ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดนี้เติบโตได้แก่ ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมในอุตสาหกรรมแฟชั่น ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นมองหาแบรนด์ที่สอดคล้องกับค่านิยมด้านความยั่งยืนและความยุติธรรมทางสังคมครับ ฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ BTNC ถึงผลักดันให้บริษัทรวมถึงวงการแฟชั่นไทยเติบโตอย่าง Go Green
โดย BTNC ทำการขับเคลื่อนธุรกิจตามกรอบ ESG ที่คำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคมและชุมชน (Social) และธรรมาภิบาลที่ดี (Governance) และได้เปิดตัวโครงการ A’MAZE Green Society ภายใต้วิสัยทัศน์ “THE FUTURE OF SUSTAINABLE FASHION”
ซึ่งเน้นการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนตั้งแต่กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการนำทรัพยากรส่วนเกินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ และการ Recycle โดยเป้าหมายของ BTNC คือการลดขยะเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมให้เป็นศูนย์ด้วยระบบ Zero Waste Process พร้อมเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและนำพาประเทศไทยสู่ Net Zero ครับ
2. Creating differentiation and competitive advantage
การที่ BTNC ยึดกรอบ ESG และพัฒนาโครงการ A’MAZE Green Society เป็นการสร้างความแตกต่างในตลาดแฟชั่น ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเน้นไปที่การผลิตและจำหน่ายแฟชั่นแบบ Fast Fashion อยู่ครับ การที่บริษัทมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและมีคุณภาพสูงเป็นการสร้างจุดแข็งและความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดแฟชั่นทั้งในและต่างประเทศครับ
การที่ BTNC สนับสนุนโครงการที่มุ่งเน้นการย้อมครามร่วมกับชุมชนในจังหวัดสกลนคร และโครงการ GSP X Alex ที่เปิดโอกาสให้เด็กพิเศษหรือผู้มีความสามารถทางศิลปะได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียม เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและการสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกในชุมชน
5. Creating collaboration and innovation
การเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงและนำพาประเทศไทยสู่ Net Zero เป็นการส่งเสริมการทำงานร่วมกันและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมแฟชั่น การที่ BTNC มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของลูกค้า เป็นการยกระดับองค์กรและสร้างความได้เปรียบในระยะยาว