะเยอะแค่ไหน คนก็ยังอยากลองของจริงก่อนอยู่ดีค่ะ โดยเฉพาะสินค้าอย่างเมกอัพหรือน้ำหอม ประสบการณ์ที่หน้าร้านให้ได้ แต่ออนไลน์ให้ไม่ได้ คือ “ความมั่นใจ” ว่าซื้อไปแล้วจะไม่พลาด
แล้วแบรนด์อื่นเอาไปใช้ยังไงดี?
ถ้าขายสินค้าที่ลูกค้าต้องสัมผัส ต้องลองก่อนตัดสินใจ เช่น เครื่องสำอาง น้ำหอม เสื้อผ้า หรือ Gadget อย่าปล่อยให้หน้าร้านเป็นแค่จุดขายของ ต้องทำให้มันเป็นที่ที่ลูกค้าอยากมาเล่นด้วย เช่น มีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ หรือมีโซนให้ทดลองใช้งานจริง แบบนี้ลูกค้าจะจำแบรนด์ได้มากกว่าการแค่เดินเข้ามาหยิบของแล้วกลับค่ะ
3. Channel-Based Pricing โปรคุ้มคนละแบบ แต่จบที่ใจลูกค้าเหมือนกัน
อย่างที่โอปอพูดไปแล้วว่าหลายคนชอบไปลองของที่หน้าร้าน แต่เอาจริง ๆ แล้วถ้าพวกเขาเจอว่าออนไลน์ถูกกว่าก็กลับไปกดซื้อ เพราะงั้นสิ่งที่โอปอสังเกตเห็นคือ BEAUTRIUM และ KIKO Milano เลยใช้กลยุทธ์ ออกแบบข้อเสนอให้เหมาะกับแต่ละช่องทาง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็คุ้ม แต่คุ้มกันคนละแบบ”
ทำไมกลยุทธ์นี้ถึงสำคัญ?
เพราะลูกค้าเดี๋ยวนี้ช้อปแบบ “สลับไปมา” ดูรีวิวออนไลน์ → ไปลองที่ร้าน → กลับไปเช็คราคาออนไลน์ → ตัดสินใจซื้อ แต่ถ้าทุกช่องทางมีความคุ้มของตัวเอง ลูกค้าจะไม่รู้สึกว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
แบรนด์อื่นเอาไปปรับใช้ยังไง?
หากมีทั้งหน้าร้านและออนไลน์ อย่าตั้งราคาแข่งกันเอง แต่ให้ใช้ Channel-Based Pricing หรือข้อเสนอที่เสริมกัน เช่น
- หน้าร้าน →มีของแถมหรือบริการพิเศษ เช่น ทดลองใช้ก่อนซื้อ หรือกิจกรรมเฉพาะสาขา เช่นในแคมเปญนี้ที่ BEAUTRIUM สยามสแควร์มีแจกลิปสติก Unlimited Double Touch สี 129 ฟรีสำหรับ 100 คนแรกที่มาหน้าร้านในวันเปิดงาน แบบนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า ถ้ามาร้าน จะได้ประสบการณ์ที่พิเศษกว่า
- ออนไลน์ →มี Flash Sale หรือค่าส่งฟรี สำหรับคนที่อยากสะดวก
แบบนี้ลูกค้าจะเลือกช่องทางที่เหมาะกับเขา โดยที่ยังซื้อกับแบรนด์เรา ไม่ไหลไปหาคู่แข่ง
4. Human-Centric Marketing เข้าใจ “คน” ไม่ใช่แค่ “ลูกค้า”
จุดนี้เป็นจุดที่โอปอมองว่าสำคัญมากค่ะ KIKO Milano ไม่ได้ขายเครื่องสำอางแค่เพื่อให้ดูสวยแบบ “สมบูรณ์แบบ” ตามมาตรฐานเดิม ๆ แต่พวกเขาขาย “ความมั่นใจในแบบของคุณ” และยอมรับว่าความงามไม่มีมาตรฐานเดียวอีกต่อไป
ทำไมกลยุทธ์นี้เวิร์ก?
เพราะความงามยุคนี้ = ความเป็นตัวเอง ไม่ใช่การไล่ตามบิวตี้สแตนดาร์ดแบบเดิม ๆ ผู้หญิงไม่ได้แต่งหน้าเพื่อให้หน้าขาวเหมือนกันหมด ผู้ชายก็อยากดูดีขึ้นโดยยังคงสไตล์ตัวเอง กลุ่ม LGBTQ+ ต้องการเมกอัพที่สะท้อนตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่สังคมบอกว่าพวกเขาควรเป็น “ความงาม” จึงไม่ใช่กรอบเดียวกันสำหรับทุกคน แต่มันคือ “ไลฟ์สไตล์” ที่แต่ละคนเลือกได้
แล้วแบรนด์อื่นเอาไปใช้ยังไงดี?
ลองถามตัวเองว่า ลูกค้าคุณไม่ได้ต้องการแค่ “สินค้าที่ดีที่สุด” แต่ต้องการ “สินค้าที่เหมาะกับเขาที่สุด” หรือเปล่า? แทนที่จะขายของโดยเทียบว่าแบรนด์คุณดีกว่าคู่แข่งยังไง ลองเปลี่ยนเป็น “แบรนด์ของคุณเข้าใจใคร และช่วยให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นยังไง?”
เช่น ถ้าคุณขายรองเท้า → อย่าบอกแค่ว่าทนทานดีไซน์สวย แต่ให้บอกว่า “มันช่วยให้คุณออกไปทำสิ่งที่คุณรักได้เต็มที่” เพราะแบรนด์ที่เข้าใจ “คน” มากกว่าตัวสินค้า จะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาได้มากกว่าแค่การขายของค่ะ
สรุป KIKO Milano x BEAUTRIUM สร้าง Beauty Playground ที่มากกว่าขายของ
สุดท้ายแล้ว การแต่งหน้าไม่ใช่แค่เรื่องของเทรนด์หรือความสวยในสายตาใคร แต่มันคือ การเลือกที่จะเป็นตัวเองในแบบที่เรารู้สึกดี และ KIKO Milano กับ BEAUTRIUM ก็เข้าใจสิ่งนั้นดี พวกเขาไม่ได้แค่ตั้งร้านขายของ แต่สร้าง “พื้นที่” ให้ทุกคนได้กล้าลอง สนุกกับมัน และเจอสไตล์ที่เป็นของตัวเองจริง ๆ
โอปอเชื่อว่ากลยุทธ์แบบนี้ แบรนด์ไหนก็เอาไปปรับใช้ได้ค่ะ ไม่ว่าคุณจะขายรองเท้า แก้วน้ำ หรืออะไหล่รถยนต์ ขอแค่ถามตัวเองให้ชัดว่า “เราช่วยให้ลูกค้ารู้สึกดีกับตัวเองยังไง?” ถ้าคุณตอบคำถามนั้นได้ และส่งต่อความรู้สึกนั้นออกไปให้ถึงใจ ต่อให้สินค้าคุณเหมือนกับคนอื่น แต่แบรนด์ของคุณจะไม่เหมือนใครเลยค่ะ
แล้วถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์แบบนี้ด้วยตัวเอง อย่าลืมแวะ BEAUTRIUM สาขา Siam Square Flagship Store วันที่ 19–25 มี.ค. 2568 นี้นะคะ KIKO Milano เขาจัดเต็มทั้งโปร ของแถม และกิจกรรมน่ารัก ๆ ให้ลอง สนุก และเป็นตัวเองได้แบบเต็มที่เลย แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ :0)
อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่