สวัสดีนักการตลาด และนักอ่านทุก ๆ คนครับ บทความนี้จะพามาวิเคราะห์เจาะลึกกลยุทธ์ การตลาด Nippon Paint ที่ใช้กลยุทธ์ Smart Framework ภายใต้แผนใหญ่ GREEN PLAN เป็น Road Map สู่ Net Zero ในปี 2050 มาดูกันว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของแคมเปญมาจากอะไร มีแนวคิดแบบไหน เหตุใดจึงทำแคมเปญนี้ จากมุมมองของนักการตลาดคนนึงครับ
ที่มาของแคมเปญ
อย่างที่เราทราบกันดีครับว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบกับเราทุกคน ที่ผ่านมาเราเห็นอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อากาศร้อนขึ้น น้ำท่วมบ่อยขึ้น หรือภัยแล้งที่ทวีคูณความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักและหาทางแก้ไขครับ Nippon Paint เองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตั้งใจจะมีส่วนร่วมในการลดปัญหานี้
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ผมจึงยกสถิติจากการสำรวจของ Nielsen พบว่า 81% ของผู้บริโภคทั่วโลกกล่าวว่าพวกเขารู้สึกว่าบริษัทต่าง ๆ ควรช่วยปรับปรุงสิ่งแวดล้อม และ 73% ของผู้บริโภคที่เป็น Millennials พร้อมที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ Forbes ยังรายงานว่า 88% ของผู้บริโภคต้องการให้แบรนด์ช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น สถิติเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการใส่ใจสิ่งแวดล้อมสามารถสร้างความรักและความไว้วางใจจากลูกค้าได้มากขึ้น
ในฐานะคนที่อยากเห็นสิ่งแวดล้อมดีขึ้น ผมรู้สึกว่าการที่แบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง Nippon Paint ใส่ใจในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีมากครับ เพราะการที่บริษัทใหญ่ ๆ ลงมือทำ มันส่งสัญญาณให้บริษัทอื่น ๆ และคนทั่วไปเห็นว่าการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งยังกระตุ้นให้ธุรกิจอื่น ๆ จำเป็นต้องทำตามด้วย
GREEN PLAN มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050
Nippon Paint เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการสีของเอเชีย และเป็นอันดับ 4 ของโลก ได้ประกาศพันธกิจที่มุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ผ่านแผนที่เรียกว่า “GREEN PLAN” หรือแผนสีเขียว การทำแบบนี้ไม่ใช่แค่การทำดีต่อโลกเพียงเท่านั้น แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและดึงดูดลูกค้าที่สนใจเรื่องความยั่งยืนด้วยครับ
Road Map สู่ Net Zero ในปี 2050
Nippon Paint มีแผนการใหญ่ ๆ ที่เรียกว่า Green Process และ Green Product ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ นวัตกรรม และผู้บริโภคครับ Nippon Paint ใช้กลยุทธ์ Smart Framework ที่ทำให้ธุรกิจยั่งยืน และสนับสนุนวัฒนธรรมการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนตัวมองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจให้รอด แต่ยังช่วยโลกและสร้างความเท่าเทียมในองค์กรด้วยครับ
4 ยุทธศาสตร์กระบวนการ Green Process
#1 ยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน
Nippon Paint ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาโรงงาน ซึ่งลดการปล่อยคาร์บอนไปแล้วกว่า 600,000 กิโลกรัมต่อปีครับ การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์นี้ช่วยผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงงานได้กว่า 1.4MW ต่อปี การเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางเลือกนี้ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนี้ยังเปลี่ยนมาใช้รถยกแบตเตอรี่แทนรถน้ำมันดีเซล การใช้รถยกแบตเตอรี่มีความสะอาดและประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้ลดมลพิษทางอากาศในโรงงานและชุมชนรอบข้างได้ครับ
#2 ยุทธศาสตร์ด้านการอนุรักษ์น้ำ
น้ำถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากสำหรับกระบวนการผลิต Nippon Paint มุ่งส่งเสริมกิจกรรมการบำบัดน้ำเสียภายในองค์กรอย่างเคร่งครัด โดยนำน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดอย่างถูกต้องแล้วกลับมาใช้ใหม่ คาดการณ์ว่าสามารถลดการใช้น้ำกว่า 840,000 ลิตรต่อปี
ซึ่งเทียบเท่าการกดโถสุขภัณฑ์กว่า 70,000 ครั้ง มากไปกว่านั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการบำบัดน้ำเสียทั้งหมดที่ออกจากโรงงาน Nippon Paint ได้ติดตั้งชุดทดสอบดินและการรั่วไหล เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนบริเวณโดยรอบและสิ่งแวดล้อมครับ
ซึ่งน้ำที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้จะถูกกำจัดตามประเภทของขยะอุตสาหกรรม และกักเก็บโดยผู้ให้บริการที่มีใบอนุญาต เพื่อบำบัดเพิ่มเติมตามกฎหมายท้องถิ่น ส่วนน้ำจากห้องปฏิบัติการจะได้รับการบำบัดในแทงก์เจือจางและทดสอบโดยผู้ประเมินในหน่วยงานก่อนที่จะปล่อยออกเป็นน้ำเสียสาธารณะครับ
#3 ยุทธศาสตร์ด้านการลดมลพิษทางอากาศ
Nippon Paint ใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ Dust Collector เพื่อเป็นอุปกรณ์เก็บฝุ่น และนำฝุ่นภายในโรงงานกลับเข้าสู่กระบวนการผลิต ด้วยวิธีนี้สามารถลดปริมาณฝุ่นได้ 3,000 กิโลกรัมต่อปี การทำแบบนี้ช่วยให้สิ่งแวดล้อมในโรงงานและรอบข้างมีคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจแก่คนงานและชุมชน
#4 ยุทธศาสตร์ด้านการกำจัดของเสีย
วิธีการกำจัดของเสียจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของขยะ เช่น วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้จะถูกนำมาใช้ซ้ำหรือรีไซเคิลโดยบริษัทผู้รับเหมาที่ถูกต้อง หรือดำเนินการเองภายในองค์กร นอกจากนี้ นิปปอนเพนต์ยังใส่ใจเรื่องการกำจัดขยะ ไม่ว่าจะเป็นการแยกขยะหรือการติดฉลากแนะนำวิธีการกำจัดอย่างถูกวิธี
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ประเมินผลกระทบเพื่อระบุและติดตามต้นกำเนิดของของเสีย ภายใต้มาตรฐาน ISO: 14001 และกฎหมายการกำจัดของเสียในท้องถิ่น เพื่อกำหนดขั้นตอนในการจัดการของเสียให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
Green Process and Green Product
#1 ระบบสีเพื่อลด Embodied Carbon
ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (CFP) ซึ่งแสดงถึงการปล่อยคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน และการกำจัดของเสีย นิปปอนเพนต์ยังพัฒนาโซลูชั่นลดคาร์บอนตั้งแต่การก่อสร้าง โดยใช้วัสดุที่ลดการปล่อยคาร์บอนและลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน
ทำให้ประหยัดเวลาและทรัพยากร นอกจากนี้ ยังพัฒนาเทคโนโลยีสีประหยัดพลังงานที่ช่วยลดอุณหภูมิในอาคารและลดการใช้พลังงานในการปรับอากาศ ทำให้ลดค่าไฟฟ้าและเพิ่มอายุการใช้งานของอาคาร ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการปรับปรุงและบำรุงรักษาอาคาร
#2 นวัตกรรมสีสร้างความยั่งยืน
นิปปอนเพนต์พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยสาร VOCs ต่ำ (Low VOCs) ซึ่งได้รับการรับรองจากมาตรฐาน LEED v4.1 และ WELL v2 การใช้สีที่มี VOCs ต่ำช่วยลดกลิ่นฉุนและมลพิษทางอากาศภายในอาคาร ทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานดีขึ้นและปลอดภัย
ต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ นิปปอนเพนต์ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์สีที่มีสารเคลือบป้องกันเชื้อราและแบคทีเรีย ช่วยเพิ่มสุขอนามัยและความปลอดภัยในอาคาร เช่น สีที่มีคุณสมบัติป้องกันเชื้อโรคสำหรับโรงพยาบาลหรือโรงเรียน ซึ่งช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
วิเคราะห์แคมเปญเบื้องหลังที่ใช้
การตลาด Nippon Paint ได้ใช้กลยุทธ์การตลาดที่เน้นเรื่องความยั่งยืน Sustainability Marketing และการใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ห่วงใยเรื่องนี้ โดยมีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การจัดโครงการปลูกต้นไม้ การสนับสนุนการรีไซเคิล และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การใช้แคมเปญเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับแบรนด์ครับ
สรุป การตลาด Nippon Paint เปิดกลยุทธ์ Smart Framework
Nippon Paint ได้เปิดตัวแผน GREEN PLAN เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยใช้กลยุทธ์ Smart Framework เพื่อสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ จากรายงานของ Frobs พบว่า 73% ของผู้บริโภคที่เป็น Millennials พร้อมที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ดังนั้น GREEN PLAN จะสามารถดึงดูดผู้บริโภค Gen Millennials ได้มากขึ้นได้อย่างแน่นอน
แคมเปญนี้ตอบสนองต่อความกังวลเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน โดยเน้นการลดการใช้พลังงาน การอนุรักษ์น้ำ การลดมลพิษทางอากาศ และการจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพครับ นอกจากนี้ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น สีที่มีสาร VOCs ต่ำ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกันอีกด้วย
บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