Marketing Management Product Classification

Marketing Management 101 ทำกลยุทธ์การตลาดตาม Product Classification

ในซีรีย์ Marketing Management 101 ที่ผ่านมา เราได้พูดถึง Five Product Levels กันไปแล้ว บทความนี้ผมจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกับแนวคิด Product Classification ซึ่งเป็นการแบ่งประเภทของผลิตภัณฑ์ตามลักษณะต่าง ๆ เช่น ประเภทของผลิตภัณฑ์ (Goods vs Services) หรือ วัตถุประสงค์ในการซื้อ (Consumer Products vs Industrial Goods) เพื่อให้เราเห็นภาพรวม ว่าสินค้าหรือบริการของเราควรวางตำแหน่งทางการตลาดอย่างไร จัดสรรทรัพยากรแบบไหน และสามารถสื่อสาร Value ของ Product กับลูกค้าได้อย่างตรงจุดมากขึ้นครับ

Product Classification คือ การแบ่งประเภทของผลิตภัณฑ์เพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติและบทบาทของสินค้าหรือบริการแต่ละแบบในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าครับ ซึ่งมีเป้าหมายหลัก ๆ คือ

  1. ทำความเข้าใจลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อ
  2. วางกลยุทธ์การตลาดได้แม่นยำ
  3. ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการ
  4. บริหารจัดการทรัพยากรได้คุ้มค่า

การแบ่งประเภทนี้จึงเป็นเหมือน “แผนที่” ช่วยให้เรารู้ว่าควรจะทำการตลาดแบบไหน เลือกกลยุทธ์การตั้งราคาอย่างไร และวางสินค้าไว้ที่ช่องทางใดเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพครับ

ประโยชน์ของการเข้าใจ Product Classification

การจำแนกประเภทผลิตภัณฑ์เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้นครับ สินค้าในกลุ่มต่าง ๆ เช่น Convenience Product ที่ตัดสินใจซื้อง่ายและเร็ว หรือ Specialty Product ที่ลูกค้ามักให้ความใส่ใจกับรายละเอียดอย่างสูง เช่น รถยนต์หรู นาฬิกาแบรนด์เนม ต่างก็มีแนวทางในการดึงดูดลูกค้าที่แตกต่างกันครับ ขณะเดียวกัน Unsought Product อย่างประกันชีวิตซึ่งลูกค้าไม่ได้ตั้งใจจะซื้อในทันที ก็จำเป็นต้องอาศัยการตลาดเชิงรุกเพื่อกระตุ้นความต้องการ การแบ่งสินค้าตามลักษณะพฤติกรรมนี้จึงทำให้นักการตลาดสามารถออกแบบแคมเปญหรือข้อความสื่อสารได้ตรงจุดและตรงกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

เมื่อเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในหมวดหมู่ใด นักการตลาดจะสามารถกำหนดกลยุทธ์ได้อย่างมีหลักการและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นครับ ตั้งแต่การตั้งราคาที่สินค้าอุตสาหกรรมสามารถต่อรองได้ ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคมักต้องการราคาแบบตายตัว ไปจนถึง Distribution ซึ่งอาจแตกต่างกันระหว่างสินค้าประเภท Convenience Product ที่ต้องวางในหลายจุดเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวก กับ Specialty Product ที่อาจเหมาะกับการจัดจำหน่ายในร้านค้าเฉพาะทางเพื่อรักษาภาพลักษณ์สุดพรีเมียมครับ

Marketing Management Product Classification

การเข้าใจว่าเราขายสินค้าหรือบริการประเภทใดจะส่งผลอย่างมากต่อแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครับ หากเป็น Durable Goods ที่ลูกค้าคาดหวังให้ใช้งานได้ยาวนาน การให้ความสำคัญกับคุณภาพและความทนทานคือปัจจัยหลักในการสร้างความเชื่อมั่นครับ ในขณะที่ Non-Durable Goods ที่มุ่งการใช้งานอย่างสะดวกและรวดเร็วในระยะสั้น ก็ควรเน้นจุดขายเรื่องความคุ้มค่า การพัฒนาสินค้าจึงต้องตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง

Marketing Management Product Classification

การแบ่งประเภทผลิตภัณฑ์ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดสรรงบประมาณ บุคลากร และเวลาได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น สินค้าในกลุ่ม Industrial Goods อาจต้องลงทุนในการฝึกอบรมทีมขายที่มีทักษะการเจรจาต่อรองสูง และเตรียมระบบซัพพลายเชนที่รองรับการซื้อขายขนาดใหญ่หรือแบบสัญญาระยะยาว ขณะที่สินค้าในกลุ่ม Consumer Products ควรเน้นความพร้อมในช่องทางการจัดจำหน่าย ระบบการจัดการสต็อก และการวางแผนโฆษณาให้ครอบคลุม การให้ความสำคัญกับประเภทของสินค้าอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจและสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

มาดู 2 เกณฑ์ในการ Classification Product กันดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง และเมื่อเรา Classification Product ควรใช้กลยุทธ์อะไรดี

1. Goods vs Services

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Goods สินค้าที่จับต้องได้ กับ Services บริการที่จับต้องไม่ได้ ช่วยให้นักการตลาดออกแบบประสบการณ์ลูกค้าได้ตรงเป้ามากขึ้น โดยมีหลักการในการแยกระหว่าง Goods vs Services ดังนี้ครับ

Goods – สินค้า

  • มีตัวตน จับต้องได้
  • ผลิตและบริโภคแยกจากกัน
  • สามารถตรวจสอบคุณภาพก่อนซื้อได้
  • ตัวอย่าง: โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า รถยนต์

Services – บริการ

  • ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้
  • ผลิตและบริโภคเกิดขึ้นพร้อมกัน (เรียลไทม์)
  • ไม่สามารถเก็บรักษาได้ (Perishable)
  • ต้องพึ่งพาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับผู้ให้บริการ
  • ตัวอย่าง: การตัดผม, การขนส่งผู้โดยสาร, ที่ปรึกษาด้านธุรกิจ

2. Buyer and Purchase Purpose: Consumer Products vs Industrial Products

อีกมุมหนึ่งของการแบ่งประเภทสินค้าคือ วัตถุประสงค์ในการซื้อ ซึ่งแบ่งสินค้าหลัก ๆ ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ครับ คือ

  • Consumer Products: สำหรับการบริโภคส่วนบุคคล
  • Industrial Products: สำหรับการผลิต การดำเนินธุรกิจ หรือการบริหารองค์กร

การทำความเข้าใจ Consumer Products เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในชีวิตประจำวันครับ โดยสินค้าประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานส่วนตัวและตอบสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยตรง สินค้าอุปโภคบริโภคสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการใช้งาน ความถี่ในการซื้อ และระดับการตัดสินใจของผู้บริโภค ซึ่งสามารถจัดแบ่งเป็น 4 ประเภทหลักครับ

สินค้าประเภทนี้คือ “ง่ายและเร็ว” เนื่องจากลูกค้าตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดหรือเปรียบเทียบมากนัก มักมีราคาไม่สูงและหาซื้อได้ทั่วไปในหลากหลายสถานที่ ความสะดวกนี้ทำให้ผู้บริโภคสามารถหยิบจับได้ทันทีตามต้องการทันที ซึ่ง Convenience Products สามารถแบ่งได้ออกไปอีก 3 ประเภทย่อยดังนี้ครับ

Marketing Management Product Classification

เป็นสินค้าที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวสาร นม น้ำดื่ม ซึ่งลูกค้าจะซื้อตุนไว้เพื่อใช้อย่างต่อเนื่อง ลองมาดูกลยุทธ์พื้นฐานกันดีกว่าครับว่าโดยส่วนใหญ่สินค้าประเภทนี้ใช้กลยุทธ์อะไร

  • Product: คุณภาพที่สม่ำเสมอ สินค้าจำเป็นต้องมีคุณภาพคงที่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว เช่น น้ำดื่มที่สะอาด ข้าวสารที่เก็บได้นาน นอกจากนี้ควรพัฒนา Packaging เพื่อเพิ่มตัวเลือกขนาดที่หลากหลาย เช่น ขนาดเล็กสำหรับผู้บริโภคทั่วไป หรือขนาดใหญ่สำหรับลูกค้าที่ซื้อตุนครับ
  • Price: ราคาที่เข้าถึงได้ สินค้าประเภทนี้ต้องตั้งราคาที่เหมาะสมและแข่งขันได้ เพราะลูกค้าจะคำนึงถึงความคุ้มค่าในการซื้อซ้ำครับ
  • Place: ใช้กลยุทธ์กระจายสินค้าอย่างกว้างขวาง โดยวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าทั่วไป เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย 
  • Promotion ใช้โฆษณาที่เน้นความจำเป็น สื่อสารว่าผลิตภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เช่น “ดื่มน้ำสะอาดทุกวันเพื่อสุขภาพที่ดี” และใช้การแจกตัวอย่างสินค้า เช่น แจกนมกล่องหรือถุงข้าวเล็ก ๆ เพื่อให้ลูกค้าลองใช้ก่อนตัดสินใจซื้อตุนครับ

เป็นสินค้าที่ลูกค้าไม่ได้วางแผนมาก่อน แต่ตัดสินใจซื้อทันทีเมื่อเห็นหรือถูกกระตุ้น เช่น ขนมขบเคี้ยว ลูกอม ถ่านไฟฉาย 

  • Product: ดีไซน์ดึงดูดสายตา โดยเฉพาะ Packaging ต้องโดดเด่นและชัดเจนสามารถกระตุ้นคนให้สนใจได้ 
  • Price: ราคาที่ไม่สูงมากทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่าย เช่น ราคาเริ่มต้นที่ 5-20 บาท
  • Place : วางสินค้าในจุดที่มองเห็นง่าย โดยเฉพาะบรอเวณใกล้แคชเชียร์หรือในชั้นที่ระดับสายตา
  • Promotion: โปรโมชั่นที่กระตุ้นการซื้อตอนนั้น เช่น ส่วนลดพิเศษเมื่อซื้อ 3 ชิ้น

สินค้าที่ต้องซื้อใช้แบบฉุกเฉินหรือเร่งด่วน เช่น ร่มเมื่อฝนตก ยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวดกะทันหัน

  • Product: คุณภาพและความพร้อมใช้งาน สินค้าต้องใช้งานได้ทันที เช่น ร่มที่เปิดง่าย หรือยาที่เห็นผลเร็ว
  • Price: ควรตั้งราคาที่สมเหตุสมผล แม้ลูกค้าอาจยอมจ่ายสูงในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ราคาควรอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
  • Place: เข้าถึงง่าย เช่น มีจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ จุดพักรถ หรือร้านขายยา
  • Promotion: สื่อสารเน้นความจำเป็น โฆษณาที่เน้นสถานการณ์เร่งด่วน เช่น “พร้อมทุกเวลาในวันที่ฝนตก” และวางสินค้าในจุดเด่นหาง่าย เช่น วางร่มหน้าร้านในวันที่ฝนตก

การเข้าใจว่าสินค้า Convenience Products ของเราจัดอยู่ในหมวดหมู่ย่อยใดจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการตลาด การกระจายสินค้า และการตั้งราคาได้ตรงกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

สินค้าในกลุ่มนี้มีราคาสูงกว่า Convenience Products และลูกค้าจะให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบทั้งราคา คุณภาพ และดีไซน์ก่อนตัดสินใจซื้อ จึงต้องใช้เวลาและความพยายามในการค้นหาข้อมูลมากกว่าเดิม โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยดังนี้

สินค้าที่ลูกค้ามองว่ามีคุณภาพไม่ต่างกันมาก แต่จะเลือกซื้อโดยอิงราคาเป็นหลัก เช่น คอนโดที่ลูกค้าจะเปรียบเทียบค่าส่วนกลางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจ

Marketing Management Product Classification

กลยุทธ์ทางการตลาดควรมุ่งเน้นการสร้างความคุ้มค่าผ่านราคาที่แข่งขันได้ เช่น การเสนอโปรโมชั่นลดราคาหรือเงื่อนไขพิเศษในการผ่อนชำระ โดยสินค้าต้องมีคุณภาพคงที่และตอบโจทย์ลูกค้าในด้านการใช้งาน พร้อมขยายช่องทางการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายและแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น การส่งเสริมการตลาดควรชูจุดเด่นเรื่องความคุ้มค่าครับ เช่น ค่าใช้จ่ายระยะยาวที่ต่ำกว่า พร้อมสร้างโฆษณาที่แสดงการเปรียบเทียบราคาอย่างชัดเจน

