ชวนรู้จัก Co-Creation Marketing คืออะไร? ทำไม Brands จึงควรทำ

ปัจจุบันมีเทรนด์การตลาดมากมายทั้ง Cute Marketing ที่นำความน่ารักเข้ามามีส่วนร่วมในการทำ Marketing หรือ Muketing ที่ผสานความมูเตลู และ Marketing เข้าด้วยกัน และอีกหนึ่งเทรนด์ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นคือ Co-Creation Marketing ซึ่งเป็นหนึ่งใน The Future 100: 2024 ที่ถูกพูดถึงนั่นเองค่ะ มาดูกันว่าคืออะไร? แล้วทำไม Brands จึงควรทำ

Co-Creation Marketing คือแนวคิดทางการตลาดที่ให้แบรนด์หรือองค์กรทำงานร่วมกับผู้บริโภคและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องค่ะ นั่นก็เพื่อให้แบรนด์และผู้บริโภคได้สร้างคุณค่า (Value) หรือพัฒนาสินค้าหรือบริการไปพร้อม ๆ กัน โดยเน้นการมีส่วนร่วมและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดสร้างสรรค์ และประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายนั่นเองค่ะ ซึ่ง Co-Creation จะเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนในกระบวนการออกแบบ พัฒนา หรือปรับปรุงสินค้าและบริการ แทนที่จะเป็นเพียงผู้บริโภคปลายทางเท่านั้นค่ะ

โดยตัวอย่างของ Co-Creation Marketing อาจเห็นได้จาก

  • การเปิดพื้นที่ความคิดเห็นต่อสินค้าและบริการ บริษัทเชิญลูกค้าให้แนะนำฟีเจอร์ใหม่ ให้ข้อมูลปัญหาการใช้งาน หรือเสนอไอเดียที่ช่วยให้สินค้าดีขึ้น
  • แพลตฟอร์ม Community Online การสร้างคอมมูนิตี้ที่ลูกค้าสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และบริษัทนำข้อมูลไปพัฒนาต่อ ตัวอย่างของการสร้าง Community ของแฟนนางงาม การตลาดนางงามจักรวาล ตอบรับกระแส fandom ผ่าน LINE ประเทศไทย
  • การทดลองผลิตภัณฑ์ร่วมกัน ทดลองสินค้าเวอร์ชั่นเบต้าหรือรุ่นต้นแบบ โดยให้ลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ เข้ามามีส่วนในการทดสอบ ปรับปรุง และแก้ไขก่อนวางขายจริง
  • Co-branding หรือ Collaboration การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ สร้างผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทั้งสองฝ่าย ตัวอย่างของการ Collaboration ระหว่างแบรนด์ การตลาด KOI Thé Collab แบรนด์เกม สร้าง Limited Edition Marketing

นอกจากนั้นการทำ Co-Creation Marketing มีความสำคัญและประโยชน์ในหลายด้าน โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคต้องการมีส่วนร่วมและแสดงตัวตนผ่านแบรนด์ที่พวกเขาซื้อ ซึ่งเหตุผลหลักที่แบรนด์ควรทำ Co-Creation Marketing มีดังนี้

1. สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ “ใส่ใจ” และ “ฟัง” ความคิดเห็นของพวกเขา สิ่งนี้เองจะช่วยสร้าง Brand Loyalty และทำให้ลูกค้ากลายเป็น Brand Advocate ที่พร้อมจะแนะนำแบรนด์ให้คนอื่นค่ะ

2. เพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ Co-Creation ทำให้แบรนด์ได้รับไอเดียใหม่ ๆ จากผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ซึ่งช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของตลาด และลดความเสี่ยงในการผลิตสินค้าที่ไม่ตอบโจทย์ลูกค้าค่ะ

3. สร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้ลูกค้า การมีส่วนร่วมในขั้นตอนการสร้างสรรค์สินค้า เช่น การเลือกสี การปรับแต่ง หรือออกแบบเอง ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสะท้อนความเป็นตัวเองค่ะ

ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator
Prompt : A hyper-realistic depiction of two people in a shop setting, demonstrating collaboration. The seller and buyer are both leaning slightly over the table, actively discussing the fabrics in front of them, now in an elegant palette of gold, white, and black. They appear to be working together, with gestures suggesting agreement and shared decision-making. The table is covered with neatly arranged fabrics of various textures and patterns. The background features shelves filled with rolled fabrics and a window letting in natural light. There is also a mannequin and a potted plant in the background, creating a warm, professional, and inviting atmosphere. Lighting highlights their interaction, adding depth and realism.

4. เพิ่มความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันสูง Co-Creation Marketing ช่วยให้แบรนด์ แตกต่าง และ โดดเด่น จากคู่แข่ง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคมองหาความพิเศษที่มากกว่าสินค้าทั่วไปค่ะ

5. สร้างกระแสและการบอกต่อ เมื่อลูกค้ามีส่วนร่วมในผลิตภัณฑ์ พวกเขามักจะภูมิใจและแชร์ประสบการณ์ลงบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยสร้างกระแส (Buzz) และเป็นการตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) อีกด้วยค่ะ

6. เข้าใจความต้องการของตลาดแบบ Real-Time กระบวนการ Co-Creation ช่วยให้แบรนด์เก็บข้อมูลเชิงลึก (Insights) และแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพราะลูกค้าได้แสดงความต้องการออกมาในกระบวนการสร้างสินค้าโดยตรงนั่นเองค่ะ

7. ลดความเสี่ยงและต้นทุนการพัฒนาสินค้า เมื่อผู้บริโภคมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา แบรนด์สามารถลดความผิดพลาดในการออกแบบสินค้าที่ไม่ตอบโจทย์ และยังลดต้นทุนในกระบวนการวิจัยตลาด (Market Research) อีกด้วยค่ะ

จะเห็นว่า Co-Creation Marketing มีประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย โดยลูกค้าจะรู้สึกว่าเสียงของพวกเขาถูกให้ความสำคัญ และแบรนด์เองก็สามารถเข้าใจลูกค้ามากขึ้น นำไปสู่การสร้างสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการ และเกิดความผูกพันในระยะยาวกับแบรนด์นั่นเอง ทีนี้เรามาดู Case Study กรณีศึกษากันค่ะ ว่ามีแบรนด์ไหนบ้างที่มีการทำ Co-Creation Marketing

“ทำไมถึงต้องซื้อดีไซน์ของคนอื่น ในเมื่อคุณสามารถออกแบบเองได้?”

ชวนรู้จัก Co-Creation Marketing คืออะไร? ทำไม Brands จึงควรทำ
ขอขอบคุณรูปจาก Atelier Jolie

เมื่อฤดูร้อนในปี 2023 Angelina Jolie ได้เปิดตัวโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Atelier Jolie ซึ่งเป็น “คอมมูนิตี้แห่งการสร้างสรรค์” ที่เปลี่ยนนักช้อปให้กลายเป็นดีไซเนอร์ค่ะ

แทนที่จะขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ออกแบบมาแล้ว Atelier Jolie เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเลือกผ้าคุณภาพสูงและผ้างานฝีมือ เพื่อสร้างเสื้อผ้าตามขนาดที่ต้องการ โดยมีช่างตัดเสื้อในร้านช่วยออกแบบให้ค่ะ นอกจากนี้ Atelier Jolie ยังมีบริการซ่อมแซมเสื้อผ้า อุปกรณ์ซ่อมแซมสำหรับนำกลับบ้าน และ มี “stud-it-yourself activity station” ที่เปิดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเองในร้านแบบฟรี ๆ อีกด้วยค่ะ

“ฉันไม่ได้อยากเป็นดีไซเนอร์แฟชั่นชื่อดัง” Jolie บอกกับ Vogue
“ฉันอยากสร้างพื้นที่ให้คนอื่นได้เป็นแบบนั้นมากกว่า”

“ใครก็ตามที่ต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา สามารถทำได้”
Brendon Garner ผู้ร่วมก่อตั้งและเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิต –

ชวนรู้จัก Co-Creation Marketing คืออะไร? ทำไม Brands จึงควรทำ
ขอขอบคุณรูปจาก https://www.kiki.world/co-create

Kiki เป็นแบรนด์เครื่องสำอางจากปรเทศสหรัฐฯ ซึ่งเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2023 ค่ะ โดยเน้นแนวคิดการร่วมสร้างสรรค์ หรือ Co-creation ซึ่งแบรนด์จะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบสินค้าค่ะ

แบรนด์นี้เริ่มต้นด้วยสินค้าเพียงชิ้นเดียว คือน้ำยาทาเล็บ และผลิตภัณฑ์ในอนาคตทั้งหมดจะถูกตัดสินโดยการโหวตจาก Community

ชวนรู้จัก Co-Creation Marketing คืออะไร? ทำไม Brands จึงควรทำ

“เราต้องการเปลี่ยนแนวทางการทำแบรนด์ ให้ไปไกลกว่าความงาม ควรเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคร่วมกันสร้าง”

Ricky Chan ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์กล่าว

” INSPIRING EVERYONE TO BECOMEA Dreamer

Golden Goose เป็นแบรนด์แฟชั่นสัญชาติอิตาลี แบรนด์นี้มีชื่อเสียงโดดเด่นจากการผสมผสานงานออกแบบรองเท้าผ้าใบ (Sneakers) สไตล์ลักชัวรีที่มีความเรียบง่าย เข้ากับความรู้สึกแบบวินเทจและความประณีตของงานฝีมือช่างอิตาเลียนค่ะ ส่งผลให้ได้รองเท้ารูปทรงคลาสสิกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะการแต่งรองเท้าให้ดูมีร่องรอยการใช้งาน (Distressed Effect) ทำให้รองเท้าดูเป็นงานแฮนด์เมดที่มีคาแรกเตอร์ไม่ซ้ำใครอีกด้วยค่ะ

