วลีเด็ด “ไปดู Netflix ที่ห้องพี่มั้ย” เพื่อน ๆ เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่ากว่า Netflix จะสามารถเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์อันดับหนึ่งของโลก ต้องผ่านอะไรมาบ้าง และสามารถรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งได้อย่างไรแม้มีคู่แข่งรายใหญ่มาท้าทายมากมาย ในบทความนี้ผมจะเล่าถึง การตลาด Netflix ทั้งในแง่ของประวัติการเติบโตในแต่ละยุค และ Key Marketing Strategy ที่ Netflix ใช้กันครับ
Netflix History
ก่อนอื่นผมอยากจะแชร์ประวัติความเป็นมาของ Netflix สักเล็กน้อยครับ Netflix เริ่มต้นในวันที่ 29 สิงหาคม 1997 ที่เมือง Scotts Valley รัฐ California เมื่อ Marc Randolph และ Reed Hastings สองผู้ก่อตั้ง มีความคิดที่จะเริ่มให้บริการเช่าหนังออนไลน์
แรกเริ่มบริษัทมีร้านให้เช่าแค่ 30 ร้าน และมีหนังให้เช่าทั้งหมด 925 เรื่อง ซึ่งก็คือหนัง DVD เกือบทั้งหมดที่มีในเวลานั้นครับ ระบบของ Netflix ในตอนนั้นคือ เรียกเก็บเงินตามจำนวนรอบการเช่า คล้าย ๆ ร้านวิดีโอทั่วไป แต่มีจุดเด่นคือ ไม่ต้องเสียค่าปรับถ้าหนังเกินกำหนด ค่าเช่าหนังอยู่ที่ประมาณ 4 ดอลลาร์
หลังจาก Netflix ดำเนินการมาสักระยะ ก็เริ่มมีสมาชิกมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2000 ทางบริษัทก็ตัดสินใจเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ จากระบบเช่าเป็นระบบสมัครสมาชิกครับ
จุดเปลี่ยนสำคัญอีกจุดหนึ่งของ Netflix คือ ในปี 2000 พวกเขาได้พัฒนาระบบแนะนำหนังที่ทันสมัย โดยใช้ข้อมูลจากประวัติการเช่าของลูกค้า มาช่วยคาดเดาว่าสมาชิกแต่ละคนน่าจะชอบหนังเรื่องไหน ช่วยให้ Netflix ดึงดูดสมาชิกใหม่ได้เพิ่มมากขึ้น เดี๋ยวจะไล่เรียงไทม์ไลน์แบบสั้น ๆ ให้ดูครับ
ในปี 2005 Netflix มีสมาชิกแล้ว 4.2 ล้านคน
ปี 2006 ทางบริษัททุ่มเงิน 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อท้าทายนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก ให้สร้างอัลกอริทึมที่สามารถคาดเดาความชอบของผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าระบบ Cinematch ของ Netflix
ปี 2007 Netflix ตัดสินใจเลิกให้บริการเช่า DVD ทางไปรษณีย์ และหันมาเน้นการสตรีมมิ่งวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ตแทน
ในช่วงปี 2007-2010 Netflix ขยายบริการไปยังอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย เช่น Xbox 360, เครื่องเล่น Blu-Ray, กล่องทีวี set-top, ผลิตภัณฑ์ของ Apple, Nintendo Wii และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้
ปี 2013 Netflix ประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อซีรีส์ “House of Cards” ได้รับรางวัล Primetime Emmy Awards 3 รางวัล สร้างการตระหนักรู้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ปี 2014 Netflix ขยายบริการไปยัง 6 ประเทศในยุโรป และซีรีส์ “House of Cards” กับ “Orange Is the New Black” ก็ได้รับรางวัล Emmy Awards เพิ่มเติมอีก 7 รางวัล
ปี 2016 Netflix มีสมาชิกมากกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก และสามารถให้บริการในเกือบทุกประเทศทั่วโลก
“282.68 ล้านคน” คือตัวเลขจำนวนสมาชิกของ Netflix ปี 2024
Bankmycell, 2024
ปัจจุบัน Netflix เป็นผู้นำในตลาดสตรีมมิ่งวิดีโอ และยังคงสร้างเนื้อหาใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่ และรักษาฐานสมาชิกเก่า เนื้อหาต่อไปนี้ผมจะพามาดู 3 Key Marketing Strategy ของ Netflix กันครับ
3 Key Marketing Strategy
1. Personalized รู้ใจกว่าใครเพื่อน
คนรัก Netflix ส่วนหนึ่งเพราะว่า Netflix สามารถทำ Personalized ได้ดีมาก ๆ สามารถแนะนำเนื้อหาภาพยนตร์ได้ตรงตามใจของผู้ชมจากไลบรารีของ Netflix ที่มีรายการทีวีและภาพยนตร์มากมายหลากหลายประเภท
เหตุผลที่ Netflix ทำ Personalized ได้เหนือกว่าคู่แข่ง เป็นเพราะอัลกอริทึมขั้นสูงที่มีการพัฒนาได้ตลอดเวลาโดยอิงจากประวัติการรับชมของลูกค้า เป็นตัวอย่างที่เนื่องจากมีภาพยนตร์มากมายหลากหลายประเภท ผู้ชมไม่รู้ว่าจะเลือกดูเรื่องใดก่อน
AI-Generated Image by Shutterstock (Prompt: cartoon characters, “N” shaped characters, reflecting the CI “netflix”, help recommending people movies on netflix platform, om TV, reflecting the personalization, Red, Black Tone)
เรียกได้ว่า Netflix ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ เมื่อปี 2006 Netflix ทุ่มเงิน 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อท้าทายนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก ให้สร้างอัลกอริทึมที่สามารถคาดเดาความชอบของผู้ใช้ได้แม่นยำกว่าระบบ Cinematch ของ Netflix
เพราะการทำ Personalized สามารถตอบสนองต่อความต้องการและความสนใจของลูกค้าได้อย่างแท้จริง ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และการยอมรับต่อสินค้า ทำให้มีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
นอกจากนี้ การ Personalized ยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะตัวและสร้างความเชื่อมั่นในการแนะนำบริการหรือผลิตภัณฑ์นั้นให้กับผู้อื่นโดยอย่างต่อเนื่อง ไม่แปลกใจว่าทำไม Netflix ถึงได้ให้ความสำคัญกับการทำ Personalized ขนาดนี้
2. Variety Content ทุกเพศ ทุกวัย อย่างแท้จริง
Variety Content เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของ Netflix เพื่อให้ผู้ใช้มีประสบการณ์การรับชมที่หลากหลายและเหมาะสมกับความสนใจและความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย มีตั้งแต่การ์ตูนสำหรับเด็ก ไปจนถึงหนังผู้ใหญ่เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มครอบครัว
นอกจากนี้ Netflix ยังใช้กลยุทธ์เจาะตลาดท้องถิ่นด้วย Localization ทาง Netflix ลงทุนสร้างซีรีส์และหนังท้องถิ่น เข้าถึงผู้ใช้ในแต่ละประเทศ ตีตลาดได้ตรงใจผู้ชม ยกตัวอย่าง
ในส่วนของหนังฮอลลีวูด ตัวอย่างเช่น Red Notice ซึ่งเป็นหนังแอ็คชั่นที่มีนักแสดงดังเข้าร่วมและได้รับความนิยมมากรวมถึง The Adam Project ที่นำโดย Ryan Reynolds และ Don’t Look Up ที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลก
VIDEO
สำหรับหนังเอเชีย Netflix มีซีรีย์ที่ได้รับความนิยมอย่าง Squid Game ซึ่งเป็นซีรีส์ดราม่าแอ็คชั่นจากเกาหลีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และ All of Us Are Dead ที่เป็นซีรีส์ซอมบี้สยองขวัญเกาหลี รวมถึง Hometown Cha-Cha-Cha ซึ่งเป็นซีรีส์โรแมนติกเกาหลีที่มีความสนุกสนาน
VIDEO
ด้วยการนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกแนวทาง ทำให้ Netflix สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลายกลุ่มทั่วโลก และได้รับการยอมรับในวงการบันเทิงออนไลน์อย่างปฏิเสธไม่ได้
3. ดึงดูดผู้ใช้ใหม่ รักษาลูกค้าเก่า ด้วย Netflix Only
เพื่อดึงดูดผู้ใช้ใหม่และสร้างความแตกต่างในตลาดหนังและภาพยนตร์ที่ทีอยู่ Netflix ได้ลงทุนในการสร้างคอนเทนต์ Original ที่มีเฉพาะเฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มของตนเอง นำเสนอเนื้อหาที่ไม่สามารถหาชมได้ที่ไหนอื่น ๆ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สามารถดึงดูดผู้ใช้รายใหม่ได้เป็นอย่างดี
เนื้อหาที่สร้างขึ้นเพื่อแพลตฟอร์มเฉพาะของ Netflix มักจะเป็นซีรีส์และหนังที่มีคุณภาพสูง มีเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีเนื้อเรื่องที่ค่อนข้างแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้ชม
ตัวอย่างเช่น Stranger Things ที่เป็นซีรีส์แนวสยองขวัญที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และ Bridgerton ที่เป็นซีรีส์โรแมนติกภาคต่อที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และเรื่อง Money Heist หนังวางแผนปล้นแบบคม ๆ ที่เป็น The best ในใจผม
VIDEO
ในส่วนของหนัง Netflix Originals ยังมีการลงทุนในหนังที่มีความหลากหลายและมีคุณภาพสูง เช่น The Power of the Dog ซึ่งเป็นหนังดราม่าที่ได้รับการรับรองจากนักวิจารณ์และผู้ชมหลายคน และ Red Notice ที่เป็นหนังแอ็คชั่นที่มีนักแสดงดังที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากเข้าร่วมแสดงด้วย เช่น Gal Gadot Ryan Reynolds และ Dwayne Johnson
VIDEO
นอกจากจะเป็นการดึงดูดผู้ใช้ใหม่แล้ว ยังเป็นการรักษาลูกค้าเก่าอีกด้วย เช่น ผมชอบซีรีย์ Emily in paris ใน Netflix มาก และกำลังรอซีซั่นใหม่ที่เป็นภาคต่ออยู่ซึ่งแน่นอน Netflix Only เท่านั้นครับ จึงไม่ได้ยดเลิก Netflix ไปสักที
Source Source Source Source
บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ
อ่าน การตลาด Netflix ไปแล้ว ข้ามมาดูทางฝั่ง Disney+ กันบ้างครับ