สรุปรีวิวหนังสือ Quantum Marketing การตลาดควอนตัม หนังสือเล่มนี้ถูกพูดถึงอย่างมากเมื่อปีก่อน และต้นปีนี้ก็ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว ถ้าให้สรุปสั้นๆ ว่า Quantum Marketing คืออะไร ผมบอกได้เลยว่าเป็นส่วนผสมระหว่าง Marketing 5.0 + Deep Data + IoT + AI + 5G + Blockchain โดยเฉพาะเจ้า IoT นี่แหละคือปัจจัยสำคัญของการตลาดควอนตัมที่เรากำลังจะพูดถึงกัน เพราะมันคือการตลาดที่กระโดดไปกระโดดมาระหว่าง Channel หรือ Touchpoint ต่างๆ ของลูกค้า ทำให้ Customer Journey นั้นยิ่งกว่าคำว่ากระจัดกระจาย แต่เป็นกระจุยกระจายไม่เหลือชิ้นดี ยากที่จะวาง Media Journey แบบเดิมได้อีกต่อไป
Quantum Marketing = การตลาดแบบปุ๊บปั๊บ
ณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน ส่วนตัวผมขอนิยามให้การตลาดควอนตัมเท่ากับคำนี้ มันคือการที่ผู้บริโภคยุคใหม่ทุกวันนี้เข้าถึงแบรนด์ได้ทุกที่ ทุกเวลา แถมยังมีช่องทางมากมายให้เข้าถึง เดี๋ยวแวะมาหาเราตรงโน้นที แล้วไปตรงนี้ต่อ จากนั้นก็ข้ามไปอีกแพลตฟอร์ม เรียกได้ว่าเราต้องพร้อมปะติปะต่อ Data ทั้งหมดของลูกค้า จากนั้นก็เอามาวิเคราะห์ในภาพรวมให้เข้าใจจุดมุ่งหมาย แล้วก็ทำการคาดการณ์หรือ Predict ออกมาว่าลูกค้าแต่ละคนน่าจะกำลังต้องการอะไรอยู่ครับ
ผมจึงมองว่า Quantum Marketing ไม่ใช่เรื่องเชิงเทคนิค แต่เป็นเรื่องของการคิดถึงการตลาดด้วยมุมใหม่ ที่จริงจะเรียกว่ามุมใหม่ก็ไม่ถูกนัก เพราะในความเป็นจริงแล้วมันคือการคิดและทำการตลาดด้วยมุมมองความเป็นจริงที่ผู้บริโภคเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้
เพราะในโลกความเป็นจริงวันนี้เราไม่ใช่แค่ Digital อีกต่อไป แต่มันคือโลกที่ประสาน Digital และ Physical เป็นเนื้อเดียวกัน จะเรียกว่าโลกแบบ Metaverse ก็ไม่เชิง แต่เอาให้เห็นภาพว่าถ้าเราจะไปยืนยันตัวตนก่อนเข้าร้านอาหาร เราอาจจะถูกเรียกให้เปิดแอปหมอพร้อมเพื่อดูประวัติการฉีดวัคซีน นี่แหละครับ โลกแบบปัจจุบันที่เราส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนเมืองใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ แต่กลับมีนักการตลาดน้อยคนที่จะเปลี่ยนวิธีทำการตลาดให้ตอบชีวิตปัจจุบันทุกวันนี้ได้
ทีนี้กลับมาที่เรื่องของ IoT เจ้าสิ่งนี้มันจะเข้ามายกระดับการตลาด จนผมมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญของ Quantum Marketing อย่างไร
IoT + AI = Contextual Marketing คือหัวใจสำคัญของ Quantum Marketing ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเราเริ่มต่ออินเทอร์เน็ตได้ จากนั้นมันเริ่มเชื่อมโยงและสื่อสารกันเองได้ ลองดูตัวอย่างจากลำโพงอัจฉริยะไม่ว่าจะ Alexa ของ Amazon หรือ Google Home หรือ Siri เองก็ตาม
เจ้าพวกนี้คือระบบตัวกลางในการเชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ภายในบ้านที่เป็น IoT เข้าด้วยกัน คุณลองนึกภาพตามว่ารถยนต์ไฟฟ้าของคุณกำลังพาตัวคุณกลับบ้านด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ จากนั้นเมื่อรถยนต์เข้าใกล้บ้านในระยะเวลา 5-10 นาทีถึง มันจะส่งสัญญาณไปบอก AI ที่ควบคุมบ้านให้บอกเครื่องปรับอากาศที่บ้านคุณที่ต่ออินเทอร์เน็ตอีกทีให้เปิดเครื่องรอ เพื่อที่คุณไปถึงบ้านในวันที่อากาศร้อนระอุจะได้รู้สึกสบายเมื่อก้าวเท้าลงจากรถและเปิดประตูบ้าน
หรือมันอาจจะรู้ว่าคุณจะต้องสั่งอาหารมากินเป็นมื้อเย็น เพราะนั่นคือสิ่งที่มันทำเป็นประจำ ทันทีที่คุณถึงบ้าน AI อาจจะถามว่าจะให้สั่งเมนูเดิมจากร้านประจำเลยไหม เพราะคาดว่าน่าจะมาส่งถึงบ้านตอนที่คุณอาบน้ำเสร็จพอดี
แล้ว Smart TV ที่บ้านคุณก็เปิดเพลงโปรดของคุณจาก Apple Music เพื่อสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย พร้อมกับมี Notification แจ้งเตือนว่าตอนสองทุ่มคุณยังมี Meeting สำคัญอีกอัน เพื่อให้คุณทำอะไรรวดเร็วกว่านี้อีกหน่อย
นี่แหละครับภาพชีวิตส่วนหนึ่งของ Home Autonomous บ้านอัจฉริยะแบบ Smart Home แล้วข้อมูลทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นแทนที่จะเก็บไว้ยังเซิฟเวอร์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ก็จะถูกจัดเก็บไว้บน Blockchain ที่คุณสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบได้ คุณสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลของคุณเองว่าตรงกับที่คุณอยากให้เป็นไหม คุณสามารถเปิดให้บริษัทไหนก็ได้เข้าถึงเมื่อคุณต้องการ และก็ปิดการเข้าถึงกับบริษัทที่คุณรู้สึกว่าให้ Data ไปแต่ก็ไม่เคยทำการตลาดอะไรที่ถูกใจ Personalized Marketing กลับมาเอาเสียเลย
4 Major Skills ทักษะหลักของนักการตลาดยุค Quantum Marketing การจะเป็นนักการตลาดยุคใหม่ ในยุค Quantum Marketing ได้ จะเก่งแค่การคิด แค่การสื่อสารหรือสร้างสรรค์ไม่พออีกต่อไป เพราะคุณต้องมีความเข้าใจโลกในบริบทใหม่ๆ ว่าการตลาดเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ และต้องมีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปพร้อมกัน ซึ่งสรุปออกมาได้เป็น 4 ข้อสำคัญดังนี้ครับ
1. Branding & Communication สื่อสารให้ตรงใจ สร้างแบรนด์ได้ตรงจุด ทักษะพื้นฐานของนักการตลาดทุกยุคสมัยคือ Creativity & Communication ที่เอาไว้ใช้เพื่อการสร้างแบรนด์เป็นหลัก ดังนั้นถ้ายังคิดงานไม่เป็น สื่อสารไม่ได้ ไม่เข้าใจวิธีการหา Insight ก็ยากจะไปต่อได้ตั้งแต่ยุคก่อนจะยุค Quantum Marketing แล้วครับ
เช่นเดียวกันในยุค Quantum Marketing ยุคที่การตลาดขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี MarTech และ Data ถ้าเราขาดสมองฝั่งความคิดสร้างสรรค์ ก็ยากที่จะประยุกต์ใช้เครื่องไม้เครื่องมือของเล่นมากมายให้เกิดประโยชน์ได้เต็มที่
นี่คือสกิลสำคัญที่คนสาย Technical ต้องมี ถ้าอยากจะผันตัวมาเป็นนักการตลาด Quantum Marketer ครับ
2. Protect Brand Reputation & Social Management ปกป้องชื่อเสียงแบรนด์จากชาวโซเชียล ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้แบรนด์ไม่ว่าดีและดังแค่ไหนก็พร้อมถูกถล่มเละบนโซเชียล หรือที่เรียกว่าทัวร์ลงจนพังได้ในพริบตา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมากคนก็มากความ ไม่มีทางที่เราจะทำทุกอย่างได้ถูกต้องและถูกใจใครทุกคน
ดังนั้นประเด็นสำคัญคือเราจะปกป้องชื่อเสียงของแบรนด์จากความผิดพลาดที่เกิดทั้งจากตัวเอง หรือความเข้าใจผิดได้อย่างไร เมื่อเกิดทัวร์ลงบนโซเชียลแล้วเราจะออกมาตอบสนองอย่างไรเพื่อลดความเสียหายต่อแบรนด์ที่สร้างมาโดยไว
คำแนะนำคือแบรนด์ต่อไปนี้ควรเรียนรู้ที่จะใช้ Social Listening ให้เป็นด้วยตัวเอง มีไว้เพื่อคอย Monitor ว่าใครกำลังพูดถึงเราบ้าง หรือใครที่กำลังเป็นลูกค้าคู่แข่งแล้วมีปัญหาอยู่ เพื่อที่เราจะได้เข้าไปตัดไฟแต่ต้นลม หรืออย่างน้อยก็เข้าไปชวนเขามาใช้บริการเราแทน
3. Finance & Business ต้องเข้าใจเรื่องการเงินเพื่อความแข็งแรงของธุรกิจ การตลาดวันนี้จะมัวมาพูดถึงแค่การทำแคมเปญการตลาด การสื่อสาร การทำโฆษณา หรือดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง การตลาดออนไลน์อย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป นักการตลาดยุคควอนตัมจะต้องหาทางคิดว่าเราจะทำการตลาดอย่างไรเพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตขึ้นจากวันวาน
เราจะทำการตลาดแบบไหนเพื่อให้เกิดยอดขายจริงๆ กลับมา หรือทำเพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าเก่าให้กลับมา และก็เพิ่มลูกค้าใหม่ควบคู่ไป
อีกทั้งประเด็นสำคัญที่นักการตลาดส่วนใหญ่อาจขาดคือการเข้าใจเรื่องการเงินหรือ Finance เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญของธุรกิจว่าจะอยู่รอด เติบโต หรือต้องตาย เราคงเห็นบางธุรกิจที่ขายดีมากจนเจ๊งก็มี นี่คือเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องพูดเล่น
ไหนจะเรื่องการบริหารจัดการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องภาษีต่างๆ ที่ชี้เป็นชี้ตายธุรกิจได้เลย
ดังนั้นนักการตลาดยุคควอนตัมต้องมีการเข้าใจธุรกิจและไฟแนนซ์ไปพร้อมกัน หากไม่อย่างนั้นคุณก็ดูไม่ตอบโจทย์ยุคควอนตัมสักเท่าไหร่
4. Strategy & Sustainable นักการตลาดยุคควอนตัมต้องมองหากลยุทธ์ที่จะสร้างการเติบโตระยะยาว ต้องไม่ได้คิดแค่จะทำแคมเปญการตลาดหรือออกโปรโมชั่นเพื่อเพิ่มยอดขายระยะสั้นอย่างไร แต่ต้องคิดไปถึงการสร้างแพลตฟอร์มที่จะเป็นช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้ของแบรนด์ในอนาคต
ต้องมองหาไอเดียที่จะเป็นการสร้าง Brand Asset หรือทรัพย์สินทางปัญญาของแบรนด์ในวันข้างหน้า เพื่อที่ว่าต่อให้ไม่ขายสินค้าหรือบริการใด ก็ยังสามารถกินค่าลิขสิทธิ์ได้ในระยะยาว
เป็นอย่างไรครับกับ 4 Major Skills ของนักการตลาดยุค Quantum Marketing ที่ต้องเก่งรอบด้าน เข้าใจธุรกิจกับการเงินควบคู่กัน แถมยังต้องมองหาการสร้าง New S Curve ใหม่ให้กับธุรกิจ เพื่อทำให้แบรนด์เรามั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน (เอ๊ะ ทำไมมันคุ้นๆ คำนี้นะ)
พูดถึงคุณสมบัติของนักการตลาดยุค Quantum Marketing ไปแล้ว ทีนี้ลองมาดู 5 Paradigm Shift หรือ 5 กระบวนทัศน์ของการตลาดจาก 1 ถึง 5 ที่เป็นควอนตัมมาร์เก็ตติ้งครับ
5 Paradigm of Marketing กระบวนทัศน์ความคิดทางการตลาด ก่อนจะมาสู่ยุค Quantum Marketing อีกหนึ่งหลักใหญ่ใจความของหนังสือ Quantum Marketing การตลาดควอนตัมคือ การฉายภาพให้เห็นแต่ละ Paradigm หรือกระบวนทัศน์ทางความคิดของการทำการตลาดที่ผ่านมาตั้งแต่ยุคที่หนึ่ง จนมาถึงยุคที่ห้าในปัจจุบัน แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นอยากจะพาทุกคนกลับมาสู่พื้นฐานของการตลาดก่อนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
การตลาด ก็คือการเข้าหาคนเยอะๆ ซึ่งแต่เดิมพื้นที่ที่มีคนเยอะๆ ก็คือ “ตลาด” นั่นเอง เพราะคาดหวังว่าการที่เราอยู่ในจุดที่คนเยอะๆ อย่างกลางตลาด ก็น่าจะมีโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการจะเห็นเราได้ง่ายขึ้น และนั่นก็หมายถึงโอกาสขายที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย
ทำให้สมัยแรกเริ่มของการทำการตลาดคือการเข้าไปยังตลาดที่คนพลุกพล่านมากที่สุด แต่วันนี้ในยุค Personalized Marketing วิธีการเข้าถึงคนที่ใช่ก็เปลี่ยนไป ไม่จำเป็นต้องเป็นที่คนพุกพล่านมากไปด้วย Traffic ขอเพียงแต่มีคนที่ใช่อยู่ก็พอ แม้จะน้อยแต่ก็ตรงจุด ดังนั้นการตลาดยุคดิจิทัลเป็นต้นไปทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ได้มากขึ้น
เมื่อเราเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย จากที่เคยเน้นแมสคนหมู่มากเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าหากลุ่มที่ใช่ มาสู่การเข้าถึงคนที่ใช่แบบเลือกได้ เรามาทำความรู้จักทั้ง 5 Paradigm of Marketing การเปลี่ยนแปลงของวิธีทำการตลาดจากยุคแรกเริ่มจนมาสู่ยุคการตลาดควอนตัมกันครับ
Paradigm ที่ 1 Product Marketing หัวใจหลักคือ Advertising & Communication นี่คือยุคแรกเริ่มของการตลาด ยุคที่เน้นการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา เน้นการบอกว่าเราดีกว่าคู่แข่งอย่างไร เน้นการเลือกใช้ถ้อยคำที่โดนใจ ผ่านมากวาดตาเห็นแล้วต้องสะดุดหยุดมอง
