Ansoff Matrix 4Ps

Business Growth Strategy ธุรกิจโตควรโตแบบใดด้วย Ansoff Matrix ผสาน 4Ps ยังไงให้เหมาะ

อยากให้ธุรกิจโตแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี เพิ่มยอดขายจากสินค้าเก่าจะพอไหม? หรือควรออกสินค้าใหม่ไปเลย? หรือจะขยายตลาดใหม่ดี? คำถามพวกนี้เกิดขึ้นเสมอเมื่อธุรกิจเริ่มอิ่มตัว และต้องการก้าวต่อไป แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี บทความนี้ผมมีเครื่องมือที่จะช่วยในการวางกลยุทธ์ให้มีแบบแผนมากขึ้นครับ นั่นก็คือ Ansoff Matrix หนึ่งใน Framework ที่ดี เพราะมันช่วยให้เรามองเห็นทางเลือกในการเติบโตอย่างเป็นระบบ ว่าจะโตแบบลึกหรือโตแบบกว้าง และควรระวังตรงไหนบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นหากเรารู้จักใช้ 4Ps ให้สอดรับกับแต่ละกลยุทธ์ใน Ansoff Matrix ได้อย่างแม่นยำ ก็จะยิ่งช่วยให้กลยุทธ์ที่วางไว้ทำงานได้จริง ในตลาดที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

บทความนี้ผมเลยอยากพาทุกคนมารู้จัก Ansoff Matrix พร้อมแนะนำว่าแต่ละกลยุทธ์ควรเน้น 4Ps ตัวไหน และใช้ยังไงถึงจะตอบโจทย์ธุรกิจในโลกที่แข่งกันด้วยทั้งความเร็วและความเข้าใจลูกค้าครับ

(ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt :a confident businesswoman standing before a digital screen filled with rising graphs and global data points, sleek modern office in the background, golden hour light casting long shadows, depth of field focus)

Ansoff Matrix หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยกำหนดเส้นทางการเติบโตได้อย่างมีแบบแผน ซึ่งวิเคราะห์ผ่าน 2 แกนสำคัญ ได้แก่ สินค้าเก่า หรือใหม่, ตลาดเดิม หรือใหม่ โดย Ansoff Matrix จะช่วยจำแนกเส้นทางการเติบโตออกเป็น 4 กลยุทธ์หลักครับ

  • Market Penetration: เพิ่มยอดขายในตลาดเดิม ด้วยสินค้าเดิม เช่น การทำโปรโมชัน ลดราคา หรือ Loyalty Program เพื่อแย่งส่วนแบ่งจากคู่แข่ง
  • Market Development: นำสินค้าเดิมไปเจาะตลาดใหม่ เช่น ขยายสาขาไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ หรือเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าถึง
  • Product Development: สร้างสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเดิม เช่น เปิดตัวสินค้าใหม่ในหมวดเดียวกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายซ้ำและขยายตะกร้าซื้อ
  • Diversification: ลงสนามใหม่ทั้งสินค้าใหม่และตลาดใหม่ เช่น จากการขายของกิน เปลี่ยนไปทำธุรกิจเทคโนโลยี หรือบริการใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจเดิม

ถ้าอยากอ่านในเชิงลึกสามารถเข้าไปอ่านที่ได้เลยครับ

ซึ่งแต่ละกลยุทธ์ต่างก็มีโฟกัสของตัวเอง นี่คือจุดที่กลยุทธ์ 4Ps จะเข้ามาเสริมพลังให้กลยุทธ์เติบโตได้แบบตรงเป้ามากยิ่งขึเนครับ จะช่วยให้ทุกคนได้เห็นว่าในแต่ละกลยุทธ์การเติบโตแบบ Ansoff Matrix คสรเน้นที่ P ตัวใด และ P ตัวที่เหลือควรจะทำอย่างไรดี

Market Penetration คือการเพิ่มยอดขายในตลาดเดิม ด้วยสินค้าเดิม ต้องการเติบโตแบบเจาะลึกให้ยอดขายเพิ่มขึ้นในสินค้าและตลาดที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว กลยุทธ์ที่ควรใช้คือ Market Penetration ซึ่งหัวใจของกลยุทธ์นี้คือการแย่งชิงความถี่ในการซื้อ และ ส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งให้มากที่สุด โดยไม่ต้องออกสินค้าใหม่ และไม่ต้องไปเจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ครับ ซึ่งในแง่ของกลยุทธ์ 4Ps ควรเน้นหนักไปที่ Price และ Promotion ครับ เช่น

