ถอดรหัส 4 เทรนด์ผู้บริโภคและการตลาดดิจิทัลที่ธุรกิจควรรู้ในปี 2025 จากงาน MarTech Expo 2025

โลกธุรกิจและการตลาดไม่เคยหยุดนิ่ง โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทำให้เกิดการ Transformation หรือความต้องการของคนเราที่มองหาในสิ่งที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่า และสะดวกสบายกว่าเดิม วันนี้ผมเลยอยากจะมาแชร์ 4 เทรนด์สำคัญด้านพฤติกรรมผู้บริโภคและการตลาดดิจิทัลที่จากงาน MarTech Expo 2025 ใน Session หัวข้อ MarTech Trend & Consumer Behaviors in 2025 โดยผู้ที่มาแชร์ความรู้ใหม่ ๆ นี้ก็คือ คุณ สหโรจ เลาหศิริ (Sarojkhobkid) และ คุณสิทธินนันท์ พลวิสุทธ์ศักดิ์ จาก (Content Shifu)

ถ้าใครที่ต้องการให้ธุรกิจของตัวเองปรับตัวและต้องสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ก็ลองมาติดตามทั้ง 4 เทรนด์นี้ไปพร้อมกัน ๆ เลยครับ


เทรนด์แรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนในยุคปัจจุบันก็คือ “ความเหนื่อยล้าของผู้บริโภค” เพราะพวกเขาต่างก็เหนื่อยหน่ายกับการต้องเรียนรู้ ปรับตัว และตามให้ทันเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาแบบไม่ได้พัก ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด (ปีละกว่า 1.4 ล้านแอปทั่วโลก) ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หรือการอัปเดตของ AI ที่เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน 

และถึงแม้ว่าแบรนด์หรือธุรกิจต่าง ๆ จะพยายามนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเก็บข้อมูล แต่หลายครั้งมันกลับกลายเป็นการสร้างภาระและความซับซ้อนให้กับผู้บริโภคและลูกค้าโดยไม่จำเป็น

จากสถิติที่ถึงจะมีแอปฯ มากมาย แต่ผู้ใช้งานจริงกลับมีแนวโน้มจะใช้แอปฯ น้อยลงในแต่ละวัน (คาดการณ์ลดลงจากเฉลี่ย 18.45 แอป เหลือ 17.8 แอปในปี 2027) สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนเริ่มไม่อยากที่จะเสียเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่หากไม่จำเป็นจริง ๆ นั่นเอง

MarTech

ดังนั้นธุรกิจอาจจะต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์ของตัวเอง  และหันไปเน้นสิ่งที่เป็นพื้นฐานจริง ๆ หรือ Back to Basics อย่างการโฟกัสที่ฟังก์ชันหลักที่ผู้บริโภคคุ้นเคยและใช้งานง่าย หลีกเลี่ยงการเพิ่มฟีเจอร์ที่ซับซ้อนเกินความจำเป็น 

และถ้าอยากมีการแนะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ  ควรพิจารณาใช้การสื่อสารแบบตัวต่อตัว หรือ Human Touch เช่น การให้พนักงานช่วยสอนหรือแนะนำ ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิทัลเพียงอย่างเดียวในบางกรณี เพราะผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย “ขี้เกียจ” ที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง

โปรแกรมสะสมแต้ม หรือ Loyalty Program แบบดั้งเดิมที่เน้นการให้ส่วนลดหรือของแถม อาจไม่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบันอีกต่อไป โดยเฉพาะเรื่องของการสร้าง Brand Loyalty ไห้มีความอย่างยั่งยืน เพราะ ผู้บริโภคในปัจจุบันมักสนใจหรือให้ความสำคัญกับ “Best Deal” มากกว่าตัวแบรนด์ และพร้อมจะเปลี่ยนใจเสมอหากมีตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าเข้ามา

MarTech

ปัญหาสำคัญคือ Loyalty Program ส่วนใหญ่มักจะมักล้มเหลว เพราะมันไม่ได้สร้าง Emotional Branding กับตัวกลุ่มลูกค้า และหลายครั้งก็เป็นการแข่งขันด้านราคาที่ไม่ยั่งยืน ธุรกิจอาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองจากการให้ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว ไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่มีความลึกซึ้งมากขึ้น

MarTech

ดังนั้นธุรกิจควรออกแบบโปรแกรมที่สร้างแรงจูงใจที่หลากหลาย หรือ Multi-dimensional Motivation ทั้งจาก Physical อย่างการสะสมแต้มหรือรับส่วนลด และ Emotion ซึ่งก็คือความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับแบรนด์ผ่านการที่แบรนด์ได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่าง ตัวอย่างเช่น โปรแกรมที่ให้ความรู้ทางการเงิน หรือแอปฯ ที่ช่วยจัดการภาษีได้ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องสร้างคุณค่าที่นอกเหนือไปจากตัวผลิตภัณฑ์ และสามารถเชื่อมโยงกับ Trust ซึ่งเป็นอีกเทรนด์สำคัญของการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน

ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ข้อมูลรั่วไหล และข่าวปลอม กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้น ทำให้ตัวผู้บริโภคเองก็มีความระมัดระวังและให้ความสำคัญกับ “ความน่าเชื่อถือ” ของแบรนด์มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย ทำให้แบรนด์ไม่ได้ถูกคาดหวังแค่เรื่องคุณภาพสินค้าหรือบริการ แต่ยังรวมไปถึงการจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างปลอดภัยและการสื่อสารที่มีความโปร่งใสอีกด้วย

MarTech

ดังนั้นสิ่งที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญอาจแบ่งได้ 3 ประเด็นหลักคือ

  • ลงทุนใน Cybersecurity การปกป้องข้อมูลลูกค้าต้องเป็นวาระสำคัญอันดับต้นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในระยะยาว
  • แก้ปัญหาอย่างโปร่งใส มีกระบวนการรับมือและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าอย่างชัดเจน รวดเร็ว และสร้างความมั่นใจ ไม่ใช่การปัดความรับผิดชอบ
  • บริหารจัดการชื่อเสียง ใส่ใจกับภาพลักษณ์ การสื่อสาร และการออกแบบคอนเทนต์ให้ดูเป็นมืออาชีพ น่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ดูเหมือนมิจฉาชีพ (เช่น การสะกดคำผิด, ฟอนต์ไม่เหมาะสม)

ในยุคนี้ผู้บริโภคใช้แต่ละแพลตฟอร์ม (Facebook, Instagram, TikTok, Shopee, Lazada) ด้วยวัตถุประสงค์และพฤติกรรมที่แตกต่างกัน อัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมักไม่เอื้อต่อการนำเนื้อหาข้ามแพลตฟอร์ม ส่งผลให้การสร้างครั้งเดียว ใช้ทุกที่ หรือ One-size-fits-all ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

ดังนั้นแนวทางสำหรับธุรกิจก็คือ ต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งหมายถึงการทำความเข้าใจธรรมชาติของแพลตฟอร์ม กลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบเนื้อหาที่ได้รับความนิยมในแพลตฟอร์มนั้น ๆ ซึ่งการมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะแพลตฟอร์มภายในทีม จะช่วยให้การวางแผนและดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป

เทรนด์ทั้ง 4 ประการนี้สะท้อนภาพอนาคตที่การตลาดต้องขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและมีกลยุทธ์ 

และถึงแม้ว่าเครื่องมือ MarTech จะมีบทบาทสำคัญและมีการใช้งานเพิ่มขึ้น แต่หัวใจสำคัญไม่ใช่การมีเครื่องมือเยอะที่สุด แต่คือการเลือกใช้ให้เหมาะสมและประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกลยุทธ์ที่คำนึงถึง “ความเป็นมนุษย์” ของผู้บริโภค ทั้งความเหนื่อยล้า ความต้องการความไว้วางใจ และพฤติกรรมที่หลากหลายในแต่ละแพลตฟอร์ม

การปรับตัวตามเทรนด์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่

สวัสดีครับ ชื่อดิวนะครับ จะพยายามนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้เขียนบทความดี ๆ ให้กับทุกคนครับ *_*

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *