Immersive Theme Parks เมื่อเที่ยวอย่างเดียวไม่พอ ต้องสร้างประสบการณ์ด้วย

ต้องบอกว่าโลกของการตลาดทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปไกลกว่าที่เราคิดไว้มากค่ะ เพราะผู้บริโภคในยุคนี้ไม่ได้มองหาแค่สินค้าที่น่าสนใจหรือประสบการณ์ที่สนุกดีเท่านั้น แต่พวกเขาต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวอย่างแท้จริง เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกมีบทบาท นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Immersive Experience จึงกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ที่ถูกจับตามองในปี 2024–2025 ในบทความเราเลยจะพามาดูเทรนด์ Immersive Theme Parks ที่กำลังกระจายไปทั่วโลก

อย่างที่บอกว่า Immersive Theme Parks กำลังกระจายไปทั่วโลก สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การสร้างบรรยากาศให้ดูสมจริงเท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็นโลกที่เรารู้สึกมีชีวิตอยู่ในนั้นจริง ๆ ค่ะ

ลองนึกภาพดูว่าเราเดินเข้าสวนสนุกแห่งหนึ่ง แต่แทนที่จะมีแค่เครื่องเล่นหรือโชว์ให้ดูเหมือนแต่ก่อน เรากลับต้องตัดสินใจมีว่าจะช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมดีไหม หรือจะเสี่ยงเข้าไปในร้านอาหารลึกลับที่เพิ่งเกิดระเบิดขึ้นเมื่อครู่ หรือเราอาจจะรับบทเป็นนักสืบ ออกเดินไล่เก็บเบาะแสจากผู้คนในเมืองเพื่อปลดล็อกความลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่การชมโชว์ แต่คือการลงมือเล่นและตัดสินใจอย่างแท้จริงค่ะ ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นเพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคยุคใหม่ค่ะ

เทรนด์นี้ไม่ได้มาจากสมมุติฐานของนักการตลาดเพียงอย่างเดียว แต่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่า ความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไปจริง ๆ ค่ะ จากรายงาน The Future 100: 2024 ของ Wunderman Thompson พบว่า กว่า 75% ของผู้บริโภคในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และจีน ต้องการประสบการณ์แบบ being transported into another world หรือพูดง่าย ๆ คือ อยากรู้สึกว่า “ฉันได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง” ซึ่งนั่นคือแก่นแท้ของ Immersive Experience ที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้อยู่แค่ภายนอกเรื่องราวอีกต่อไปค่ะ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนจากการเป็นผู้ชม (Audience) ไปเป็นผู้มีบทบาท (Participant) นี้ไม่ได้แค่ทำให้ประสบการณ์สนุกขึ้น แต่ยังสร้างความผูกพันที่ลึกขึ้นด้วย เพราะเมื่อเราได้ตัดสินใจเอง ได้เลือกทางเอง เราจะรู้สึกว่าเรื่องนั้น “มีเราเป็นเจ้าของ” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Brand Loyalty แบบที่ยากจะได้จากโฆษณาหรือโปรโมชั่นทั่วไปค่ะ

และเมื่อเรามองให้ลึกขึ้น สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความต้องการแบบ Immersive นี้ก็คือความพยายามที่จะกลับไปสัมผัสโลกจริงอีกครั้งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับโลกดิจิทัลมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิดที่ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อมต่อกันผ่านหน้าจอมากกว่าการพูดคุยกันจริง ๆ

ซึ่งเทรนด์นี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า Social Rewilding หรือแปลตรงตัวการคืนสู่ธรรมชาติในเชิงสังคม ซึ่งไม่ใช่แค่การเที่ยวป่าเดินเขา แต่คือการกลับไปเชื่อมต่อกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวด้วยความตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำงานฝีมือ เดินเล่นในสวน หรือแม้แต่การสนทนาแบบตัวต่อตัวโดยไม่ต้องมีหน้าจอคั่นกลางค่ะ

โดนเทรนด์นี้มาจากรายงาน Accenture Life Trends 2024 ที่ระบุว่า 41.9% ของผู้บริโภครู้สึกว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในสัปดาห์ของพวกเขาเกิดขึ้นในโลกจริง ไม่ใช่โลกออนไลน์ และมีเพียง 15.3% เท่านั้นที่ยกให้ประสบการณ์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่น่าจดจำที่สุด

รวมทั้งอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงควบคู่กันก็คือ JOMO หรือ Joy of Missing Out ซึ่งสะท้อนความสุขแบบใหม่ที่เกิดจากการ “เลือกไม่เชื่อมต่อ” ตลอดเวลา เพราะคนเริ่มรู้แล้วว่า การไม่อยู่หน้าจอ ไม่ได้หมายความว่าพลาด แต่มันคือการกลับมาใช้เวลากับสิ่งที่จับต้องได้ เช่น ศิลปะ งานฝีมือ ธรรมชาติ และคนรอบข้างอีกด้วยค่ะ

ซึ่งเทรนด์ทั้งหมดนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับ Immersive Marketing เลย ในทางกลับกัน มันยิ่งตอกย้ำว่าความอินที่ผู้คนมองหา ต้องไม่ใช่แค่กราฟิกสวย หรือเทคโนโลยีล้ำ แต่คือประสบการณ์ที่เรามีบทบาทในโลกจริง และ รู้สึกกับมันได้จริงต่างหากค่ะ ซึ่งมันคือการออกแบบประสบการณ์ของผู้ชมให้สามารถมีส่วนร่วมและตัดสินใจได้นั่นเองค่ะ

สิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจคือ Immersive ไม่ใช่แค่เรื่องของแสง สี เสียง หรือเทคโนโลยี AR/VR เท่านั้น แต่คือการออกแบบ โครงสร้างประสบการณ์ที่ให้ผู้ชมรู้สึกว่าตัวเองมี “บทบาท” ในเรื่องราวอย่างแท้จริง และเมื่อมีบทบาท ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแบรนด์ก็จะลึกขึ้น

ถ้าเราลองมองข้ามสวนสนุกไป ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่สามารถประยุกต์ Immersive Marketing ได้อย่างน่าสนใจ เช่น ร้านค้าป๊อปอัปที่สร้างเควสต์ให้ลูกค้าทำเพื่อปลดล็อกโปรโมชั่น หรืออีเวนต์เปิดตัวที่ให้ผู้ร่วมงานเลือกลำดับของประสบการณ์เอง รวมไปถึงคอนเทนต์ออนไลน์แบบที่ผู้ชมโหวตเส้นเรื่องใน IG Story หรือมี AI คอยโต้ตอบแบบโต้กลับเสมือนจริง ความน่าสนใจอยู่ที่เมื่อใดก็ตามที่ผู้ชมรู้สึกว่าถ้าขาดฉันไปเรื่องนี้จะไม่สมบูรณ์ แบรนด์จะได้ความผูกพันแบบที่ซื้อด้วยเงินไม่ได้เลยค่ะ

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Immersive Fort Tokyo สวนสนุกอินเมอร์ซีฟ บนเกาะโอไดบะ พื้นที่ขนาด 30,000 ตารางเมตรนี้ไม่ได้มีเครื่องเล่นหวือหวาแบบสวนสนุกทั่วไป แต่กลับเต็มไปด้วยฉากการแสดงที่ผู้ชมมีบทบาทโดยตรง

Immersive Theme Parks เมื่อเที่ยวอย่างเดียวไม่พอ ต้องสร้างประสบการณ์ด้วย
ขอบคุณภาพจาก chillchilljapan

เช่น มีการสืบสวนคดีฆาตกรรมระหว่างดินเนอร์ หรือการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ฉุกเฉินในร้านอาหารที่เพิ่งเกิดเหตุระเบิด หรือแม้แต่นำฉากในอนิเมชั่นมาทำการแสดงแล้วทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครในนั้น ซึ่งทุกห้อง ทุกฉากมีนักแสดงจริงคอยโต้ตอบกับเรา และทุกการตัดสินใจของเรามีผลต่อเรื่องราว ทำให้ประสบการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันอีกด้วยค่ะ

ถัดมาที่อังกฤษ Phantom Peak เมืองจำลองสตีมพังก์ที่ให้ผู้เข้าชมใช้เวลาหลายชั่วโมงในการไขปริศนา เล่นเกม พูดคุยกับ NPC และเดินทางไปตามเส้นเรื่องต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่จริง การออกแบบที่เหมือนเกม RPG ทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกว่าตัวเองเป็นนักสืบในโลกอีกใบ

ขอบคุณภาพจาก Blooloop

อีกหนึ่งตัวอย่างที่โดดเด่นในฝั่งศิลปะก็คือ teamLab Future Park Okinawa ที่เปลี่ยนการเสพงานศิลปะให้กลายเป็นประสบการณ์ Co-Creation เต็มรูปแบบ เด็ก ๆ จะได้วาดภาพของตัวเอง แล้วเห็นสิ่งที่วาดมีชีวิตขึ้นมาบนผนังขนาดใหญ่แบบ 360 องศา จุดสำคัญของงานนี้ไม่ใช่เทคโนโลยีล้ำแค่ไหน แต่คือ “การเปิดพื้นที่ให้คนรู้สึกว่าเขาได้สร้างบางสิ่งร่วมกับผู้อื่น” ซึ่งเป็นหัวใจของ Immersive Experience ที่แท้จริงค่ะ

ขอบคุณภาพจาก Klook

หรืออย่างในไทยแม้จะไม่ใช่สวนสนุกแต่ก็มีร้านที่ให้เราสามารถมีประสบการณ์ร่วมได้ อย่าง xspaceescape ที่มีการจำลองเหมือนเราเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ แล้วทำการไขปริศนาเพื่อหาทางออก เรียกว่าทำให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วม ได้ตัดสินใจแบบจริง ๆ

ขอบคุณภากจาพ xspaceescape

หลายคนอาจมองว่า Immersive เป็นเรื่องของแบรนด์ใหญ่ งบสูง หรือเทคโนโลยีสุดล้ำเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว Immersive เริ่มได้จากจุดเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องลงทุนมาก เพียงแค่แบรนด์ต้องเข้าใจว่า “การสร้างบทบาทให้ผู้ชม” คือจุดเริ่มต้นของการตลาดรูปแบบนี้

เช่น การเปิด IG Story ให้ลูกค้าโหวตว่าจะให้แบรนด์โพสต์เนื้อหาอะไรในวันถัดไป หรือการทำ Mini Game เล็ก ๆ ใน Story ที่ผู้ชมสามารถสะสมแต้ม แลกรางวัล หรือเลือกตอนจบของคอนเทนต์ได้เอง สิ่งเหล่านี้คือ Immersive Marketing ในระดับที่เข้าถึงได้ง่าย แต่อย่างมีพลัง เพราะทำให้คนรู้สึกว่าเขาคือส่วนหนึ่งของแบรนด์ และเมื่อผู้บริโภครู้สึกเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระยะยาวย่อมเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

ขอขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator
Prompt : A photo-realistic image of visitors inside a theatrical immersive theme park, with participants interacting directly with actors in period costumes. The scene includes foggy cobblestone streets, vintage lanterns, mysterious alleyways, and Victorian architecture. Soft dramatic lighting, warm and golden tones, cinematic composition. The focus is on emotional engagement, mystery, and interactive storytelling.

Immersive Marketing ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ของสวนสนุก หรือไอเดียในแวดวงศิลปะเท่านั้น แต่มันกำลังกลายเป็นแนวทางใหม่ของการสร้างประสบการณ์แบรนด์ในทุกช่องทาง เพราะในโลกที่ผู้บริโภคเจอข้อมูลมากมายตลอดวัน ความรู้สึกว่าฉันคือส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ คือสิ่งเดียวที่ยังตรึงใจได้

แบรนด์ที่ยังพูดอยู่ฝ่ายเดียวอาจได้รับความสนใจไม่กี่วินาที แต่แบรนด์ที่ “ยื่นบท” ให้ลูกค้าได้เล่นเอง ได้เดินทางเอง และได้เล่าเรื่องของตัวเองในฐานะส่วนหนึ่งของแบรนด์ จะได้ความผูกพันแบบที่คู่แข่งลอกไม่ได้ บางครั้งวิธีที่ดีที่สุดในการเล่าเรื่องของแบรนด์ อาจไม่ใช่การพูดให้ดีที่สุด แต่คือการเงียบ แล้วปล่อยให้ลูกค้าเป็นคนเติมเรื่องราวลงไปเองค่ะ

และนี่ก็คือ Immersive Theme Parks เมื่อเที่ยวอย่างเดียวไม่พอ ต้องสร้างประสบการณ์ด้วย ถ้าใครอยากอ่านเทรนด์เพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่ the-future-100-2024 ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ 

สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึง TwitterInstagramYouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ

มิวมิ้น เรียก มิ้น ก็ได้ ● ⋏ ● เป็น Marketing Content Creator & Data Research Insight ของการตลาดวันละตอน ٩(◕‿◕)۶ ทำงานด้าน Merchandiser / Digital Marketing / Ads optimizer / Data Research Insight ตั้งใจสรรสร้างทุกบทความ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์ และ ชอบนะคะ ʕっ•ᴥ•ʔっ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *