ต้องบอกเลยว่าการแข่งขันในตลาด Smartphone และ Gadget นั้นรุนแรงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการนำ Ai เข้ามาใช้ การมีกล้องที่ถ่ายได้คมชัด หรือการนำวัสดุพรีเมี่ยมมาใช้ในการทำตัวเครื่อง วันนี้ผมเลยจะพามาดู การตลาด CMF By Nothing แบรนด์น้องใหม่ที่นำเสนอความคุ้มค่า และความแตกต่างที่ทุกคนเข้าถึงได้
CMF by Nothing เป็นแบรนด์ Smartphone และ Gadget น้องใหม่ภายใต้บริษัท Nothing Technology Limited ซึ่งก่อตั้งโดย Carl Pei อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus และได้เข้ามาทำการตลาดที่ประเทศไทยตั้งเมื่อช่วงปี 2023 โดยเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์ที่ทันสมัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน
โดยชื่อแบรนด์เป็นการรวมตัวย่อของคำ 3 คำได้แก่ Colour, Material และ Finish ซึ่งเป็นแนวคิดการออกแบบที่เน้นการเลือกสี วัสดุ และการตกแต่งพื้นผิวสัมผัสของผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น และมีความสวยงามที่ส่งผลในเชิงอารมณ์และความรู้สึก หรือที่เราเรียกว่า สุนทรียะ (Aesthetic)
ซึ่ง CMF by Nothing ให้ความสำคัญกับคุณค่าที่ต้องการจะส่งมอบให้กับกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3 ด้าน คือ
Uncompromised user experience เทคโนโลยีทันสมัยที่ทุกคนเข้าถึงได้
แบรนด์ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ไร้ข้อจำกัด โดยการส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้ โดยไม่ลดทอนคุณภาพในด้านใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย การออกแบบและประสิทธิภาพ โดยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
Trusted Quality คุณภาพที่เชื่อถือได้
ความน่าเชื่อถือได้ในคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่ CMF by Nothing ให้ความสำคัญ ทั้งในการออกแบบผลิตภัณฑ์ และผลิตตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้มีความปลอดภัยและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
Timeless Design ดีไซน์ที่ล้ำสมัย
แบรนด์เน้นการออกแบบที่ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังดูดีเสมอ โดยให้ความใส่ใจทุกรายละเอียดในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัสดุ การออกแบบส่วนประกอบ หรือการเลือกใช้สี เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับกลุ่มลูกค้า
ด้วย 3 คุณค่าที่แบรนด์ให้ความเชื่อมั่นจึงนำมาสู่การสร้างความแตกต่างที่สร้างสรรค์กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ฉีกไปจากกรอบเดิม ๆ ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานมานี้ ได้แก่
- CMF Phone 1 เป็น Smartphone รุ่นแรกของแบรนด์ ที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่ทันสมัยและแตกต่าง ส่งมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่ อย่างการเปลี่ยนฝาหลังของตัวเครื่องได้
- CMF Watch Pro 2 นาฬิกาอัจฉริยะอเนกประสงค์และสไตล์ที่มีการออกแบบของกรอบที่สามารถเปลี่ยนได้
- CMF Buds Pro 2 หูฟังที่ออกแบบเพื่อยกระดับประสบการณ์การฟังด้วยคุณสมบัติไม่เหมือนใคร อย่าง Smart Dial ที่ปรับแต่งได้บนเคส
ซึ่งมีการวางจัดจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์ของ cmf by Nothing ในประเทศไทยตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยเริ่มหาซื้อได้ที่ Jaymart เป็นที่แรก
ในส่วนถัดไปจะเป็นการวิเคราะห์ว่าแบรนด์น้องใหม่อย่าง CMF By Nothing จะมีกลยุทธ์อะไรที่น่าสนใจบ้าง เรามาดูกันเลยครับ
#Differentiation สร้างความแตกต่างเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่
ผมมองว่า CMF ใช้กลยุทธ์ Differentiation ในการสร้าง USP (Unique Selling Piont) หรือการสร้างความแตกต่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Product แบรนด์มุ่งเน้นการออกแบบที่ทันสมัยและแตกต่างจากคู่แข่งเห็นได้ชัดเจน ซึ่งเห็นได้จาก CMF Phone 1 ที่สามารถถอดและเปลี่ยนฝาหลังได้ตามควาต้องการของผู้ใช้ จึงเป็นการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ ที่ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการออกแบบและประกอบผลิตภัณฑ์นั้นด้วยตัวเอง