สินค้าที่ลูกค้าให้ความสำคัญกับคุณสมบัติและดีไซน์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ หรือตู้เย็น ซึ่งผู้บริโภคจะเปรียบเทียบแบรนด์ ฟังก์ชัน การออกแบบ และความน่าเชื่อถือประกอบกันครับ

Marketing Management Product Classification

เน้นพัฒนาสินค้าที่มีจุดเด่นเฉพาะตัว ทั้งในด้านฟังก์ชันพิเศษและดีไซน์ที่แตกต่าง การตั้งราคาควรสะท้อนถึงคุณค่าของสินค้า เช่น ราคาที่สูงขึ้นเพราะมีคุณสมบัติที่ดีกว่า รวมถึงจัดจำหน่ายผ่านช่องทางที่เน้นสร้างประสบการณ์ เช่น โชว์รูมหรือเว็บไซต์เฉพาะกลุ่ม การโปรโมตควรเน้นการสื่อสารผ่านเรื่องราวหรือรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและกระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าในกลุ่มลูกค้าที่มองหาความแตกต่างและเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ดังนั้นนักการตลาดควรให้ข้อมูลสินค้าอย่างครอบคลุม รวมถึงสร้างประสบการณ์ในการเลือกซื้อที่มีจุดขายโดดเด่น เพื่อให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบคุณค่าของสินค้ากับราคาที่ต้องจ่ายได้อย่างมั่นใจครับ

สินค้าประเภทนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงและมักเกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือชื่อเสียงที่ทำให้ลูกค้า “ต้องการ” หรือ “อยากครอบครอง” โดยยินดีจ่ายในราคาสูงและไม่สนใจสินค้าอื่นทดแทนครับ ลูกค้าจะให้เวลาและความพยายามอย่างมากในการค้นหาและซื้อสินค้าเหล่านี้ เช่น นาฬิกาหรู รถยนต์แบรนด์หรู เพชร หรือแม้กระทั่งสินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจงระดับสูง อาจไม่แพงมากแต่มีชื่อเสียงเฉพาะด้านครับ เช่ย เครปป้าเฉื่อย

การวางกลยุทธ์การตลาดสำหรับ Specialty Products จึงควรเน้นเรื่อง “ความหรูหรา” และ “คุณภาพ” ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์เอง ช่องทางจำหน่าย เช่น ร้าน Exclusive หรือช่องทางออนไลน์สำหรับลูกค้าระดับพรีเมียม) และการสื่อสารแบรนด์ที่ตอกย้ำถึงความพิเศษที่ไม่มีคู่แข่งทดแทนได้

สินค้ากลุ่มนี้คือสินค้าที่ลูกค้าไม่รู้จักหรือไม่ได้ตระหนักว่าตนเองมีความต้องการ จนกว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องซื้อ เช่น ประกันชีวิต พินัยกรรม หรือบริการจัดงานศพ สินค้าประเภทนี้มักต้องการ Aggressive Marketing สูงมาก เนื่องจากลูกค้าอาจยังไม่เห็นความจำเป็นหรือประโยชน์จนกว่าจะมีเหตุให้ต้องรีบตัดสินใจครับ

Marketing Management Product Classification

ในกลุ่ม Unsought Products จำเป็นต้องใช้การกระตุ้นผ่านการโฆษณา การขายตรง หรือการให้ข้อมูลเชิงลึกที่ทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยงและความคุ้มค่า เพื่อตัดสินใจซื้อก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

Industrial Products

การทำความเข้าใจ Industrial Goods หรือสินค้าอุตสาหกรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้วัสดุและอุปกรณ์เพื่อการผลิต หรือการบริหารจัดการองค์กรในด้านต่าง ๆ โดยสินค้าประเภทนี้มีความหลากหลาย ตั้งแต่วัตถุดิบที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าสำเร็จรูป ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องจักรและบริการที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในระยะยาว ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้

เป็นกลุ่มสินค้าที่เข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์สุดท้าย (Final Product) ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการผลิต ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบเริ่มต้นจนถึงชิ้นส่วนสำเร็จรูปที่สามารถประกอบเข้ากับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้โดยตรง

วัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติหรือการเกษตร ที่ผ่านการแปรรูปเบื้องต้นเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ได้แปรรูปเลย แบ่งเป็น 2 ประเภท

  • Farm Products: วัตถุดิบที่ได้จากการเกษตร เช่น ข้าวสาลี ยางพารา ผักและผลไม้
  • Natural Products: วัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติและอาจผ่านกระบวนการเบื้องต้นบ้าง เช่น การสกัด การแยกสาร เช่น น้ำมันดิบ ถ่านหิน โลหะ ที่สามารถนำไปแปรรูปต่อในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พลังงาน เคมีภัณฑ์ หรือเหล็กกล้า
Marketing Management Product Classification

สำหรับธุรกิจ Raw Materials การตลาดควรมุ่งเน้นที่การสร้างความน่าเชื่อถือในคุณภาพสินค้า เช่น การรับรองมาตรฐาน (ISO, GMP) พร้อมกับการเสนอความคุ้มค่าผ่านกลยุทธ์ราคาที่แข่งขันได้และเงื่อนไขการซื้อที่ยืดหยุ่นครับ นอกจากนี้การให้บริการหลังการขาย เช่น การให้คำปรึกษาด้านการใช้วัตถุดิบ และการปรับตัวตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว รวมถึงการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพตลอดห่วงโซ่อุปทานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษามาตรฐานและความพึงพอใจของลูกค้า โดยควรพัฒนาความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์เพื่อให้มั่นใจในความต่อเนื่องของการจัดหาวัตถุดิบครับ

ส่วนประกอบสำเร็จรูปหรือวัสดุที่พร้อมเข้าสู่กระบวนการผลิตต่อได้ทันที บางครั้งเป็นชิ้นส่วนที่สามารถนำไปประกอบเป็นสินค้าใหญ่ขึ้น หรือวัสดุที่ต้องการการแปรรูปอีกขั้น แบ่งเป็น 2 ประเภท

  • ประเภทของชิ้นส่วนและวัสดุ: ชิ้นส่วนที่ผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถติดตั้งหรือประกอบในผลิตภัณฑ์ได้ทันที เช่น ยางรถยนต์ มอเตอร์ หน้าต่างบ้านสำเร็จรูป
  • Component Materials : วัสดุที่อยู่ในรูปพร้อมใช้งาน แต่ยังต้องการการขึ้นรูปหรือปรับเพิ่มเติมในกระบวนการผลิต เช่น พลาสติก เหล็กกล้า ที่จะถูกขึ้นรูปหรือเชื่อมเข้ากับชิ้นส่วนอื่น ๆ

สำหรับ Component Parts and Materials กลยุทธ์สำคัญคือการมุ่งเน้นคุณภาพและความสม่ำเสมอของชิ้นส่วนที่ส่งมอบ เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำไปประกอบหรือผลิตต่อได้ทันทีครับ การตั้งราคาที่แข่งขันได้และให้ส่วนลดสำหรับการซื้อจำนวนมากช่วยจูงใจลูกค้าธุรกิจ การบริการที่รวดเร็ว เช่น การจัดส่งตรงเวลา และการสต็อกสินค้าพร้อมใช้ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ธุรกิจได้ครับ นอกจากนี้ยังควรพัฒนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว

เป็นกลุ่มสินค้าที่ธุรกิจลงทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในระยะยาว มักมีมูลค่าสูงและมีอายุการใช้งานนาน เช่น อาคารเครื่องจักร หรืออุปกรณ์โรงงาน

สินค้าทุนที่ใช้งานในระยะยาว มีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในการผลิตหรือการบริหารจัดการ เช่น อาคารโรงงาน ระบบเครื่องจักรขนาดใหญ่ เช่น อาคารโรงงาน ระบบเครื่องจักร เครื่องปั่นไฟ ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูง ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนในระยะยาว และประสิทธิภาพในการผลิตที่จะได้รับ

Marketing Management Product Classification

Installations ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนที่มีมูลค่าสูงและใช้งานระยะยาวครับ กลยุทธ์การตลาดควรมุ่งเน้นการนำเสนอความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น ประสิทธิภาพในการผลิตและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) การรับรองมาตรฐานคุณภาพและการสาธิตสินค้าจริงเพื่อแสดงความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญครับ

ควรมีบริการติดตั้งและบำรุงรักษาแบบครบวงจรเพื่อเสริมความมั่นใจให้ลูกค้า การบริหารจัดการควรมุ่งเน้นการวางแผนและจัดหาเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวเพื่อสนับสนุนบริการหลังการขาย เช่น การอัปเกรดหรือซ่อมแซมระบบตามความต้องการในอนาคต

อุปกรณ์ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของธุรกิจ มีอายุการใช้งานปานกลางถึงระยะยาว แต่ไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือมูลค่าสูงเท่า Installations เช่น รถโฟล์คลิฟท์ คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ในโรงงาน โดยสินค้าเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การจัดการคลังสินค้า หรือด้านอื่น ๆ ขององค์กร

Marketing Management Product Classification

ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่มีมูลค่าปานกลาง ไม่สูงมากและช่วยสนับสนุนการทำงานในธุรกิจครับ กลยุทธ์การตลาดควรมุ่งเน้นการนำเสนอคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน เช่น ความทนทาน การใช้งานง่าย และการดูแลรักษาที่สะดวกครับ นอกากนี้การสาธิตหรือทดลองใช้งานอุปกรณ์จะช่วยให้ลูกค้าเห็นคุณค่าที่แท้จริงของสินค้า ด้านการบริหารจัดการควรเน้นการจัดส่งที่รวดเร็วและบริการหลังการขาย เช่น การบำรุงรักษาและการซ่อมแซม เพื่อสร้างความมั่นใจในความพร้อมใช้งานและอายุการใช้งานที่ยาวนานครับ

เป็นวัสดุสิ้นเปลืองที่ไม่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์สุดท้าย แต่ใช้ในกระบวนการทำงาน การบำรุงรักษา และการบริหารจัดการทั่วไปในองค์กร แบ่งป็น 3 ประเภทครับ

สิ่งของที่ใช้เพื่อดูแลรักษาอุปกรณ์และสถานที่ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เช่น น้ำมันหล่อลื่น สารทำความสะอาด น้ำยาป้องกันสนิม สำหรับ Maintenance Supplies กลยุทธ์การตลาดควรมุ่งเน้นการเน้นย้ำถึงคุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าในการใช้งานระยะยาว

การให้คำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้อง รวมถึงการเสนอบริการจัดส่งที่รวดเร็วและต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของลูกค้า การสร้างโปรโมชันราคาสำหรับการซื้อจำนวนมาก หรือการสมัครสมาชิกสำหรับการจัดส่งอัตโนมัติสามารถเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าได้ครับ

วัสดุหรืออะไหล่ที่ใช้ในการซ่อมแซมเครื่องจักรหรืออุปกรณ์เมื่อเกิดการชำรุด เช่น อะไหล่เครื่องจักร เครื่องมือช่าง น้ำยาเชื่อม ควรมุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าที่มีความทนทานและคุณภาพสูง รวมถึงการจัดหาชิ้นส่วนที่เข้ากันได้กับอุปกรณ์หลากหลายรุ่น การให้บริการคำปรึกษาหรือคู่มือการซ่อมแซมฟรีจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับธุรกิจครับ ด้านการบริหารจัดการควรมีระบบจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ รวมถึงการสร้างคลังสินค้าที่กระจายตัวในจุดยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถจัดส่งได้รวดเร็วและลดระยะเวลาการหยุดชะงักของกระบวนการผลิตของลูกค้าครับ

Marketing Management Product Classification

วัสดุสิ้นเปลืองในสำนักงานหรือการดำเนินงาน ที่อาจไม่เกี่ยวกับการผลิตโดยตรงแต่จำเป็นต่อธุรกิจ เช่น กระดาษ ปากกา น้ำดื่ม ซองเอกสาร ควรมุ่งเน้นการนำเสนอความสะดวกสบายและราคาที่แข่งขันได้ เช่น การจัดแพ็กเกจสำหรับสำนักงาน การสมัครสมาชิกจัดส่งประจำเดือน หรือส่วนลดสำหรับการซื้อจำนวนมาก ควรมีตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดต่าง ๆ ครับ

บริการที่ธุรกิจจัดหาเพื่อสนับสนุนการผลิตและการดำเนินงาน ทั้งด้านการบำรุงรักษา และด้านที่ปรึกษาในการแก้ปัญหา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานแบ่งเป็น 2 ประเภท

Marketing Management Product Classification

บริการที่ทำให้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ขององค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน เช่น บริการบำรุงรักษาเครื่องจักร การทำความสะอาดโรงงาน การตรวจสอบระบบไฟฟ้า การตลาดเน้นการแสดงคุณค่าผ่านบริการที่เชื่อถือได้ เช่น Preventive Maintenance และ Proactive Maintenance การให้บริการตามสัญญารายปีที่มาพร้อมข้อเสนอส่วนลดหรือการตรวจสอบฟรีช่วยเพิ่มความจูงใจได้ครับ นอกจากนี้การให้บริการเร่งด่วนหรือการรับประกันคุณภาพการซ่อมแซมสามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้อีกด้วย

บริการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนหรือปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ผ่านผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ที่ปรึกษาด้านการเงิน หรือด้านภาษี การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การออกแบบระบบโลจิสติกส์ กลยุทธ์การตลาดควรมุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการแสดงผลงานที่ผ่านมา หรือรีวิวจากลูกค้า และนำเสนอความเชี่ยวชาญของทีมที่ปรึกษา เช่น ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน การผลิต หรือโลจิสติกส์ครับ

Source: Kotler, P., & Keller, K. L. (2016). Marketing Management (16th ed.). Pearson Education.

Marketing Management Product Classification
(AI-Generated Image by Shutterstock Prompt: a cinematic photograph of various products, including snacks, drinks, and handyman tools, scattered randomly on a wooden floor, realistic textures with soft natural lighting, immersive and detailed.)

Product Classification จาก Marketing Management คือกระบวนการแบ่งประเภทของผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าใจลักษณะและบทบาทของสินค้าในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยช่วยให้นักการตลาดสามารถวางกลยุทธ์ที่เหมาะสม เช่น การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ การจัดสรรทรัพยากร และการสื่อสารคุณค่าของสินค้ากับลูกค้าได้อย่างแม่นยำครับ

สินค้าเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานส่วนบุคคล ตอบสนองความต้องการรายวันของผู้บริโภค แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก

1.1 Convenience Products – สินค้าสะดวกซื้อ

  • Staples: สินค้าจำเป็น เช่น ข้าวสาร น้ำดื่ม
  • Impulse Products: สินค้าซื้อเพราะอยากได้ทันที เช่น ขนม ลูกอม
  • Emergency Products: สินค้าซื้อเพราะจำเป็นเร่งด่วน เช่น ร่ม ยาแก้ปวด

1.2 Shopping Products – สินค้าที่ลูกค้าเปรียบเทียบก่อนซื้อ

  • Price-based: เน้นเปรียบเทียบราคา เช่น คอนโด
  • Attribute-based: เน้นเปรียบเทียบคุณสมบัติ เช่น ตู้เย็น เสื้อผ้า

1.3 Specialty Products – สินค้าพิเศษที่ลูกค้าอยากครอบครอง

  • ตัวอย่าง: นาฬิกาหรู รถยนต์แบรนด์พรีเมียม

1.4 Unsought Products – สินค้าที่ลูกค้าไม่รู้ว่าต้องการ

  • ตัวอย่าง: ประกันชีวิต พินัยกรรม

สินค้าเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก

2.1 Materials and Parts – วัสดุและชิ้นส่วน

  • Raw Materials: วัตถุดิบ เช่น น้ำมันดิบ ยางพารา
  • Component Parts and Materials: ชิ้นส่วนสำเร็จรูป เช่น ยางรถยนต์

2.2 Capital Items – สินค้าทุน

  • Installations: สินค้าขนาดใหญ่ เช่น อาคารโรงงาน เครื่องจักร
  • Equipment: อุปกรณ์สนับสนุน เช่น รถโฟล์คลิฟท์ คอมพิวเตอร์

2.3 Supplies – วัสดุสิ้นเปลือง

  • Maintenance: วัสดุบำรุงรักษา เช่น น้ำมันหล่อลื่น
  • Repair: วัสดุซ่อมแซม เช่น อะไหล่เครื่องจักร
  • Operations: วัสดุสำนักงาน เช่น กระดาษ ปากกา

2.4 Services – บริการสนับสนุนธุรกิจ

  • Maintenance Services: บริการบำรุงรักษา เช่น ทำความสะอาดเครื่องจักร
  • Advisory Services: บริการให้คำปรึกษา เช่น การวางแผนโลจิสติกส์

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

ชื่อเติ้ลครับ ทำงานเป็น Data Research Insight & Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอนครับ ^^

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *