ปัจจุบันเวลาคนเป็นพ่อแม่คนอยากซื้อของเล่นให้ลูก ก็จะมีแนวโน้มไปซื้อของเล่นที่เสริมพัฒนาการเด็กหรือลูกรักให้เติบโตเก่งไม่แพ้ลูกของเพื่อน หรือลูกของดารา บล็อกเกอร์ที่เห็นตามโซเชียล จนเรื่องนี้กลายเป็นการแข่งขันไปแล้ว ยิ่งถ้าลูกเราตอบคำถามฉลาดๆ ไม่ได้ แต่ลูกเพื่อนในระดับวัยใกล้เคียงกันทำได้ นี่คือความปวดใจแท้ๆ ของคนเป็นพ่อแม่เลยละค่ะ และเพราะปัญหาการแข่งขันพัฒนาการลูกของพ่อแม่นี่แหละ ที่ทำให้แบรนด์ตุ๊กตาอย่าง Barbie มียอดขายตกลงมาติดต่อกันหลายปีแล้ว
แต่จะมาว่าปัญหาที่พ่อแม่อยากให้ลูกแข่งกันเก่งอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะนอกจากประเด็นนี้แล้ว ที่ผ่านมาแบรนด์บาร์บี้หรือ Mattel ยังถูกกระแสสังคมต่อว่าอย่างรุนแรงถึงเรื่องการโปรโมต Ideal Beauty แบบผิดๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาที่มีแต่ผิวขาว หรือหุ่นเด็กสาวที่ควรต้องผอม เอวเล็กถึงจะเรียกว่าสวย ทำให้สังคมและ NGO หลายองค์กรออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมากในวันนั้นค่ะ
อย่างไรก็ตามแม้ว่า Barbie จะมีการปรับสินค้าให้มีตุ๊กตาหลากหลายมากขึ้นทั้งสีผิว รูปร่างแล้ว แต่ก็ยังมาติดปัญหาตรงที่คนเป็นพ่อแม่ไม่อยากซื้อ เพราะตุ๊กตาบาร์บี้ไม่ได้ช่วยให้ลูกชั้นฉลาดขึ้นเลยนั่นเองค่ะ
เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาระดับโลกแบบนี้ Mattel กับเอเจนซี่ของเค้าก็เลยคิดหาทางออก แล้วจัดทำ Experiment ขึ้นมาชุดนึง ซึ่งการทดลองนี้เป็นการเรียนรู้ระบบการทำงานสมองของเด็กอายุระหว่าง 4-8 ขวบ เป็นระยะเวลา 18 เดือน จำนวน 33 คน โดยกลุ่มนึงเป็นเด็กที่เล่นตุ๊กตาบาร์บี้ และอีกกลุ่มนึงเป็นเด็กที่เล่น Tablets
VIDEO
ผลที่แบรนด์พบปรากฏว่าน่าสนใจมาก เพราะ Studies ทำให้เห็นถึงการทำงานของสมองที่มากขึ้นอย่าง Active ในส่วน Posterior Superior Temporal Sulcus หรือส่วนที่รับรองเรื่อง Empathy และ Social Processing ของระบบร่างกายมนุษย์ในเด็กที่เล่นตุ๊กตาบาร์บี้ทั้งแบบเล่นบาร์บี้คนเดียวและแบบเล่นกับเพื่อนๆ ในขณะที่เด็กที่เล่น Tablets นั้นสมองส่วน Empathy กับผู้อื่นจะหายไปเมื่อเล่น Tablets เพียงคนเดียว ต้องเล่น Tablet กับผู้อื่นเท่านั้นสมองส่วนนี้ถึงจะทำงานค่ะ
ทั้งนี้มันเกิดขึ้นเพราะการเล่นตุ๊กตาหรือ Barbie นั้น มันเหมือนการจำลองสถานกาณ์การเข้าอยู่ของสังคมให้เด็กแม้ว่าเด็กจะเล่นตุ๊กตาอยู่ลำพังก็ตาม ว่าเค้าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อมีคนอื่นๆ อยู่ด้วย เกรงใจคนอื่นบ้าง ฯลฯ จนเกิดเป็นจินตนาการที่ช่วยพัฒนาเสริมสร้าง Social Skills ในการเข้าสังคมในอนาคตของเด็กน้อยนั่นเองค่ะ
บอกเลยว่าเรื่องการเข้าสังคมเป็นอะไรที่คนยุคใหม่ต้องการมากขึ้น เพราะคนยุคใหม่ที่โตมาพร้อม Gadget หรือ Technology ต่างๆ ขนาดโอนเงินยังทำแค่ปลายนิ้ว คุยสื่อสารก็แค่พิมเอา จนขาด Social Skills ในการ Interact กับคนอื่นแบบ Face-to-Face ยิ่งในบ้านเราที่มีเรื่องของระดับอาวุโสด้วยแล้ว หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเด็กรุ่นใหม่ขาดมารยาท เก่ง แต่ไม่ถ่อมตัว ไม่เคารพผู้อื่น และขาดการประณีประนอม ทำให้สุงสิงและทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นกลุ่มไม่ได้ดีเท่าที่ควรค่ะ
ทั้งนี้เมื่อขาด Social Skills แล้ว สิ่งที่จะตามมาคือ Group Performance ที่ลดลง หลายครั้งคนอาจจะคิดว่า ไม่ต้องมี Social Skills ก็ได้ แต่จริงๆ แล้วมันสำคัญมาก เพราะมันคือความสามารถในการเข้าสังคม สื่อสาร พูดคุยทั้งหมด หากเก่งแต่ไม่สามารถถ่ายทอดได้ก็ถือว่าเก่งไม่พอ หรือเก่งแต่ไม่มีความเข้าใจในตัวบุคคลอื่นก็ถือว่าทนงตนมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นการทำงานเชิงฉายเดี่ยว ที่สุดท้ายอาจจะเป็น Burden หรือความลำบากในการทำงานในอนาคตด้วย เพราะงานหลายๆ อย่างไม่สามารถทำคนเดียวได้ และกระทบ Productivity ขององค์กรด้วยค่ะ
VIDEO
ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์ทำต่อมา คือการเอา Data ที่เค้าพบมาทำเป็น Video Content สั้น ที่ถ่ายทอดให้พ่อแม่เห็นถึงการเล่นแบบเข้าอกเข้าใจของเด็ก มากกว่าการพูดถึงในส่วนของพัฒนาการด้านสมองความฉลาดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่เล่นตุ๊กตาหน้าบ้านพร้อมกล่าวประโยคที่โชว์ Empathy หรือจะเป็นการแอบให้อาหารสัตว์เลี้ยงระหว่างเล่นตุ๊กตา รวมไปถึง Scene ที่มีเด็กผู้ชายเล่นบาร์บี้ หรือเด็กผู้หญิงที่เล่นบาร์บี้พิการ แล้วช่วยบาร์บี้ให้ขึ้น Lift ได้ เป็นต้น
ซึ่ง Mattel ก็บอกเลยค่ะว่า แคมเปญนี้ของเค้าคงไม่ Move ผู้ใหญ่ที่สนใจแต่ของเล่นแนว STEM หรือของเล่นที่ส่งเสริมด้าน Science / Technology / Engineering / Mathematics หรอก แต่ยังไงแบรนด์ก็จะยังทำแบบนี้ต่อไป เพราะมันคือการส่งเสริมให้เด็กเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็นในแบบของเด็กเองตาม Slogan ของแบรนด์เลย ซึ่งเอาจริงๆ ก็แอบมีจิกกัดเบาๆ เหมือนกันนะค่ะ
อ่านเรื่องราวการตลาดของ Mattel และ Barbie แล้วเป็นอย่างไรกันบ้างคะ ตอนแรกเพลินอ่านก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอเห็นถึงการทดลองของเค้าแล้ว บอกเลยว่าล้ำมากๆ เหมือนแบรนด์เข้าใจปัญหาที่ทำให้ยอดไม่โตขึ้นจริงๆ ถ้าพ่อแม่สนใจเรื่องพัฒนาการ ก็มา Experiment ดูซิ ว่าการเล่นตุ๊กตามันพัฒนาสมองส่วนไหนของเด็กมาก จะได้เอามาเคลมได้.. แบบนี้โดนใจมาก อย่างไรก็ตามอีกสิ่งนึงที่ขาดไม่ได้เลยคือการ Educate เรื่อง Social Skills ด้วย ว่าทำไมลูกน้อยของพ่อแม่ควรมี Empathy ร่วมไปกับการพัฒนาสมองในด้านอื่นๆ อย่าง STEM ค่ะ
เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงบาร์บี้ที่บ้านเหมือนกันค่ะ ตอนนี้ตั้งโชว์อยู่เฉยๆ ไม่ได้เอามาเล่นนานมาก พวกชุดสวยๆ กับเซ็ตน้ำชาก็ไม่รู้ว่าที่บ้านเอาไปบริจาคแล้วหรือยัง ไหนใครเป็นแฟนบาร์บี้เหมือนกันตอนเด็กๆ เพลินขอคนละ Comment ให้กับไอเดียแก้ปัญหาอันชาญฉลาดของ Mattel หน่อยนะคะ เพราะสุดท้ายแล้ว เค้าพลิกเกม มาทำรายได้เป็นบวกได้หลังจากการแก้ปัญหาทั้งเรื่อง Ideal Beauty และเรื่อง Social Skills เลยค่ะ
ส่วนนักการตลาดท่านไหนที่อ่านเคสแล้วอยากมียอดขายที่เพิ่มขึ้นบ้าง อย่าลืมไปหาและเข้าใจ Coreของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนนะคะ หลังจากนั้นก็ลองตั้งขอ Assumption ดูว่า เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร แต่บอกได้อย่างนึงว่า ถ้าแก้ได้เชิง Sciences แบบมี Proven Results ดังแบรนด์ Mattel ทำ ยังไงสังคมก็เชื่อค่ะ ลองดูนะคะ