บทความนี้พามาดู Soft Branding Strategy แคมเปญสุดแยบยลของแบรนด์ยาแก้ปวด Goody’s ที่กล้าโฆษณาลงสนามวิ่งโดยไม่พูดเรื่องยาแม้แต่นิดเดียวครับ ในโลกที่การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพถูกจำกัดด้วยกฎหมายและจริยธรรม แบรนด์ส่วนใหญ่อาจเลือกที่จะเงียบหรือถอยห่างจากพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ แต่ไม่ใช่กับ Goody’s ที่กลับใช้ข้อจำกัดนั้นเป็นโอกาส พลิกโจทย์ยากให้กลายเป็นการสื่อสารที่ทรงพลังที่สุด ผ่านแคมเปญ Smile 20 ที่ไม่ได้ขายยา แต่ขายความเข้าใจ ณ จุดที่นักวิ่งเจ็บที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ บทความนี้จะพามาถอดรหัสว่า Goody’s ทำอะไร? คิดอย่างไร? และกลยุทธ์แบบไหนที่ทำให้แคมเปญนี้กลายเป็นไวรัลในระดับโลก แม้ไม่มีโฆษณาสินค้าแม้แต่นิดเดียวครับ
จุดเริ่มต้น ที่มาของ Campaign Soft Branding Strategy
ในโลกของการวิ่งมาราธอนที่นักวิ่งต้องแข่งกับทั้งเวลาและขีดจำกัดของตัวเอง ต้องบอกว่าการพูดเรื่องยาแก้ปวด กลายเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะแพทย์มักเตือนว่า ไม่ควรกินยาระหว่างแข่ง เนื่องจากอาจทำให้กลบร่องรอยการบาดเจ็บ และเสี่ยงทำร้ายร่างกายโดยไม่รู้ตัว นี่จึงเป็นโจทย์ยากของแบรนด์ Goody’s ที่แม้จะเชี่ยวชาญเรื่องบรรเทาอาการปวด แต่กลับพูดถึงสรรพคุณของตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ช่วงกลางของมาราธอนคือเวลาที่นักวิ่ง “ต้องการใครสักคน” ที่เข้าใจความเหนื่อย ความเจ็บครับ
แต่แทนที่จะถอย แบรนด์กลับตั้งคำถามว่า “ถ้าพูดเรื่องยาไม่ได้ แล้วเราจะพูดอะไรได้บ้าง?” และคำตอบก็คือ… เราพูดเรื่องใจได้ เพราะนักวิ่งไม่ได้ต้องการแค่พยาบาล แต่ต้องการกำลังใจ
Goody’s จึงเปิดตัวแคมเปญ Smile 20 ที่ไมล์ที่ 20 ซึ่งเป็นจุดที่นักวิ่งหลายคนเริ่มหมดแรง และต้องสู้กับตัวเองอย่างหนักครับ ซึ่งเบื้องหลังแคมเปญนี้ ไม่ได้มีแค่ความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือการสร้างแบรนด์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่การขายสินค้าที่ใช่ Goody’s เลือกจะไม่ขายของ แต่เลือกเป็นเพื่อนร่วมทาง ในช่วงเวลาที่ยากที่สุด และนั่นแหละคือความสัมพันธ์ที่แข็งแรงที่สุดที่แบรนด์จะมีได้กับผู้บริโภคในระยะยาวครับ
รายละเอียดแคมเปญ Smile 20
Goody’s จึงเปิดตัวแคมเปญ Smile 20 โดยไมล์ที่ 20 ซึ่งเป็นจุดที่นักวิ่งหลายคนเริ่มหมดแรง และต้องสู้กับตัวเองอย่างหนักครับ ซึ่งแบรนด์ไม่ได้แจกของ ไม่ได้เปิดบูธขายยา แต่เลือกทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด คือติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่ที่ใช้ AI ตรวจจับใบหน้านักวิ่ง แล้วสร้างรอยยิ้มดิจิทัล ให้แบบ Real Time ไม่ว่าหน้าจะเหนื่อยแค่ไหน หรือร่างกายจะโทรมเพียงใด AI จะเติมรอยยิ้มเข้าไปให้เสร็จสรรพครับ ภาพที่ออกมาจึงไม่ใช่แค่ภาพหน้าจอธรรมดา ๆ แต่คือ โมเมนต์ของกำลังใจ ที่คลายความล้าในใจได้พอ ๆ กับในร่างกาย รับชมคลิปกดได้ที่นี่ เลยครับ
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแค่ลูกเล่นเทคโนโลยี จริง ๆ แล้วมีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับอย่างจริงจัง เพราะ Goody’s อ้างอิงจาก white paper เรื่อง The Science of Smiling and Benefits to Pain Relief ที่ชี้ให้เห็นว่า การยิ้มแม้จะเป็นรอยยิ้มแบบไม่รู้ตัว ก็สามารถกระตุ้นสารเคมีในสมองอย่าง Dopamine, Serotonin และ Endorphin ซึ่งช่วยให้รู้สึกดีขึ้นทันที และเมื่อลดความเครียดทางใจได้ ร่างกายก็ฟื้นฟูเร็วขึ้นตามไปด้วยครับ
และที่สำคัญคือแคมเปญนี้ไม่ได้จบแค่ในสนามวิ่ง เพราะ Goody’s ยังขยายต่อในโลกออนไลน์ ทั้งผ่าน Podcast บทสัมภาษณ์ และการเล่าเรื่องบน Earned Media จนทำให้ รอยยิ้มจากไมล์ที่ 20 กลายเป็นข่าวดีที่แชร์กันไปไกล ถึงแม้คนดูจะไม่เคยวิ่งมาราธอนเลยก็ตามครับ
การเข้าใจข้อจำกัดของตัวเอง แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นโอกาสแทนที่แบรนด์จะพยายามฝืนพูดเรื่องตัวยาในสถานการณ์ที่พูดไม่ได้ พวกเขากลับเลือก “เข้าใจในความเจ็บปวด” แทนการบอกว่า “เราช่วยรักษาคุณได้” เพราะในช่วงที่นักวิ่งกำลังอ่อนล้า สิ่งที่คนต้องการไม่ใช่โฆษณา แต่คือความเข้าใจ และกำลังใจจากใครบางคนที่รู้ว่าช่วงเวลานี้มันหนักแค่ไหนครับ
แคมเปญ Smile 20 จึงไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยีเพื่อเรียกรอยยิ้ม แต่คือการวางแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ใน จังหวะอารมณ์ ที่ผู้บริโภคเปิดใจมากที่สุด ในวินาทีที่คนกำลังเปราะบาง และพร้อมจะจดจำบางสิ่งที่ Touchใจ แม้จะไม่รู้ตัวก็ตาม การที่ Goody’s เลือกโผล่มา แค่ยิ้มให้ที่ไมล์ที่ 20 โดยไม่พยายามขายของ กลับทำให้แบรนด์ยิ่งฝังลึกในใจมากกว่าการตะโกนโปรโมตครับ
และนั่นคือความล้ำของกลยุทธ์แบบ Soft Branding ที่เข้าใจว่า การตลาดที่ดีที่สุด ไม่ใช่การบอกว่าคุณคือใคร แต่คือการทำให้คนรู้สึกว่า คุณอยู่ตรงนั้นในเวลาที่เขาต้องการ และเมื่อวันหนึ่งที่คนกลับบ้าน เจ็บกล้ามเนื้อ หรือปวดเมื่อยจนต้องหายา ชื่อของ Goody’s จะผุดขึ้นมาในใจโดยอัตโนมัติ แบบไม่ต้องมีโฆษณาเลยแม้แต่นิดเดียว
Strategy behind the campaign กลยุทธ์เบื้องหลังแคมเปญ
หากจะแตกแคมเปญ Smile 20 ออกมาเป็นกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ ต้องบอกว่านี่คือตัวอย่างของการวางหมากแบบ 3 Layered Marketing ที่ประกอบด้วยหลายชั้นซ้อนกันอย่างแนบเนียน
Emotional Layer : ใช้รอยยิ้ม ซึ่งเป็นภาษาสากลของความเข้าใจและการปลอบโยน มาแทนการพูดเรื่องยาโดยตรง สื่อสารเรื่องการคลายปวดผ่านใจ มากกว่าผ่านตัวยา เป็นการส่งต่อพลังใจแบบไม่ต้องขายของเลยแม้แต่นิดเดียว
Timing Layer : การเลือกไปโผล่ตรงไมล์ที่ 20 ไม่ใช่แค่จุดกายภาพในสนาม แต่คือ Emotional Breaking Point ที่นักวิ่งหลายคนเริ่มท้อถอย การเข้าไปอยู่ในช่วงเวลานั้นจึงมีพลังมากพอจะกลายเป็น Memory หรือ Moment ที่คนอยากเล่าต่อครับ
PR Layer : นี่คือไอเดียที่ออกแบบมาเพื่อพูดต่อได้ในทุกมิติ ทั้งความแปลกใหม่ของการใช้ AI เติมรอยยิ้ม และความฉลาดในการเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายอย่างมีชั้นเชิง แคมเปญนี้จึงถูกหยิบไปพูดถึงในข่าว Podcast และโลกออนไลน์ โดยแบรนด์แทบไม่ต้องซื้อสื่อเองเลย
และที่สำคัญคือทั้งหมดนี้ยังสอดคล้องกับ Brand Personality ของ Goody’s ที่กล้า เฟี้ยว พอที่จะพูดว่า “เราช่วยคุณผ่านความเจ็บได้ ด้วยหัวใจ” กลยุทธ์ที่รวมทุกชั้นเข้าด้วยกันนี้ จึงไม่ใช่แค่โดดเด่น แค่ยิ้มก็ยึดพื้นที่ในใจคนได้แล้ว
ผลลัพธ์ของแคมเปญ
(ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : a joyful marathon runner smiling at the finish line, crowd cheering in the background, golden hour sunlight casting long shadows, motion blur from fast-paced action, dynamic composition, cinematic depth of field)
1. นักวิ่งมีความเร็วเพิ่มขึ้น 20.5% ที่ไมล์ 20 จากข้อมูล pace tracking นักวิ่งที่เจอ Smile 20 วิ่งเร็วขึ้นเฉลี่ย 20.5% เมื่อเทียบกับความเร็วเฉลี่ยของตัวเองตลอดการแข่งขัน แสดงถึงผลกระทบเชิงพฤติกรรมที่เกิดจากอารมณ์บวกแม้ไม่มีสารเคมีใด ๆ เกี่ยวข้องครับ
2. ลดเวลาการวิ่งเฉลี่ยลง 23 วินาทีต่อไมล์ เมื่อแปลงเป็นตัวเลข นักวิ่งวิ่งเร็วขึ้นราว 23 วินาทีต่อไมล์หลังเจอรอยยิ้มจาก AI สะท้อนว่าแคมเปญไม่ได้แค่สร้าง “ภาพจำ” แต่มีผลลัพธ์ที่วัดได้จริงต่อร่างกายและจิตใจ
3. สร้าง PR Impressions กว่า 53.4 ล้านครั้ง ครอบคลุมทั้ง Sports, Lifestyle and Healthcare Media โดยที่ไม่ต้องซื้อโฆษณา ตอกย้ำพลังของ PR-able Idea ที่ออกแบบมาเพื่อให้คนอยากแชร์และสื่ออยากเล่าครับ
Source Source
สรุป Soft Branding Strategy แคมเปญการตลาด Goody’s ใช้ AI สร้างรูปยิ้ม กวาด Impressions กว่า 53.4 ล้านครั้ง
แคมเปญ Smile 20 ของ Goody’s คือบทพิสูจน์ว่าการตลาดที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องตะโกนขายของ แต่คือการ “อยู่ตรงนั้น” ในเวลาที่คนต้องการที่สุด ผ่านการเข้าใจอินไซต์ที่ลึกถึงอารมณ์ สื่อสารด้วยภาษาที่ไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมาย และใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสร้างประสบการณ์ที่ Touch ใจอย่างแท้จริง แคมเปญนี้ไม่ได้เพียงเปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็นโอกาส แต่ยังวางตำแหน่งแบรนด์ให้กลายเป็นเพื่อนที่พร้อมยิ้มให้ในช่วงเวลาที่ยากที่สุด ซึ่งก็คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระยะยาวที่แท้จริงระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคครับ
บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