สื่อที่ใช้ส่วนใหญ่ในยุคนี้จะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ ที่เน้นการสื่อสารผ่านข้อความ เป็นยุคของ Copywriter ระดับปรมาจารย์ อย่าง David Ogilvy ว่าจะคิดและเขียนคำโฆษณาอย่างไรออกมาให้สะกดผู้คนที่ผ่านไปมาได้มากที่สุด
จากนั้นเมื่อทุกคนแข่งกันบอกว่าใครดีกว่ากัน ใช้เราแล้วจะดีอย่างไร ก็ทำให้การตลาดต้องพัฒนาไปสู่กระบวนทัศน์ถัดไป นั่นก็คือการตลาดกระตุ้นอารมณ์
Paradigm ที่ 2 Emotional Marketing หัวใจหลักคือภาพและเสียง ที่ขับเร้าอารมณ์ได้ดีกว่าข้อความ การตลาดในยุคนี้มีทีวีและวิทยุเป็นตัวแปรหลัก จากเดิมที่มีแค่สิ่งพิมพ์เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร ทำให้ใช้ได้แค่รูปภาพและข้อความ ก็พัฒนามาสู่ภาพเคลื่อนไหวและเสียง ทำให้นักการตลาดสามารถส่งอารมณ์ที่ต้องการให้คนรู้สึกออกไปได้มากขึ้น บวกกับภาคการผลิตเริ่มไล่ตามกันทันได้เร็ว จากเดิมสูตรลับยังคงเป็นสูตรลับได้อยู่นาน ในยุคนี้เราก้าวเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า Commondization ยุคที่สินค้าหรือบริการแทบไม่ต่างกัน ดังนั้นความรู้สึกที่ได้ซื้อจะเป็นหน้าที่หลักของนักการตลาดยุคนี้
ในยุคนี้เราจะได้เห็นการพัฒนาจากสินค้าทั่วไปมาสู่การสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง เราไม่ได้ซื้อเพราะเราต้องการของสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว แต่นักการตลาดทำให้เราซื้อเพราะอยากให้เรารู้สึกเจ๋งเมื่อได้ครอบครองบางอย่าง
คนแบบไหนเลือกดื่มโค้ก ส่วนคนแบบไหนเลือกดื่มเป็บซี่ ทั้งที่คุณสมับติของสินค้าสองสิ่งนี้แทบไม่ต่างกัน นี่คือกระบวนทัศน์ของการตลาดยุคเน้นอารมณ์ที่ได้เป็นลูกค้า จนเกิดการก้าวเข้ามาของยุคที่อินเทอร์เน็ต ดิจิทัล และดาต้า
Paradigm ที่ 3 Data-Driven Marketing การตลาดยุคอินเทอร์เน็ตที่เริ่มมีดาต้ามากมายให้ใช้งาน การตลาดยุคใหม่ในยุคอินเทอร์เน็ต เป็นยุคที่เราเริ่มใช้ Data-Driven Marketing จริงๆ กันมากขึ้น จากเดิมไม่เคยวัดผลได้จริงจัง ไม่เคยรู้ว่าทำอะไรไปแล้วเกิดยอดขายเท่าไหร่ แต่การตลาดในยุคนี้เราสามารถวัดผลที่เกิดขึ้นจริงได้ สามารถเอา Data ที่ได้จากการทำการตลาดครั้งแรกมาปรับปรุงแผนการตลาดครั้งถัดไปครับ
การตลาดในยุคนี้เป็นยุคของการทำ Direct Marketing แบบแม่นยำจากการใช้ Data เป็นยุคของการเริ่มต้นทำ Segmentation จากการปั่นข้อมูลลูกค้าออกมาตามพฤติกรรม ไม่ว่าจะผ่าน DMP หรือ Data Exchange Platform ต่างๆ
ในยุคนี้ Customer Journey เปลี่ยน ไม่ได้เป็นเส้นตรงอีกต่อไป เพราะผู้บริโภครู้จักเจ้าถึงแบรนด์ด้วยตัวเอง ไม่ได้รอแค่แบรนด์มาป้อนข้อมูลให้ตัวเองฝ่ายเดียวเหมือนสองยุคก่อนหน้าอีกต่อไปครับ
และในยุคนี้ก็ก่อให้เกิดการตลาดในยุคที่ 4 นั่นก็คือการตลาดแบบไม่มีวันหลับ จากการใช้ Internet 2.0 หรือ Web2 ครับ
การตลาดในยุคนี้เป็นยุคที่ต่อยอดจาก Internet Marketing ก่อนหน้า เพราะมันคือการตลาดยุค Web2 ยุคที่เราสามารถพูดคุยตอบโต้กันได้โดยตรง ยุคของเฟซบุ๊คมาเป็นช่องทางหลักที่เราใช้สื่อสารกัน และก็ขยับไปยังการสื่อสารกันแบบ Always on
มันคือการพร้อมตอบคำถามตลอด 24/7 ของแบรนด์ ทักมาเที่ยงคืนต้องพร้อมขาย ทักมาตอนสายต้องพร้อมตอบ จะมากำหนดกรอบเวลาพูดคุยกับชาวโซเชียลเหมือนหน้าร้านค้าจริงยุคก่อนไม่ได้ เพราะนี่มันคือโลกของการออนไลน์ที่เราทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ตลอดเวลา
จะว่าไปปัจจัยหลักของการตลาดยุคนี้คือ Smart Phone + 3G นี่แหละครับ มันคือการพกคอมพิวเตอร์ส่วนตัวไปทุกที่ พร้อมกับสายต่ออินเทอร์เน็ตทุกเวลา เราจึงค้นหาข้อมูลกระจาย คุยกันตลอด แชร์กันทุกเรื่อง และนี่ก็คือช่วงเวลาที่ยากลำบากของแบรนด์ส่วนใหญ่ ทำเอานักการตลาดต้องปรับตัวกันยกใหญ่ เพราะผู้บริโภคไม่สนใจเรื่องกรอบเวลาอีกต่อไปแล้ว
และเราก็เข้ามาสู่การตลาดยุคปัจจุบันไปจนถึงอนาคต นั่นก็คือ Paradigm ที่ 5 นั่นก็คือการตลาดแบบควอนตัมครับ
Paradigm ที่ 5 Quantum Marketing การตลาดแบบอัตโนมัติ และอัจฉริยะแบบสุดๆ มันคือยุคปัจจุบันนี้และอนาคตที่กำลังมา มันคือการตลาดที่เต็มไปด้วยข้อมูลในระดับ Deep Data มันคือข้อมูลที่มากกว่าคำว่า Big เพราะมันคือข้อมูลที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายจากอุปกรณ์ IoT อัจฉริยะรอบตัว
มันคือการตลาดที่รับและส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ทั้งหลายด้วยความเร็ว 5G ความเร็วที่อินเทอร์เน็ตไฮสปีดยังช้าไป กดปุ๊บต้องได้ปั๊บ อัพโหลดไฟล์ขึ้น Cloud ได้ในเสี้ยววินาที จากนั้นก็ใช้การประมวลผลด้วย AI บน Cloud อีกที แล้วผลลัพธ์ทั้งหมดก็ถูกส่งกลับมายังอุปกรณ์ IoT ที่พร้อมจะตอบสนองแบบรู้ใจเราแบบสุดๆ
เท่านั้นไม่พอข้อมูลทั้งหลายยังถูกเก็บไว้บน Blockchain เพื่อเพิ่มความปลอดภัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่มีใครเข้าถึงข้อมูลคุณได้โดยที่คุณไม่รู้และไม่ยินยอมอีกต่อไป
จาก Customer Data ที่เคยกระจัดกระจายเก็บไว้กับแพลตฟอร์มหรือบริษัทต่างๆ กลายเป็นข้อมูลของเราจะถูกเก็บไว้ที่เดียวโดยสมบูรณ์บน Blockchain ในพื้นที่ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของคนเดียวอีกต่อไป
นี่คือการตลาดในยุคที่นักการตลาดจะคิดถึงแค่ Digital Marketing ไม่ได้ เราต้องคิดถึงการตลาดแบบ Autonomous Marketing การตลาดแบบอัตโนมัติและอิจฉริยะแบบสุดๆ
ข้าวของเครื่องใช้รอบตัวจะฉลาดและรู้ใจเรา พร้อมรับใช้เราเสมือนมีคนใช้เก่งๆ ดูแลเราตลอดเวลา เราไม่ต้องพิมพ์หรือกดเพื่อบอกว่าเราต้องการอะไร เราแค่พูดออกไปแล้ว AI จะเข้าใจสิ่งที่เราต้องการในทันที
นี่คือโลกใบใหม่ของการตลาดควอนตัม ที่นักการตลาดต้องทำให้ได้ ตามให้ทันกับบริบทใหม่ๆ ของการใช้ชีวิตผู้คนที่จะไม่มีวันกลับไปล้าหลังเหมือนยุคก่อนหน้าหรือแม้แต่ยุคสมาร์ทโฟนอีกต่อไป
และนี่ก็เป็น 5 Paradigm of Marketing ในมุมมองที่ผมเลือกสรุปให้เพื่อนๆ นักการตลาดได้ลองดูกัน จริงๆ เนื้อหาในเล่มยังมีอีกมากมาย แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้เน้นไปทาง Mindset มากกว่า Case Study เป็นส่วนใหญ่
ส่วนหนึ่งที่ชอบมากคือ Machenism Marketing นักการตลาดวันนี้ต้องเข้าใจเครื่องมือ เทคโนโลยี หรือ Algorithm ของสิ่งต่างๆ ว่ามันทำงานอย่างไร เพื่อที่เราจะได้ทำการตลาดได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด
เพราะ Quantum Marketing ในแง่มุมหนึ่งคือการตลาดแบบสารพัดพิษ การทำการตลาดแบบหลากหลายมิติที่ไม่เคยมีมาก่อน
อีกช่วงหนึ่งของหนังสือที่ผมชอบคือเขาบอกว่าเราต้องมีทัศนคติใหม่ต่อคำว่า Loyalty เมื่อเราเคยได้ยินคำนิยามว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” แต่น่าแปลกใจที่เวลาสร้างแบรนด์เรามักจะบอกว่าทำอย่างไรให้ลูกค้ารักเรา
เพราะถ้าลูกค้าคือพระเจ้าแล้วเราต้องคิดว่าทำอย่างไรจึงจะแสดงความรักแต่เทิดทูนบูชาลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพราะวันนี้ลูกค้าคาดหวังจากแบรนด์ว่า ต้องใส่ใจฉันให้ดี ต้องให้ความสำคัญกับฉันมากที่สุด จงรักฉันคนเดียว อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอไม่ใส่ใจ ไม่อย่างนั้นแล้วพระเจ้าคนนี้จะลงโทษให้ ด้วยการเปลี่ยนใจไปรักสาวกที่เป็นแบรนด์คู่แข่งคุณแทน
สรุปหนังสือ Quantum Marketing การตลาดควอนตัม แล้วคุณจะมองเห็นภาพอนาคตของการตลาดยุคใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ ยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและซับซ้อนแบบสุดๆ ยุคที่นักการตลาดต้องคิดใหม่ทำใหม่ยิ่งกว่ายุคการตลาดออนไลน์หรือ Digital Marketing ที่เคยเป็นมา เพราะถ้าคุณปรับตัวไม่ทัน แน่นอนว่าไม่มีใครรอให้คุณปรับตัว คู่แข่งคุณคงจะแซงหน้าไปก่อนเหมือนตอนยุคดิจิทัลที่เป็นมา และลูกค้าเองก็จะไปให้ความรักกับแบรนด์ที่สามารถดูแลเอาใจใส่พวกเขาได้อย่างดี เพราะวันนี้พวกเขาคือพระเจ้าที่นักการตลาดอย่างเราต้องแข่งกันรักและเทิดทูนบูชาเอาใจพวกเขาให้ไม่ขาดตกบกพร่องครับ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 11 ของปี 2022 สรุปรีวิวหนังสือ Quantum Marketing การตลาดควอนตัม วิธีคิดกลยุทธ์การตลาดในวันที่เทคโนโลยีก้าวล้ำ ผลักให้โลกเปลี่ยนเร็วระดับควอนตัม จนหลักการเดิมๆ ในตำราใช้ไม่ได้อีกต่อไป Raja Rajammanar นักการตลาดผู้ทรงอิทธิพล และ CMO ของ Mastercard เขียน ศรรวริศา เมฆไพบูลย์ แปล สำนักพิมพ์ Amarin How-to
อ่านสรุปหนังสือการตลาดในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://www.summaread.net/category/marketing/
สนใจสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ลิงก์นี้ > https://click.accesstrade.in.th/go/0Ra7HmB7