หนึ่งในองค์ประกอบหลักของการ Go Online ก็คือ Touchpoint อย่างเว็บไซต์หรือเพจ E-commerce ใช่ไหมคะ ซึ่งนอกจากระบบที่ปลอดภัย มั่นใจได้แล้ว เรื่องของการทำ Landing page หน้าแรกหรือหน้าโฮมให้ดี เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นักการตลาดควรให้ความใส่ใจอย่างมาก เพราะหน้าแรกของเว็บไซต์เราที่ลูกค้าจะเข้ามาเจอ มันก็เหมือนกับหน้าร้านใน Offline เวลาที่ลูกค้าเปิดประตูเข้ามาเลยค่ะ
หลักๆ Landing Page หรือหน้าแรกก็เหมือนกับ First Impression ของลูกค้ากับแบรนด์ของเราบนออนไลน์ แม้หลายครั้งลูกค้าอาจจะไม่ได้เข้ามาที่หน้าแรกโดยตรง เพราะอาจจะเข้ามาจาก Product Page ชิ้นใดชิ้นนึง แต่สุดท้ายหน้าแรก มักจะต้องถูกเปิดขึ้นมาชมเสมอๆ กลับกันลูกค้าบางคนเข้ามาจากหน้าแรกผ่าน Search Engine หลังจากค้นหา Keywords บางอย่าง ดังนั้นการใส่ใจหน้าแรกของเว็บ เพื่อสร้าง Conversion หรือกระตุ้นให้เกิดการซื้อย่อมเป็นอะไรที่สำคัญพอๆ กับหน้า Product Page ค่ะ
แน่นอนว่าการดีไซน์หน้าแรกของเว็บไซต์ควรเริ่มจากการศึกษาความชอบของลูกค้าเราด้วย โดยความชอบในที่นี่ ไม่ได้เกี่ยวกับโทนสีอะไรแบบนั้นหรอกนะคะ แต่มันหมายถึงสิ่งที่กระตุ้นให้ลูกค้าของเราจัดสินใจซื้อของของเราต่างหาก ยิ่งแบรนด์ไหนที่มีลูกค้าอยู่แล้ว ตรงนี้ต้องเริ่มถามตัวเองหรือสอบถามพนักงานขายดูเพิ่มว่า ปกติจุด Trigger point ตรงไหนที่ทำให้ลูกค้าที่กำลังลังเลใจ (ว่าจะซื้อไม่ซื้อ) เปลี่ยนเป็นตกลงใจซื้อเลยทันทีบ้าง
แต่ถ้าหากคุณเป็นแบรนด์ใหม่ ไม่ได้มีลูกค้าในมือมากพอให้สังเกต จุดนี้อาจจะเริ่มจากการทำเว็บง่ายๆ พร้อมกับ Survey สั้นๆ ในหน้าแรก เพื่อลองใจลูกค้าว่าลูกค้าชอบอะไรของแบรนด์เรา สินค้าไหนดึงดูดคนได้มากที่สุด จากนั้นค่อยเอาผลของ Survey มาปรับปรุงหน้า Landing page ต่อไปนั่นเองค่ะ
นอกจากกลุ่มลูกค้าของเราแล้ว สิ่งที่นักการตลาดทำได้ต่อมาก็คือการทำ Research บนเว็บไซต์ของคู่แข่งหรือเว็บไซต์ไอดอลที่เราชอบ เราเห็นเว็บไหนแล้วรู้สึกประทับใจ อยากซื้อของของแบรนด์นั้นบ้าง? ไม่จำเป็นต้องเป็นเว็บคู่แข็งที่ขายของแบบเรา เว็บไหนก็ได้ที่เห็นแล้วอยากซื้อ เราก็ Note ลิสเอาไว้ เพื่อเก็บข้อดีเหล่านั้น ประกาศหรือรูป Offer แบบไหนที่เข้าใจง่าย? รูปแบบการจัดหน้าแรกยังไงที่เรารู้สึกว่ามันสะดวกในการหาข้อมูล? พวกนี้ให้ Note เอาไว้ให้หมดค่ะ
หลังจากที่เราเก็บข้อมูลและศึกษาหน้าตาหรือดีไซน์มาได้แล้ว ก็ให้ลองผนวกข้อมูลเหล่านั้นเข้ากับความคิดสร้างสรรค์หรือ Creative ของแบรนด์เราบ้าง ว่าเราจะโชว์ของของเรายังไง ทั้งนี้ลองมาดู 7 เทคนิคการทำ Landing Page จากทีม Visme กันค่ะ
1. อย่าลืมปุ่ม Call-to-action (CTA)
แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการสร้างหน้าแรกในวันนื้คือการเพิ่มโอกาสในการ Convert ลูกค้า ดังนั้นเรื่องของปุ่ม Call-to-Action หรือ CTA ย่อมขาดไม่ได้ ซึ่งปุ่มนี้อาศัยความคิดสร้างสรรค์ช่วยให้อัตราการกดปุ่มเพิ่มได้ อยากร้าน E-commerce ทั่วไปมักจะชอบให้ลูกค้ากดสั่งซื้อสินค้าเข้าตะกร้าก่อนตั้งแต่หน้าแรก แล้วพอถึงเวลา Checkout ก็จะชอบมีปุ่มว่าให้ Register หรือ Sign up เพื่อทำการ Checkout แต่รู้หรือไม่ว่าปุ่ม CTA ที่มีคำว่า Register เหล่านี้ทำให้ลูกค้าจำนวนมากหายไปแล้วAbandon Cart ทิ้งไว้แบบนั้น
อย่างไรก็ตามมี Case Study ของแบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์นึงในต่างประเทศ เค้าลองเปลี่ยนปุ่ม CTA ที่ใช้คำว่า Register now หรือ Sign up now เป็นปุ่มคำว่า ‘Next’ พร้อมกับการเลือกใช้ประโยคที่บอกว่า ‘ไม่มี Account ไม่มีปัญหา’ เท่านั้นก็ทำให้อัตราการกดปุ่ม Next เพิ่มขึ้น แล้วหั่นคำถามลงเป็น 3 หน้าสั้นๆ ทำเหมือนระบบ Register ทุกอย่างแต่ทำให้ดูง่ายขึ้น คนก็พร้อมจะกด Next ต่อไปจนซื้อของในที่สุดค่ะ
2.ใช้ภาพจริงเพื่อแสดงถึงความจริงใจ
แน่นอนว่าภาพ Infographics หรืออะไรต่างๆ ใช้ได้ เพียงแต่ยิ่งเราแบรนด์ใหม่มากๆ การที่เราใช้ภาพของแบรนด์เราถ่ายเอง มักจะทำให้ความรู้สึกของความจริงใจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้คนยังเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นด้วย เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนแบรนด์มีตัวตนอยู่จริง จับต้องได้ ยิ่งในส่วนของ Product Testimonials ที่ใช้คนรีวิว ก็ควรจะเป็นลูกค้าจริงๆ เช่นกัน เพื่อให้คนรู้ว่าแบรนด์เรามีลูกค้าใช้จริง ชอบจริง ไม่ได้สร้างภาพค่ะ
3. สร้าง Social proof ให้มากๆ
ข้อนึงที่เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดต้องเข้าใจคือ การที่คุณบอกแบบพูดเองเออเองว่ามีลูกค้าใช้สินค้าคุณเยอะแยะ หรือสินค้าตัวนี้ขายดีจนเป็น Best Seller นั้น ไม่ได้ช่วยให้ความน่าเชื่อถือของแบรนด์คุณเพิ่มขึ้นเลย ไม่ว่าจะคุณจะขายไป 1 หรือ 2 ล้านกล่องแล้ว อันนั้นเรื่องของคุณมากๆ ในสายตาคนนอกที่ยังไม่ใช่ลูกค้าคุณ ดังนั้นหากคุณมีลูกค้าจริง หาทางทำให้ลูกค้าเหล่านั้นออกมาพูดให้ได้มากที่สุดดีกว่าว่าเค้าใช้สินค้าคุณจริงแล้วมันน่าประทับใจมากแค่ไหนค่ะ
4. อย่าปล่อยให้มีข้อผิดพลาดบน Landing page
อย่างที่บอกว่าหน้าแรกหรือหน้าโฮมเพจก็เหมือนหน้าร้าน ดังนั้นอย่าปล่อยให้มีข้อผิดพลาดอย่างคำสะกดผิด ภาพตัดต่อแบบโป๊ะๆ ขึ้นหน้าแรก เพราะนอกจาก First Impression ของลูกค้าจะไม่ดีแล้ว ยังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของทั้งแบรนด์ลงมาด้วยค่ะ
5. ใช้ภาษาที่คนเข้าถึงได้ทุกคน
หลายครั้งคนทำ Design หรือกลุ่ม Creative มันจะมีไอเดียสร้างสรรค์ที่ทำให้ประโยคธรรมดาดูไม่ธรรมดาขึ้นมาได้ แต่บางทีประโยคที่ใช้คำฟุ่มเฟือยหรือเก๋จนเกินไปอาจเข้าถึงได้เฉพาะแค่บางกลุ่มลูกค้าเท่านั้น โดยเฉพาะภาษาไทยที่มีลูกเล่นเยอะมาก ไหนจะศัพท์วัยรุ่น ศัพท์กระเทยที่เป็นที่นิยมมากมายจนหลายครั้งนักการตลาดหยิบยืมไปใช้แต่งประโยคหวังเกาะกระแสกลายเป็นประโยคที่ต้องอ่านสัก 2-3 รอบถึงเข้าใจ
อย่างไรก็ตามข้อนี้ต้องบอกว่า มันก็ขึ้นอยู่กับกลุ่ม Target Audience ของแบรนด์เราด้วย ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราค่อนข้างชัดเจน แน่นอนว่าการใช้ศัพท์ Jargon หรือศัพท์เทคนิคนิดหน่อยบน Landing Page ย่อมเป็นไปได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคือการใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่ายและเข้าถึงทุกคนดีกว่า เพราะคนที่เข้าหน้า Homepage มักเป็นคนที่เป็น First Time Customer ค่ะ
6. Test ดีไซน์และรู้จักปรับแก้
ข้อนึงที่น่าสนใจคือการสร้าง Homepage มากกว่า 1 ดีไซน์ ทั้งนี้ก็เพื่อทำ A/B Testing ว่าหน้าแรกเว็บไซต์แบบไหนที่ Convert ลูกค้าได้มากกว่า เช่น Design A อาจจะเอา Slideshow ขึ้นบนสุด ส่วน Design B อาจจะใช้เป็นหนังสั้นโปรโมตขึ้นบนสุด เป็นต้น หลังจากที่เราลอง Run หน้าโฮมเพจไปได้สักพัก ก็เริ่มมาวัดผล อาจจะในระยะน้อยสุดสัก 3 เดือน แล้วคอยปรับแก้ไขอยู่เสมอนั่นเองค่ะ
7. อย่ากลัวที่จะต้องลงทุนเปลี่ยนโฉมเว็บไซต์บ้าง
เพลินเข้าใจว่างานเว็บไซต์ถ้าเราไม่ได้มีความรู้ เราก็ต้องไปจ้างทีมข้างนอกหรือ Outsource ไปให้คนอื่นทำให้ ซึ่งอาจจะมีเรื่องงบบานปลายเข้ามาทำให้กังวล แต่เพลินจะบอกว่าอย่ากลัวที่จะลงทุนบ้าง ลองคิดดูว่าปี 2016 หน้าตาเว็บไซต์คุณเป็นยังไง ปี 2021 หน้าตาเว็บก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ ขนาดคุณเป็นเจ้าของเว็บไม่ได้เข้าเว็บตัวเองทุกวันยังเบื่อเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นลูกค้าก็คงเหมือนกัน ทิ้งเวลาไว้สักพัก เราอาจจะมีการขยับโครง Structure หรือเปลี่ยนอะไรบนหน้าแรกบ้างให้ตื่นตาตื่นใจบ้าง แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ
ทั้งหมดนี้ก็คือ 7 เทคนิคในการสร้างหน้า Landing Page ของเว็บไซต์ที่จะช่วยให้เกิด Conversion เพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตามอย่างที่เพลินเกริ่นไปตอนต้นว่า ลูกค้าอาจจะเข้ามาจาก Search Engine > Homepage หรือจากเว็บอื่นๆ > Product Page เลยก็ได้ ดังนั้นอีกหน้าที่ต้องใส่ใจคือหน้าสินค้าต่างๆ ที่ให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่าย Add to cart ได้เลยไม่วุ่นวาย มีระบบ Payment ที่ตรงใจลูกค้ารองรับด้วย ฉะนั้นปัจจัยในการสร้าง Conversion จะไม่ได้อิงอยู่แต่กับหน้าแรกอย่างเดียว เพียงแต่หน้าแรกมันคือFirst Impression ที่ดี ที่ทุกแบรนด์และทุกธุรกิจไม่ควรพลาดที่จะใส่ใจมันค่ะ ลองดูนะคะ
บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ: E-commerce Trends & Insight 2021 ที่ควรนำไปปรับใช้
Reference: visme.co