บทความก่อนหน้านี้ เพลินเคยได้เขียนถึง Brand & Politics ไป ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องที่ใกล้ๆ กับการเมืองอีกหนึ่งเรื่องที่คนอยากให้แบรนด์เข้ามาร่วมด้วยก็คือปัญหาต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสีผิว เชื้อชาติ หรืออะไรอื่นๆ ซึ่งวันนี้เคสที่เพลินยกขึ้นมาให้ก็คือ เคสของ Burger King ที่หยิบประเด็นการ Bully ในสังคมเด็กๆ โรงเรียนขึ้นมา จนกลายเป็นแคมเปญ Bully Burger ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=0e8fcpYX5us
จากข้อมูลที่บอกว่าในแต่ละปีมีเด็กกว่า 30% ทั่วโลกโดนรังแกหรือบูลลี่ แต่เรื่องของบูลลี่กลับเป็นประเด็นที่ใครหลายๆ คนเพิกเฉย และไม่ได้สนใจกับมันมากเท่าไรนัก Burger King ก็เลยหยิบประเด็นนี้ขึ้นมา เพื่อทำให้มันดังขึ้น โดยการบูลลี่เด็กกลุ่มนึง ร่วมกับการบูลลี่เบอร์เกอร์ในร้านด้วย
Burger King ได้ถ่ายทำคลิปวิดิโอตัวนึง ที่มีกลุ่มเด็กนักเรียน High Schools นั่งกันอยู่ที่ร้าน โดยมีเด็กผู้ชายคนนึงกำลังถูกรังแกหรือบูลลี่จากเพื่อนกลุ่มใหญ่ เพื่อเป็นการบันทึก Reactions ของผู้ใหญ่ในร้านที่เห็นเหตุการณ์ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และถ้าหากผู้ใหญ่คนไหนที่เห็นเหตุการณ์ของเด็กถูกรังแกแล้วอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยละก็ พนักงานของ Burger King จะทำการรังแกเบอร์เกอร์ที่เค้าสั่ง ด้วยการทุบมันแรงๆ แล้วค่อยเอาไปเสิร์ฟทั่งแบบนั้นแหละ เพื่อดูปฏิกิริยาของลูกค้ากับเบอร์เกอร์ที่ถูกแกล้งอีกที
ซึ่งลูกค้าทุกคนที่ได้เบอร์เกอร์เละๆ ก็ล้วนแต่เดินกลับมาโวยวายที่ Counter ทันทีว่าทำไมสินค้ามันเละเทะแบบนี้? พนักงานให้มาได้ยังไงกัน? – จังหวะนี้แหละ ที่พนักงาน Burger King จะสอดแทรกเรื่องบูลลี่ในสังคมขึ้นมา ให้เห็นภาพว่า คนส่วนใหญ่มักโวยวายกับเรื่องเวลาที่ตัวเองถูกรังแก แต่เวลาเห็นคนอื่นโดนกลับไม่ช่วย
โดยจากการทำการทดลอง 95% ของลูกค้าล้วนแต่เป็นกลุ่มที่ไม่ทำอะไรกับเด็กถูกรังแก แต่โวยวายเมื่อเบอร์เกอร์ถูกทุบ และอีก 5% ที่เหลือคือกลุ่มลูกค้าที่เลือกยืนหยัดขึ้นมาช่วยเด็กที่กำลังโดนรังแก
ผลของแคมเปญนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดยกวาด Impression ไปได้สูงถึง 3 พันล้านครั้ง และมีมากกว่า 100 ล้าน Organic views พร้อมกับ Earned media ที่มีมูลค่าสูงถึง 45 ล้านดอลล่าร์
ซึ่งสำหรับ Burger King แล้ว แคมเปญนี้ ถือว่าเป็นแคมเปญที่ลาก Social Conversation ให้กับแบรนด์ได้มากที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญที่สุดคือ โรงเรียนใน US หรือเมริกาก็หันมาสนใจเรื่องการบูลลี่ในโรงเรียนมากขึ้นด้วย นอกเหนือจากนั้น Burger King ยังได้รับจดหมายขอบคุณจากเด็กๆ มากมายหลายร้อยฉบับ ที่ได้จับปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาให้สังคมได้รับรู้ค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะ กับประเด็น Social Issue ที่แบรนด์เบอร์เกอร์จับขึ้นมา โดยการเล่นถึงแก่นแบบตีบททีเดียวแตกกระจุย ไม่ต้องไปเล่นหรือลงทุนอะไรอย่างอื่นให้มากความกว่านี้อีก แถมเรื่อง Bully ในสังคม ยังไม่ใช้เรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์เลย แต่แบรนด์ก็สามารถพามันกลับเข้ามาเชื่อมกับแบรนด์ได้ ซึ่งในวันนนี้ หลายๆ คนก็อยากเห็นแบรนด์จับประเด็นร้อนในสังคมขึ้นมาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงกันทั้งนั้นค่ะ
แบรนด์ไหนที่สนใจการทำ CSR แบบนี้ ก็ลองดูนะคะ หรือหากอยากลองอ่านเคสคล้ายๆ กันเพิ่ม สามารถคลิกที่นี่ได้เลยค่ะ
Source: https://medium.com/@conniepanteion/burger-king-bullying-jr-ad-campaign-b5095df2e2b9