Super App คำนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ช่วงนี้ผมถูกถามเรื่องนี้จากคนใกล้ตัวเลยทำให้อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาสักครั้ง เพราะบางแบรนด์เข้าใจผิดว่าแค่ใส่ Feature มากมายเข้าไปให้เหมือนกับ Super App ในปัจจุบันก็สามารถเรียกตัวเองว่าเป็น Super App ได้แล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเราถอดรหัสวิเคราะห์ Super App ในปัจจุบันที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง Grab หรือ LINE หรือแม้แต่ WeChat ในจีนที่อาจจะยังไม่ดังในหมู่คนไทยเสียเท่าไหร่ แอปเหล่านี้ล้วนมีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกัน คือเริ่มต้นที่ความสามารถหลักบางอย่างจนมี User ผู้ใช้งานมากมายติดใจกลับมาใช้เป็นประจำ จากนั้นจึงค่อยๆ หาโอกาสต่อยอด Feature ใหม่ๆ เพิ่มเข้าไปเพื่อให้ผู้ใช้ติดอยู่กับแอปตัวนี้จนไม่อยากจะออกไปไหน หรือข้ามไปใช้แอปอื่นก็อาจไม่สะดวกเท่ากับใช้ Feature ข้างในแอปที่ง่ายดายกว่าครับ
ดังนั้นบทความวันนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อให้คนที่สนใจ หรือผู้บริหารองค์กรไหนที่สนใจตั้งเป้าหมายกลยุทธ์บริษัทว่าฉันจะทำ Super App ได้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ หรือป้อนให้ทีมงานทำอีกครั้งว่า Super App คืออะไร เพื่อท้ายที่สุดจะได้นำไปสู่การทบทวนว่าเป้าหมายที่ตัวเองอยากเป็นนั้นถูกต้องหรือไม่ หรือเป้าหมายที่ควรจะปักธงไว้คืออะไรกันแน่ครับ
Super App คืออะไร?
คำว่า Super App ถูกนิยามขึ้นมครั้งแรกเมื่อปี 2010 โดย Mike Lazaridis ผู้ก่อตั้ง BlackBerry หรือคนรุ่น Gen X และ Y จะคุ้นเคยกับคำว่า BB นั่นเองครับ (ขอ PIN หน่อย) แต่ Gen Y ตอนปลายหรือ Gen Z คงจะงงว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร
Mike Lazaridis นิยามว่า Super App คือ แอปที่มี Ecosystem ภายในตัวด้วยแอปหรือฟีเจอร์มากมายภายในแอป ทำให้ User สามารถเข้ามาใช้งานได้ทุกวัน ทำได้แทบจะทุกอย่างภายในแอปนี้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยแอปอื่นหรือสลับแอปไปมาแต่อย่างไร เช่น LINE สามารถแชท สามารถจ่ายเงิน สามารถเรียกรถ สามารถสั่งของ สามารถแชทกับแบรนด์ สามารถอ่านข่าว(แม้ฟีเจอร์นี้จะยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่) แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะเห็นว่าลำพังแค่มีแอป LINE เราก็สามารถใช้ชีวิตได้สบายๆ แทบไม่ต้องใช้แอปอื่นเลย
ซึ่งบรรดา Super App ต่างก็พยายามสร้างฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้าไปเพิ่มอยู่เรื่อยๆ แต่พวกเขาไม่ได้เอาแต่เพิ่มเข้าไปนะครับ มีมากมายหลายฟีเจอร์ที่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาทำคือทดลองดูไอเดียใหม่ๆ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตมากแค่ไหน ถ้าโตก็ขยายให้ใหญ่โดยไว แต่ถ้าไม่ก็รีบยุบ Digital Product นั้นทิ้งไป ยุบทีมที่ดูแลทิ้งไป หรือถ้าบริษัทไหนใจดีกว่านั้นหน่อยก็โยกทีมเดิมที่เคยดูแลไปรับผิดชอบงานส่วนอื่นแทน
แล้ว Super App ก็ต้องทำตัวเป็น Platform ด้วยการเปิดให้ 3rd Party หรือคนอื่นเข้ามาเชื่อมต่อได้ เราเริ่มเห็นแอปธนาคารเปิด API ให้บริษัทหรือหน่วยงานข้างนอกเข้ามาเชื่อมต่อ หรือแบบที่ LINE ทำ BCRM ขึ้นมาเพื่อเพิ่มความสามารถของแบรนด์ให้ดูแลลูกค้าได้ครบถ้วนโดยไม่อยากจะทำแอปของตัวเองขึ้นมาแข่งเลย
แต่ถ้า Super App จริงๆ ในช่วงต้นๆ ของการกำเนิดคำนี้ขึ้นมาก็คือแอปจากจีนอย่าง WeChat หรือ Alipay ครับ
WeChat Super App แรกของโลกที่เกิดจากข้อจำกัดจนนำไปสู่การก้าวข้าม
เพราะจำนวนผู้ใช้งานเว็บ e-commerce platform อย่าง Taobao และ Tmall ที่เป็นเจ้าของโดย Alibaba นั้นมีมากมายมหาศาลในแต่ละวัน ซึ่งพอนานวันเข้าพวกเขาก็เอา Data ต่างๆ ไปรวมกันจนกลายเป็นบริษัทด้าน Fintech ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Ant Financial ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จาก Transaction data และ social data ที่เกิดขึ้นภายใน Ecosystem ของ Alibaba นำไปสู่การสร้าง Credit Score ขึ้นมาภายในว่าผู้ค้าคนไหนที่ควรจะได้รับการปล่อยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยถูกหรือแพงที่แตกต่างกันตาม Behaviour data
ถ้าคุณเป็น User ที่ดีใน Ecosystem ของ Alibaba คุณก็จะได้รับการพิจารณาเงินกู้ที่รวดเร็วและดอกเบี้ยดีกว่า แต่ถ้าไม่หรือระบบยังไม่มี Data คุณเท่าไหร่ก็ยากที่คุณจะได้รับการกู้เงินผ่านแพลตฟอร์มแห่งนี้ได้ เพราะนี่คือโลกของ Data-Driven เต็มตัวไปแล้วครับ
เป็นอย่างไรครับกับสอง Super App แรกของจีนที่ไม่ได้เริ่มจากการมุ่งเป้าอยากจะเป็น Super App สักเท่าไหร่ แต่เริ่มจากการคิดหาทางต่อยอดจากจำนวน User ที่มีมากมายมหาศาลว่าทำอย่างไรพวกเขาถึงจะอยู่กับเรานานขึ้น ใช้เงินกับเราเพิ่มขึ้น จนทำให้ธุรกิจเราใหญ่ขึ้นครับ
และถ้าใครทำ App ให้กลายเป็น Super App ได้แล้ว ก็จะพบกับ 3 ข้อดีที่แอปทั่วไปไม่มีดังนี้ครับ
1. เปิดตัว New Product ได้ง่ายกว่า เร็วกว่า และเสี่ยงน้อยกว่า
เพราะเดิมทีการจะ Launching Digital Product หรือแอปใหม่นั้นความเสี่ยงแรกที่เจ้าของแอปต้องลุ้นรับคือ จะมีคนเข้ามาโหลดแล้วใช้งานไหม
ถ้าเราเป็น Super App นั่นหมายความว่าเราไม่ต้องทำการยืนยันตัวตนผู้ใช้งานอย่างการทำ KYC ที่มีความยุ่งยากและยังต้องใช้เวลานานกว่าแอปน้องใหม่ อย่างที่ Ant Financial ของ Alibaba สามารถลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างการให้กู้ยืมต่ำจนแทบจะเป็นศูนย์แถมยังอนุมัติได้รวดเร็วมาก เพราะ Ant Financial สามารถวิเคราะห์จาก Data ที่มีเพื่อยืนยันตัวตนผู้ขอกู้ว่ามีความน่าเชื่อถือพอที่จะปล่อยเงินให้กู้หรือไม่ ได้อย่างแม่นยำภายในระยะเวลาแค่ 3 นาทีหรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำไป
ซึ่งการจะยืนยันตัวตนลูกค้าหรือ KYC (Know Your Customer) ของ Super App นั้นง่ายเพราะแพลตฟอร์มมีข้อมูลของผู้ใช้มากมายมหาศาล สามารถบอกได้ในทันทีว่าคนนี้มีแนวโน้มจะโกงหรือไม่ หรือมีประวัติการค้าขายที่ดีมาตลอดแล้วเพิ่งช็อตเอาหรือเปล่า
ทำให้การจะขยายไปสู่การให้บริการทางการเงินของ Super App นั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป บ้านเราก็มี LINE BK หรือธนาคารไลน์ที่เกิดขึ้นมาจากความร่วมมือของธนาคารกสิกรไทยกับ LINE เรียบร้อยแล้ว ส่วนทาง Grab เองก็มีการเปิดให้ Rider หรือคนขับรถในระบบของตัวเองสามารถกู้ยืมเงินหรือเอาสินค้าไปผ่อนใช้ได้ตามระดับความขยัน หรือความน่าเชื่อถือจากการทำงานในแพลตฟอร์ม Grab นั่นเองครับ
สรุป Super App คืออะไรตอนที่ 1
ถ้าให้สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ตามสไตล์ของการตลาดวันละตอนคือ App คือแอปที่มีผู้ใช้เยอะมากพอจนสามารถต่อยอดจากผู้ใช้งานด้วยการเพิ่มฟีเจอร์หรือความสามารถต่างๆ เข้าไปจนกลายเป็น Super App ที่ User สามารถทำโน่นนี่นั่นได้ในแอปเดียวหรือพึ่งพาแอปอื่นภายนอกน้อยมาก
จุดเริ่มต้นของ Super App มาจากฝั่งโลกตะวันออกหรือพี่จีนที่มี User ผู้ใช้จำนวนมหาศาลเป็นทุนเดิมให้ต่อยอด ซึ่งจะคนละด้านกับแอปฝั่งโลกตะวันตกหรืออเมริกาที่มักจะเน้นความสามารถแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่วันนี้ก็เริ่มเห็นแนวโน้มของฝั่งโลกตะวันตกแล้วว่าพวกเขากำลังผันตัวเข้ามาเป็น Super App มากขึ้นทุกวัน ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือฝั่งพี่มาร์ค ที่พยายามทำให้ Facebook และ Instagram กลายเป็น Super App แถมยังพยายามเชื่อมต่อ Platform ต่างๆ ของตัวเองเข้าหากันผ่าน Direct Messenger ในตอนนี้
ในบทหน้าเราจะมาทำความรู้จัก Super App เพิ่มขึ้น รับรองว่าเราจะเข้าใจกลยุทธ์ของ Super App ได้ชัดขึ้นว่าพวกเขาไม่ได้เริ่มจากการตั้งเป้าว่าจะเป็น Super App แต่เริ่มจากการต่อยอดจาก User ภายใน App ให้อยู่ภายใน App ตัวเองไม่หลุดออกไปไหนครับ