อีกทั้งการบูรณาการด้วยการใช้ Ai อย่าง ChatGPT เข้ามาช่วยเสริมฟีเจอร์ภายในเครื่อง รวมถึงยังสามารถรักษาคุณภาพของสินค้าในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งกลยุทธ์นี้ค่อนข้างจะเหมาะสมกับการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงอย่างกลุ่มสินค้า Smartphone และ Gadget ต่าง ๆ เพราะผลิตภัณฑ์จะโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่แบรนด์ตั้งไว้ได้
#Customization การปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า
จากกลยุทธ์แรกที่พูดถึงในข้างต้น ทุกคนคงเห็นแล้วว่า CMF Phone 1 สามารถปรับแต่งฝาหลังได้ตามใจชอบ โดยทางแบรนด์ก็มีฝาหลังที่มีสีสันหลากหลายให้เลือกใช้ตามสไตล์ของแต่ละคน และยังมีอุปกรณ์เสริมอย่างอื่น เช่น ขาตั้งโทรศัพท์ที่สามารถติดกับฝาหลังได้ที่มีสีสันหลากหลาย ทำให้สามารถ Mix and Math ได้อีกด้วย
CMF Watch Pro 2 ก็สามารถปรับแต่งได้เช่นกัน ซึ่งสามารถเลือกกรอบของตัวนาฬิกามีทั้งหมด 2 แบบ สามารถปรับแต่งตามความชอบของแต่ละคนได้เลย
#Nothing Community ชุมชนแข็งแกร่งพร้อมรับฟังและแก้ไข
นับว่าเป็นการต่อยอดจากแบรนด์หลักอย่าง Nothing ที่กลายมาเป็นรากฐานให้กับแบรนด์ CMF เพราะการใช้ Community Marketing มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ CMF เป็นอย่างมาก เพราะเป็นเหมือนสถานที่ที่รวบรวมกลุ่มลูกค้าตัวจริง
ทำให้สามารถรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้จริง และนำ Feedback เหล่านี้ ไปพัฒนาและต่อยอด โดยเฉพาะในด้านการออกแบบและฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์ CMF ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น
นอกจากนี้ ทางแบรนด์ยังส่งเสริมให้เกิดการ Co-creation ร่วมกับคนในชุมชนในการเข้าร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ CMF ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทำให้ทีมงานสามารถรับข้อมูลและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตามข้อเสนอแนะของผู้ใช้ได้อีกด้วย คนในชุมชนนี้ยังมีส่วนช่วยในการออกแบบ ดีไซน์หรือแม้แต่การเลือกวัสดุอีกด้วย
#KOL Marketing พูดจริงตามที่ได้สัมผัส
หลังจากที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 ไปได้ไม่นาน ทางแบรนด์ก็ได้ส่ง Box Set ไปให้กับเหล่า KOL ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่มีความรู้เกี่ยวกับ Smartphone และเทคโนโลยี โดยเป็น Content ที่ไม่ได้มีการบรีฟจากแบรนด์ เพื่อให้คนเหล่านี้ได้พูดถึงผลิตภัณฑ์ตามความรู้สึกจริงที่ได้สัมผัสหรือตามการใช้งานต่าง ๆ ของพวกเขา
ส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือที่มีตอแบรนด์มากยิ่งขึ้น เพราะหมายความว่าแบรนด์มีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง พร้อมยังแสดงถึงการยอมรับฟังความคิดเห็นหรือข้อชี้แนะอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์เพิ่มมากขึ้น เพราะเหล่า KOL ต่างก็มีผู้ติดตามและพร้อมจะรับฟังข้อมูลข่าวสารจากคนที่ตัวเองได้ติดตามไว้
สรุป
การตลาด CMF By Nothing มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะการที่แบรนด์หน้าใหม่จะเข้าไปแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้นั้น จะต้องมีความแตกต่างและสามารถมองหากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของแบรนด์ได้ โดย CMF จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความแตกต่างในด้านผลิตภัณฑ์ ผ่านการออกแบบ และฟีเจอร์ต่าง ๆ รวมทั้งยังสามารถควบคุมราคาให้เข้าถึงได้ง่าย ทำให้แบรนด์สามารถที่จะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้
นอกจากนี้จะเห็นว่า กลยุทธ์ที่ผมได้ยกตัวอย่างไปนั้นมีความสอดคล้องกับคุณค่าที่แบรนด์ต้องการส่งมอบให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Product ที่ส่งมอบคุณค่าด้านการออกแบบและความคุ้มค่า การสื่อสารด้วย KOL ก็ส่งมอบคุณค่าด้านความน่าเชื่อถือ เมื่อคุณค่าที่แบรนด์ยึดมั่นกลายเป็นเข็มทิศที่คอยบอกทิศทางให้กับกลยุทธ์ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นรากฐานของการสร้างแบรนด์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ที่นี่