และนอกจากรองเท้าแล้ว Golden Goose ยังขยายไลน์สินค้าไปยังเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ และที่สำคัญ Golden Goose เปิดโอกาสให้ลูกค้าร่วมออกแบบสินค้าได้ทุกที่ ทั้งบนออนไลน์และหน้าร้านค่ะ

ขอบคุณภาพจาก Golden Goose

มีทั้งแบบ “Sneaker’s Co-Creation” คือการให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการออกแบบรองเท้าคู่ใหม่ร่วมกับช่างฝีมือ (Artisans) ของแบรนด์ โดยลูกค้าสามารถเลือกดีเทล การตกแต่ง หรือองค์ประกอบพิเศษต่าง ๆ เช่น ข้อความ (messages) หมุดโลหะ (studs) รวมถึงลวดลาย หรือวัสดุอื่น ๆ ให้ตรงกับความชอบและสไตล์ของตัวเองได้ด้วยค่ะ ทำให้รองเท้าคู่นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์และพิเศษไม่ซ้ำใครค่ะ

ชวนรู้จัก Co-Creation Marketing คืออะไร? ทำไม Brands จึงควรทำ

นอกจากนั้นยังมี “Special Co-Creation” เป็นการยกระดับการร่วมสร้างสรรค์ (Co-Creation) ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าไปอีกขั้นค่ะ โดยนอกจากการปรับแต่งพื้นฐาน (Classic Customization) เช่น เลือกสีหรือวัสดุแล้ว ลูกค้ายังสามารถเพิ่มรายละเอียดพิเศษ เช่น เครื่องประดับ (Charms) เชือกรองเท้าดีไซน์พิเศษ (Laces) และลูกเล่นเฉพาะตัวอื่น ๆ เพื่อสร้างรองเท้าคู่ใหม่ที่มีความพิเศษยิ่งขึ้นค่ะ

รวมทั้งการ“Co-creation in store” เป็นการเชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามาที่หน้าร้าน (In-store) เพื่อสัมผัสประสบการณ์การปรับแต่งรองเท้าหรือสินค้าแบบเฉพาะตัว ร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับแบรนด์ มีส่วนร่วมในการออกแบบ จินตนาการ และเลือกรายละเอียดต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ ทำให้สินค้ามีความหมายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริงค่ะ

จะเห็นว่าการ Co-creation ช่วยให้แบรนด์และลูกค้าใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นค่ะ การที่แบรนด์เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการสร้าง พัฒนาสินค้าหรือบริการ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น และสินค้าหรือบริการที่ลูกค้ามีส่วนร่วมจะสร้างความรู้สึก “การเป็นเจ้าของ” ให้กับลูกค้าด้วย ซึ่งในระยะยาวก็จะเป็นผลดีกับแบรนด์เองค่ะ

แม้ว่าเคสตัวอย่างที่ยกมาจะเป็นการทำ Co-creation ใน Industry ของ Fashion และ Beauty เพราะทั้ง 2 Industry นี้นั้นมีเทรนด์ที่เปลี่ยนไว และดึงลูกค้าให้อยู่แบรนด์ตลอดค่อนข้างยาก การนำ Co-creation มาใช้จึงเหมาะสมมากค่ะ

สรุป

ผู้เขียนเองก็มองว่าการที่แบรนด์เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งวิธีการฟังเสียง และหา Insight ได้จากลูกค้าอีกรูปแบบหนึ่ง รวมทั้งเป้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า หากแบรนด์ยังไม่สร้างให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมแบบ 100% อย่าง Kiki ก็อาจทำแคมเปญ หรือ เลือกเพียงหนึ่ง Product ออกมาทำ Co-creation อย่าง Golden Goose ก็ได้ค่ะ

และอย่างที่เราได้อธิบายไป การทำ Co-creation ไม่ได้มีความร่วมมือระหว่างแค่ลูกค้ากับแบรนด์เท่านั้น ยังมีในส่วนของแบรนด์กับแบรนด์ อย่าง Co-branding หรือ Collaboration ที่เป็นการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ สร้างผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทั้งสองฝ่ายค่ะ อย่างเคสใกล้ตัวเราก็คงเป็น Burger King x Carnival

ดังนั้นผู้เขียนมองว่าหากแบรนด์ต้องการทำ Co-creation ก็เลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแบรนด์ตนเองจะดีที่สุดค่ะ ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ 

สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ

Source Source Source

มิวมิ้น เรียก มิ้น ก็ได้ ● ⋏ ● เป็น Marketing Content Creator & Data Research Insight ของการตลาดวันละตอน ٩(◕‿◕)۶ ทำงานด้าน Merchandiser / Digital Marketing / Ads optimizer / Data Research Insight ตั้งใจสรรสร้างทุกบทความ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์ และ ชอบนะคะ ʕっ•ᴥ•ʔっ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *