Coty Inc. ธุรกิจความงามยักษ์ใหญ่ที่ร่วมกับบริษัทในเครือผู้ผลิตทำการตลาดจัดจำหน่ายและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามทั่วโลก โดยแบ่งดำเนินการในสามส่วนคือ 1.Luxury จะมีผลิตภัณฑ์น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางผ่านร้านค้าปลีกหลายแห่งรวมถึงน้ำหอมห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลอดภาษี 2. The Consumer Beauty โดยผ่านไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าระดับกลาง 3. Professional Beaty ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและเล็บสำหรับมืออาชีพโดยเฉพาะ
ซึ่งในวันนนี้เราจะมาเล่าถึงแบรนด์ใน The Consumer Beauty segment ที่มีชื่อว่า “COVERGIRL” เป็นผู้นำด้านเครื่องสำอางและผู้ริเริ่มที่นำความหลากหลายและการแสดงออกผ่านการแต่งหน้าด้วยคอนเซ็ปท์“ I Am What I Make Up” ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนยอมรับเอกลักษณ์ที่เฉพาะของพวกเขา โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Coty Inc. ใน The Consumer Beauty segment ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัท ด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีรายรับประมาณ 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง COVERGIRL ก่อตั้งเมื่อปี 1961
ซึ่งในปัจจุบันการแข่งขันไม่ได้มีแค่หน้าร้านอีกต่อไป เครื่องสำอางค์แบรนด์สัญชาติอเมริกานี้ก็กำลังขยายอาณาเขตด้วยการเพิ่มสาขาไปยังทั่วโลกผ่านการลงทุนจำนวนมากกับไลน์สินค้าด้วยการทดลองระบบแบบไฮเทคที่หน้าร้านเป็นอันดับแรก จึงได้มีการเปิดตัว “Experiential makeup playground” บนใจกลางเมืองอย่าง New York City’s Times square ซึ่งเอาใจแฟนๆเป็นอย่างดี
ร้านใจกลางเมืองแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางในการออกไลน์ผลิตใหม่ๆอีกด้วย อย่างเช่น ชุดเล่นกีฬา กระเป๋าถือ และแปรงแต่งหน้าและเครื่องสำอางค์ของ Covergirl BFFs จากการปั้นช่างแต่งหน้าจากแคมเปญ I Am What I Make Up หรือดูได้จากแฮชแท็ก #IAmWhatIMakeup
จากการให้สัมภษณ์กับ The drum ทางแบรนด์ได้กล่าวว่า “ถ้าคุณรู้ว่าลูกค้าของคุณคือใคร แล้วทำไมถึงซื้อ ซึ่งจะเห็นคำตอบออกมาเยอะมาก” “ดังนั้นถ้าหากว่าคุณสามารถให้ลูกค้าได้ลองรองพื้นที่ไม่สามารถลองได้ที่ไหนมาก่อน นั่นจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดมาก”
แต่อย่างไรก็ตามสาขา Times Square ไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นร้านค้าศูนย์กลางของลูกค้าที่เข้ามาทดลองสินค้าแค่นั้น แต่ยังจะเพิ่มเป็นแล็บของสำหรับแบรนด์ อีกด้วย ซึ่งทีมของ Ojo จะได้ทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ในต่างประเทศและยังสามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าตัวไหนได้รับความนิยมสูงสุดจากกลุ่มลูกค้า
โดย Ojo ยังบอกอีกว่าการทำรูปแบบนี้มีศักยภาพมากพอในการที่จะเข้าร่วมตลาดอื่นๆ นอกจากนี้เป็นการโปรโมทแคมเปญของร้านมากกว่าการลดค่าใช้จ่ายของร้านเสียอีก
“จริงๆแล้วเราเห็นว่าสาขานี้เหมาะสมกับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาร้านค้าแบบเดิมๆให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งตอนนี้เราสามารถขยายไปยังร้านพันธมิตรด้วย insight และพูดได้อย่างเต็มปากว่านี่คือผลิตภัณฑ์ที่ดีทำงานได้ดีเป็นพิเศษ หรือว่านี่เป็นการนำเทคโนโลยีบางตัวที่สามารถนำเข้ามาใช้ในร้านเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในการช้อปปิ้งได้ดียิ่งขึ้น” และ Ojo ได้กล่าวต่ออีกว่า “ฉันคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนไม่ใช่แค่แบรนด์แค่นั้นแต่ยังหมายถึงร้านค้าปลีกอื่นๆอีกด้วย”