การตลาด NFT Marketing วันนี้เป็นกระแสไม่ใช่แค่ในบ้านเรา แต่มีกระแสมากมายมาแล้วจากทั่วโลกตั้งแต่ปีก่อน หลายคนอาจสงสัยว่าฟองสบู่ NFT จะมีจริงหรือไม่ เป็นไปได้แค่ไหนทั้งที่เราเพิ่งได้ยินคำนี้กันมาไม่นาน วันนี้จะพาไปดูเรื่องราวของฟองสบู่ NFT กันว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร และมีทิศทางไปทางไหน เพื่อเอามาคาดการณ์ในตลาด NFT บ้านเราว่าที่ลงทุนกันไป ตกลงแล้วจะมูนทำกำไร 10 เท่า 100 เท่า หรือจะกลายเป็นนักลงทุนระยะยาวโดยไม่ตั้งใจเพราะติดดอยครับ
จุดเริ่มต้นสัญญาณ ฟองสบู่ NFT
คำว่าฟองสบู่ในการลงทุน มันคือการที่คนมีความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอย่างมากว่า มูลค่าของสิ่งนั้นจะคงเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในอนาคต ส่งผลให้ผู้คนกล้าจ่ายมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดฟองสบู่ก็ค้างติดดอย หรือแย่กว่านั้นก็แตะดังโบ๊ะแล้วหายไป ผลคือทำให้ตลาดทั้งหมดพัง และคนที่เจ็บหนักสุดก็คือบรรดาไม้สุดท้ายที่ปล่อยไม่จนเสียหายแสนสาหัส
สัญญาณแรกๆ ของฟองสบู่ NFT คือ Music Video ของวง Grimes มีมูลค่าลดลงกว่า 84% หลังเปิดขายได้ไม่กี่เดือน แม้การเปิดขาย NFT Collection นี้จะทำให้ศิลปินทำเงินได้กว่า 5.8 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาแค่ 20 นาที แต่กลับทำให้บรรดาแฟนคลับกับนักสะสมที่ซื้อ NFT Music Video กลายเป็นนักลงทุนระยะยาวโดยไม่ตั้งใจเพราะติดดอยไม่สามารถขายต่อทำกำไรได้โดยง่าย
ใน Music Video NFT Collection นี้มีชิ้นงานทั้งหมด 303 ชิ้น มีชิ้นหนึ่งที่มีคนซื้อไปครั้งแรกเป็นเงินกว่า 7,500 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอเอามาขายต่ออีกทีกลับทำเงินได้แค่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น สรุปได้ว่ามูลค่าของ Music Video NFT นี้มูลค่าลดลงไปกว่า 84% เลยทีเดียว
https://niftygateway.com/marketplace/collection/0x6506a7b2392354a9e239485e8bdf050783f0bb86/6
เช่นเดียวกับผลงาน NFT ของ Rapper ชื่อ A$AP Rocky ที่ซื้อมา 2,000 ดอลลาร์ แต่กลับขายต่อได้แค่ 900 ดอลลาร์เท่านั้น
ตำนานที่สุดคงหนีไม่พ้น Beeple ที่ทำเงินได้หลายสิบล้านเหรียญจากการขายผลงาน NFT Digital Arts มากมาย ทำให้บรรดาคนดังทั้งหลายต่างกระโจนเข้ามาในเกมนี้ ทุกคนล้วนออก NFT Collection ของตัวเองออกมา ส่งผลให้ช่วงแรกราคามูนพุ่งทะยาน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ค้างเติ่งติดดอย กลายเป็นนักลงทุนระยะยาว
สรุปวงจร NFT Arts ตอนนี้คือ ซื้อถูก ขายแพง ติดดอย เป็นส่วนใหญ่ครับ
แต่แน่นอนว่าทุกเหรียญย่อมมีสองด้าน ยังคงมีด้านที่รุ่งโรจน์ของ NFT อยู่เช่นกัน ว่ากันว่าในช่วงเดือนสิงหาคม 2021 ปีที่ผ่านมา มีการซื้อขาย NFT ต่อวันมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Photo: https://www.startwithnfts.com/posts/the-top-25-cryptopunks-sales-in-us-dollars
CryptoPunk #561 จากที่เคยขายกันตอนแรกแค่ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ กลับพุ่งทะยานสูงถึง 2,400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐครับ
Photo: https://dappradar.com/hub/assets/eth/0xbc4ca0eda7647a8ab7c2061c2e118a18a936f13d/2224
ส่วน Bored Ape Yacht Club #2224 ก็เพิ่งขายไปได้เป็นเงินกว่า 335,000 ดอลลาร์ ทั้งที่ 5 เดือนก่อนหน้าเพิ่งถูกซื้อมาแค่ในราคา 10,000 ดอลลาร์เท่านั้นเอง
แม้บรรดาคนดัง Celeb และ Influencer จะทำให้ตลาด NFT ครึกครื้นอย่างมากในช่วงนี้ เพราะพวกเขาจะใช้สื่อที่มีในมือตัวเองอย่างโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ ที่มีคนหลายแสนหลายล้าน ไปจนถึงหลายสิบล้านคนติดตาม ซึ่งถ้าดูให้ดีก็ไม่ต่างจากการขายสื้อยืด เทป หรือของที่ระลึกตามงานนัดพบดาราคนดัง โดยคุณจะได้รับลายเซ็นจากงานนั้น แต่ต่างกันตรงที่ว่าคุณน่าจะไม่ได้เจอคนดังตัวจริงเป็นส่วนใหญ่
มองอีกแง่นึงมันคือการทำธุรกิจเดิมด้วยการตลาดแบบใหม่ ผ่านการใช้ NFT Marketing นั่นเองครับ
Photo: https://opensea.io/assets/0x495f947276749ce646f68ac8c248420045cb7b5e/105227954358508556400726543892593280633486599217815009542877566394202429849700
Shawn Mendes เองก็ทำเงินกว่า 1,000,000 ดอลลาร์ง่ายๆ ภายใน 10 นาที ด้วยการขายสินค้าดิจิทัลอย่าง NFT ของตัวเอง ซึ่งบางชิ้นงาน NFT ของ Shawn Mendes เองก็ราคาตกลงไปครึ่งหนึ่งจาก 9 เดือนก่อนที่ถูกปล่อยครั้งแรก ซึ่งตอนนี้ก็ดูเหมือนราคาจะตกลงไปต่ำกว่านั้นอีก
แต่เพื่อความแฟร์ก็ต้องกลับไปดูว่าราคา Ethereum ในวันนั้นที่ซื้อขายกันมีมูลค่าเทียบกับเงิน Fiat อย่างดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่เท่าไหร่ ราคาของ Ethrereum เองก็เพิ่มมูลค่าขึ้นไปอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นดูเหมือนราคาซื้อขายผ่านสกุลเงินอย่าง Ethereum จะลดลง แต่มูลค่ามันอาจไม่ได้ลดตามลงเสียทีเดียว
แต่นั่นก็ทำให้บางคนแนะนำว่า ไม่ต้องซื้อหรอก NFT ถือเงินสกุลคริปโตอย่าง ETH เอาไว้จะดีกว่า
Gauthier Zuppinger COO ของ NonFungible บอกว่าจนถึงวันนี้ NFT Collection ส่วนใหญ่ที่เห็นมากว่าครึ่งเจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะด้วยมูลค่าที่ลดลงอย่างมาก หรือไม่ก็ถูกทิ้งค้างไว้กลางทางโดยไม่มีการทำอะไรต่อ
การทำธุรกิจหรือการตลาดโดยใช้ NFT เป็น Game Changer ดูเหมือนจะยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก ซึ่งส่วนมากก็คือการลองออกมาขายดูก่อนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีเหลือน้อยมากที่มีคุณค่าจริงๆ หลังจากนั้น
ซึ่งบรรดานักลงทุน NFT Investor ก็มักจะไม่ยุ่งกับ NFT Collection ของบรรดา Celeb หรือ Influencer สักเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าออกมาแล้วก็หายไปไม่มีอะไรต่อเป็นเรื่องเป็นราว เน้นขายความดังชั่วครู่ชั่วคราว ผิดกับโปรเจคที่มีแผนพัฒนาในระยะยาวจริงๆ
WhaleShark หนึ่งในนักสะสม NFT Collector ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ทำการซื้อ NFT จาก Paris Hilton ทั้งที่ดูไม่ได้ดีไซน์สวยงาม เปิดตัวกับ Partner ที่ไม่ได้ดังอะไร และก็ยังดูไม่ค่อยมีความว้าวสักเท่าไหร่ คำถามคือทำไมเขาถึงเลือกซื้อ NFT ของ Paris Hilton มาสะสมหละ?
เข้าบอกว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาทำ NFT มักจะมองผลประโยชน์เรื่องเงินเป็นหลัก มากกว่าจะใช้ประโยชน์จากฐานแฟนคลัมเดิมที่มีเพื่อผลักดันให้ NFT ให้เข้าถึงคนในวงกว้างมากกว่านี้
ซึ่ง NFT Paris Hilton ที่ชื่อ Hummingbird นั้นถูกขายไปในราคา 10,000 ดอลลาร์ จากนั้นไม่นานก็ขายต่อได้อีกทีในราคา 12,000 ดอลลาร์ ถือว่ามูลค่าไม่ได้ลดลงเหมือนกับ NFT Collection ของ Celeb หรือ Influencer คนอื่นเลยครับ
แม้ว่าเงื่อนไขการซื้อ NFT Celeb จะแตกต่างกันไปตามความดัง แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีรูปแบบที่คล้ายๆ กัน นั่นก็คือตัวแพลตฟอร์มตัดส่วนแบ่งไป 15-20% แล้ว Celeb หรือ Influencer ก็จะได้รับส่วนที่เหลือไปแล้วก็เอาไปแบ่งกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Creator หรือ Partner ที่ช่วยในการพัฒนาขึ้นมาอีกที
และที่เจ๋งไปกว่านั้นคือบรรดา Celeb เจ้าของ NFT Collection นั้นก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการขายต่อทุกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ 2.5% สำหรับตลาดต่างประเทศครับ
อยาก Drop NFT ให้ Impact ต้องใช้ Influencer ช่วย
ดูเหมือนว่าการ Drop ครั้งแรกนั้นส่งผลสำคัญต่อ NFT Collection นั้นมาก ว่าจะได้รับความสนใจต่อหรือไม่ ดังนั้นการใช้คนดังหรือบรรดา Celeb & Influencer เข้าร่วมให้มากที่สุดก็จะช่วยได้ปัง หรืออย่างน้อยก็ไม่แป๊กครับ
Autograph เป็นโปรเจคที่มี Tom Brady นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดังเป็น Co-Founder ได้นักเทนนิสชื่อดังอย่าง Naomi Osaka มาร่วมเป็นที่ปรึกษาด้วย ส่งผลให้ NFT Collection นั้นหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่วินาทีหลัง Drop
การมีคนดังหนุนหลังถือเป็นข้อได้เปรียบทาง Marketing มหาศาลครับ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ทั่วไปจำนวนมากจะสนใจว่าโปรเจคนี้มีคนดังคนไหนเข้าร่วมบ้าง และถ้าโปรเจคไหนเปิดตัวโดยไม่มี Celeb หรือ Influencer คนดังเข้ามาร่วมด้วย โปรเจคนั้นจะได้รับความสนใจลดน้อยลง ลำพังแค่ฐานแฟนคลับของคนดังที่เข้าร่วมด้วยเองก็มีจำนวนมากพอต่อโปรเจคนั้นแล้ว
บางโปรเจคเอา Influencer คนดังเข้ามาร่วมพูดคุยถามตอบกับแฟนๆ ผ่าน Discord นานหลายนาทีจนเป็นชั่วโมง ซึ่งก็ได้ใจแฟนๆ ไปไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่ใช่คนดังทุกคนเข้ามาร่วมโปรเจค NFT แล้วจะเวิร์ค ที่แป๊กก็มีให้เรียนรู้เพื่ออย่าเลียนแบบ
ตอนที่พิธีกรรายการทอร์คโชว์ชื่อดังอย่าง Ellen DeGeneres ได้วาดรูปเพื่อจะเอาไป Mint เป็นผลงาน NFT ชื่อ Woman With Stick Cat แล้วจะเอาเงินที่ได้ไปบริจาคการกุศลนั้นกลับทำเงินได้แค่ครึ่ง ETH
หรือ NFT Collection ของสมาคมมวยปล้ำ WWE ก็แป๊กเช่นกัน พวกเขาออกคอลเลคชั่นของ John Cena ออมากมาพร้อมกับโฆษณาทางทีวีมากมาย และก็มีเสื้อผ้าวางขายคู่กับอุปกรณ์ต่างๆ
เรียกได้ว่าบรรดาของขายมากมายนั่นแหละที่ทำให้ NFT Collection นี้ดูแย่เหมือนสติ๊กเกอร์ดิจิทัลราคาถูกอย่างไรก็ไม่รู้ครับ
และดูเหมือนว่าบรรดา Celeb & Influencer คนดังจะก้าวเท้าเข้ามาในตลาด NFT มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้กำกับชื่อดังอย่าง Quentin Tarantino เองก็เพิ่งปล่อยฉาก Uncut Scenes จากภาพยนต์สุดคลาสสิคชื่อดังอย่าง Pupl Fiction ออกมาวางขายบน OpenSea แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ และดูเหมือนว่าจะตามมาด้วยปัญหามากมายเรื่องลิขสิทธิ์หลังจากนั้น
ดังนั้นการจะใช้คนดังมาช่วยทำตลาด NFT อาจจะเวิร์คได้ แต่การที่คนดังหันมาทำ NFT เองอาจไม่เวิร์คสักเท่าไหร่ แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการต่อยอดธุรกิจบนเทคโนโลยี NFT มาดูกันอีกทีปีหน้าดีกว่าครับ ว่าตลาดโลกจะเป็นอย่างไร และตลาด NFT ในบ้านเราจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรอีกที
กลับมาที่ฟองสบู่ NFT อีกครั้ง
ดูเหมือนว่ากระแส NFT วันนี้จะยังคงพุ่งทะยานต่อไป เรายังคงได้เห็นโปรเจค NFT มากมายคลอดออกมาตามกันเรื่อยๆ ไม่หยุดโดยเฉพาะในบ้านเรา แต่ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุน NFT บางคนบอกว่า โลกของ NFT จะเกิดการแบ่งขั้วแบบสุดด้าน ตั้งแต่กลุ่ม NFT Collection ที่มีจำกัดและน้อยมากๆ ซึ่งจะมีมูลค่ามหาศาล ในขณะเดียวกันก็จะมี NFT Collection ที่มีจำนวนแทบจะไม่จำกัด แต่มันก็จะมีมูลค่าน้อยมากจนแทบจะไร้ค่าเลยทีเดียว
คำถามคือ NFT ของคุณจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหนครับ? คุณทำความเข้าใจตลาดได้ดีพอแล้วหรือยัง? คุณมี Data ที่ดีก่อนกำหนดกลยุทธ์ของ NFT คุณแล้วรึยัง? ถ้ายัง การตลาดวันละตอนช่วยได้ครับ (แอบขายของหน่อย)
John Hawkins อาจารย์อาวุโสของสถาบัน Canberra School of Politics, Economics and Society ให้ความเห็นไว้ว่าในตอนนี้มันดูเหมือนเราอยู่ในยุคการเก็งกำไรจากเจ้า NFT กันอย่าบ้าคลั่ง จนดูเหมือนจะคล้ายกับภาวะฟองสบู่อย่างไรอย่างนั้น
และยิ่งได้บรรดาคนดัง Celeb & Influencer เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ก็ยิ่งทำให้เจ้าฟองสบู่ NFT นี้ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นไปทุกนาที ใครๆ ก็ไม่อยากตกเทรนด์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระแสนี้
เรื่องตลกของ NFT เมื่อใครๆ ก็ Mint ได้ ฟองสบู่เลยเกิดขึ้นได้ง่ายตามมา
ท้ายที่สุดหลายคนคงเห็นโอกาสที่จะทำเงินมากมายในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยการออก NFT Collection ตัวเองแล้ว Mint ขาย ซึ่งหลายคนที่ว่านี้ก็คือเหล่า Influencer หรือ Celebrity นั่นเองครับ
ทำให้พิธีการรายการตลกในอเมริกาอย่าง John Cleese ถึงขั้นทำคลิปจริงจังเพื่อขายผลงาน NFT ของเขาที่มีชื่อว่า The Brooklyn Bridge NFT ด้วยมูลค่ามหาศาล
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของฟองสบู่ NFT ที่อาจจะรอวันแตก หรือฟองสบู่นี้จะค่อยๆ แข็งแรงขึ้นจนกลายเป็นไข่มุกขนาดใหญ่ ยากที่จะฟันธงในอนาคตได้ แต่ที่แน่ๆ คือก่อนจะลงทุนใช้เงินที่หามาด้วยความยากลำบากกับ NFT ชิ้นใด ถามตัวเองก่อนว่าสิ่งนี้มีคุณค่าทางใจกับเราจริงหรือเปล่า
หรือ NFT นี้มี Feature หรือ Privilege ใดที่เราจะได้มาจากการถือครองมัน และต้องแน่ใจว่าด้วย Creator หรือผู้ที่ Drop NFT นั้นจะไม่ปิดโปรเจคหนีไป
เพราะลำพังผลงาน NFT ชุด BAYC หรือ Bored Ape Yacht Club ก็มีมูลค่าขายต่อชิ้นแพงมหาศาล เรียกได้ว่าบ้านของหลายคนยังไม่แพงเท่ากับผลงาน NFT หลายๆ ชิ้นในคอลเลคชั่นนี้เลยครับ
อ่านบทความเรื่อง NFT ในการตลาดวันละตอนต่อ > https://everydaymarketing.co/tag/nft/