  • ทำแคมเปญ ลดราคาแบบเฉพาะกลุ่ม เช่น ลูกค้าเก่า ลูกค้ารายเดือน หรือกลุ่มที่เคยซื้อแต่ไม่เคยกลับมาอีก เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ
  • ออกโปรโมชันแบบ Flash Sale เพื่อสร้างแรงดึงดูดให้เกิดการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น
  • ตั้งระบบ Loyalty Program หรือ Point System เพื่อให้ลูกค้ามีแรงจูงใจในการซื้อซ้ำ เช่น สะสมแต้มแลกของ, ได้ของแถม
  • ใช้โฆษณาและสื่อสารการตลาดแบบเชิงรุก เช่น Retargeting Ads หรือโปรโมชันที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเดิม พร้อม Copy ที่เน้น Call to Action ชัดเจน
Ansoff Matrix 4Ps

ในขณะเดียวกัน แม้จะไม่ได้สร้างสินค้าใหม่ แต่เราอาจ Refresh สินค้าเดิม ให้ดูน่าสนใจขึ้น เช่น ทำ Package ใหม่, ออกสีพิเศษ, หรือทำ Limited Edition เพื่อกระตุ้นการซื้ออีกรอบโดยไม่เปลี่ยนต้นทุนการผลิตมากครับ

Market Development คือการนำสินค้าเดิมที่มีอยู่ ไปเจาะตลาดใหม่ หรือหากลุ่มลูกค้าใหม่ที่เราไม่เคยขายมาก่อนครับ โดยที่ตัวสินค้าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมากครับ กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ซึ่งในแง่ของกลยุทธ์ 4Ps จะเน้นหนักไปที่ Place และ Promotion เป็นหลัก เช่น

  • ปรับกลยุทธ์การกระจายสินค้า เช่น เพิ่มตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ใหม่, เปิดสาขาใหม่ หรือเพิ่ม Online Channel ให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้สะดวกขึ้นครับ
  • เลือก Market Entry Strategy ให้เหมาะสม เช่น การใช้ Partner ท้องถิ่นที่รู้จักตลาดดี หรือทำ Joint Venture กับพันธมิตรในพื้นที่ใหม่
  • สร้างการสื่อสารเฉพาะทางในตลาดใหม่ เช่น ใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสาร, เล่าเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับปัญหาเฉพาะกลุ่มที่ลูกค้าใหม่เผชิญ
  • ทำ Campaign สร้าง Awareness ในตลาดใหม่ เช่น ใช้ Local Influencer หรือสร้าง Content พิเศษที่ตรงกับความสนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่นั้น

ในด้านสินค้าแม้ไม่ต้องพัฒนาใหม่ทั้งหมด แต่เราอาจต้องมีการปรับแต่งบ้างเล็กน้อยครับ เช่น เปลี่ยน Package หรือปรับรสชาติ / ขนาดสินค้าให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดใหม่นั้นครับ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อทำให้สินค้าของเราดูน่าเชื่อถือ และเหมาะสมกับตลาดใหม่โดยไม่สูญเสียต้นทุนมากเกินไปครับ

Product Development คือการสร้างสินค้าใหม่สำหรับลูกค้าเดิมที่เรามีอยู่แล้วครับ กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นไปที่การตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป หรือเติมเต็ม Pain Point ใหม่ ๆ ของลูกค้าเดิม เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายซ้ำ และขยายขนาดตะกร้าการซื้อให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งในแง่ของกลยุทธ์ 4Ps จะต้องโฟกัสที่ Product และ Promotion เป็นหลักครับ เช่น

  • ลงทุนทำ R&D เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ที่มี Value สูงกว่าของเดิม เช่น พัฒนาสูตรใหม่, เพิ่มฟังก์ชันใหม่, หรือแตกไลน์สินค้าให้หลากหลายขึ้น
  • ใช้ Voice of Customer มาช่วยวิเคราะห์ Pain Point จริง ๆ ก่อนสร้างสินค้าใหม่ เพื่อไม่ให้พลาดประเด็นที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ ครับ
  • ตั้งราคา Premium ได้ หากสินค้าหรือบริการใหม่สามารถสร้างคุณค่าที่แตกต่างได้จริง เช่น ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงขึ้น หรือเพิ่มฟีเจอร์พิเศษที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าหลักครับ
  • โปรโมตสินค้าด้วยการเน้นประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับ เช่น ทำ Campaign ที่เล่าเรื่องว่า “สินค้าใหม่นี้ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นกว่าเดิมยังไง” จะทำให้สินค้าเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น
Ansoff Matrix 4Ps

ในกรณีนี้แม้เราจะทำตลาดกับลูกค้าเดิม แต่ถ้าสินค้าใหม่ไม่น่าสนใจ หรือไม่ตอบโจทย์จริง ๆ ลูกค้าก็จะไม่รู้สึกอยากซื้อซ้ำ ดังนั้นจุดสำคัญจึงอยู่ที่การพัฒนาสินค้าให้โดน และสื่อสารให้ชัดเจนว่าของใหม่นั้นดีกว่ายังไงครับ

Diversification คือการขยายธุรกิจออกไปสู่ตลาดใหม่ พร้อมกับการสร้างสินค้าใหม่ทั้งหมดครับ เป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงสูงที่สุดในทั้ง 4 แบบ เพราะเราต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในตลาดที่เราไม่เคยรู้จัก เช่น Toyota ไปขายบ้าน หรือแสนสิริขายรถยนต์ ดังนั้นมันเหมือนการทำใหม่แทบจะทั้งหมดในมุมของ 4Ps จึงต้องทำอย่างครบถ้วน โดยเน้นทั้ง 4Ps ทุกตัว ไปพร้อม ๆ กัน เช่น

  • พัฒนาสินค้าใหม่ที่สามารถสร้างตัวตนได้ในตลาดใหม่ เช่น ใช้ Innovation ใหม่, เจาะ Pain Point ของลูกค้าในตลาดนั้น, หรือสร้างประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่างจากคู่แข่ง
  • หาช่องทางจำหน่ายที่ตรงกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น ขายผ่าน Online Marketplace, สร้างตัวแทนจำหน่ายเฉพาะกลุ่ม หรือจับมือกับ Partner ที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว
  • วางแผนการสื่อสารอย่างเข้มข้น เช่น สร้าง Brand Story ใหม่เพื่อแนะนำตัวให้ตลาดใหม่รู้จักว่า “เราเป็นใคร”, “เรานำเสนออะไรที่แตกต่าง” และ “ทำไมตลาดนี้ถึงควรเลือกเรา”
  • เลือกวาง Positioning ใหม่ตามกลยุทธ์ราคาที่เหมาะสม เช่น เริ่มจากการตั้งราคาถูกเพื่อปูทางเข้าตลาด หรือวางตัว Premium ตั้งแต่ต้นเพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ระดับสูงครับ
Ansoff Matrix 4Ps

เพราะเป็นการก้าวเข้าสู่สนามใหม่ ทุกอย่างตั้งแต่สินค้า ช่องทาง และการสื่อสารจึงต้องสอดคล้องและส่งเสริมกันแบบครบวงจร เพื่อให้สามารถเอาชนะความไม่คุ้นเคยของตลาด และสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้แข็งแรงได้ครับ

Ansoff Matrix 4Ps

สรุปแล้ว Ansoff Matrix คือเครื่องมือที่ช่วยวางหมากการเติบโตให้เป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะตลาดเดิม ขยายสู่ตลาดใหม่ พัฒนาสินค้าใหม่ หรือขยับไปสู่สนามใหม่ทั้งหมด ต่างก็มีจุดเน้นและความเสี่ยงที่ต่างกัน และนี่เองคือจุดที่ 4Ps เข้ามาเสริมพลังให้แต่ละกลยุทธ์มีทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่คิดจะเติบโต 

แต่ต้องรู้ด้วยว่าควรใช้ Product, Price, Place, หรือ Promotion ตัวไหนเป็นแกนหลัก แล้วจัดการองค์ประกอบที่เหลือให้สนับสนุนกันอย่างลงตัว เพราะในโลกที่การแข่งขันรุนแรง การเติบโตแบบไม่มีแบบแผน อาจนำไปสู่การเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น แต่การเติบโตแบบวางแผน จะทำให้ทุกก้าวแม่นยำ และสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาวครับ

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

ชื่อเติ้ลครับ เป็น Senior Data Insight Researcher & Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอนครับ ^^ มีงานอดิเรกเป็น ผู้ช่วยนักวิจัยฝั่ง Consumer Insights ที่คณะวิทยาศาตร์การกีฬา ที่จุฬาครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *