เทรนด์การตลาด Immersive Experience มาแรง ธุรกิจควรปรับใช้ยังไง

ต้องบอกว่าปัจจุบันเทรนด์การตลาด Immersive Experience หรือ “ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ” กำลังกลายเป็นเทรนด์สำคัญที่หลายธุรกิจให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Retail, Entertainment, Education ไปจนถึงอุตสาหกรรม Art & Culture ต่างเริ่มนำเทคโนโลยีที่สร้าง Immersive Experience อย่าง AR (Augmented Reality), VR (Virtual Reality), MR (Mixed Reality), 3D Projection และ Metaverse มาปรับใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ล้ำลึกและมีส่วนร่วมมากขึ้น

แล้วทำไมเทรนด์การตลาด Immersive Experience ถึงได้รับความนิยม? ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้อย่างไร? บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์เทรนด์นี้แบบเจาะลึกกันค่ะ

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าปัจจุบันเทรนด์การตลาด Immersive Experience หรือ “ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ” เป็นที่นิยมในหลายธุรกิจ เพราะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้าง Engagement และ Interaction กับลูกค้าได้ ซึ่งก่อนเราจะไปดู Case Study ของการใช้ Immersive กัน เรามาดูความหมายกันก่อนดีกว่าคะ

เทรนด์การตลาด Immersive Experience หมายถึง ประสบการณ์ที่ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึก “ดื่มด่ำ” และมีส่วนร่วมกับเนื้อหาหรือผลิตภัณฑ์ ผ่านเทคโนโลยีที่ช่วยจำลองสภาพแวดล้อมหรือสร้างปฏิสัมพันธ์หรือมี Interaction เสมือนจริงได้ค่ะ

โดยเทคโนโลยีหลักที่อยู่เบื้องหลัง Immersive Experience ได้แก่

  • AR (Augmented Reality) คือการผสานวัตถุเสมือนเข้ากับโลกจริง เช่น ฟิลเตอร์ Instagram หรือ AR Shopping
  • VR (Virtual Reality) คือการสร้างโลกเสมือนจริงที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปสัมผัสได้ เช่น เกม VR
  • MR (Mixed Reality) คือการผสมผสานโลกจริงและโลกเสมือนแบบโต้ตอบได้ เช่น Microsoft HoloLens
  • Projection Mapping คือการฉายภาพดิจิทัลลงบนพื้นผิวต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น เช่น การแสดงแสงสีบนอาคาร
  • Metaverse คือโลกเสมือนที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าสังคม ทำงาน หรือซื้อสินค้าได้

ซึ่งหนึ่งในกรณีศึกษาที่โดดเด่นของเทรนด์ Immersive Experience ก็คือ teamLab กลุ่มศิลปินและนักเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นที่สร้างสรรค์นิทรรศการศิลปะดิจิทัลแบบ Interactive ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของผู้ชมที่มีต่อศิลปะไปอย่างสิ้นเชิงนั่นเองค่ะ

ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator
Prompt :  A futuristic immersive art exhibition set in a sleek, modern space, featuring large-scale projection mapping that transforms walls into dynamic, ever-changing visual landscapes. Interactive light tunnels extend through the venue, with visitors moving through beams of light that react to their presence, creating a captivating sensory experience. Digital paintings are displayed on walls, and visitors can interact with them, triggering movement or transformation of the artwork as they engage. The environment blends cutting-edge technology with artistic expression, allowing visitors to become part of the artwork itself in an evolving and immersive atmosphere.

รวมไปถึง SPACE & TIME: CUBE+ ที่ซีคอน บางแค ประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวอย่างของการนำ Immersive Experience มาใช้กับศิลปะและการตลาดอย่างสร้างสรรค์ และ ไอคอนสยาม (ICONSIAM) ศูนย์การค้าระดับแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่นำแนวคิด Immersive Experience มาใช้ในการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และดึงดูดทั้งคนรักศิลปะและนักท่องเที่ยวอีกด้วย เราไปดูแต่ละ Case Study กันดีกว่าค่ะ

teamLab คือกลุ่มศิลปิน วิศวกร และนักออกแบบจากญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญด้าน Digital Art และการสร้างสรรค์งานแบบ Interactive โดยใช้ Projection Mapping, AR/VR และ AI ผลงานของ teamLab ไม่ใช่แค่ “งานศิลปะ” แต่เป็น Immersive Experience ที่ให้ผู้เข้าชมมีปฏิสัมพันธ์กับผลงานแบบเรียลไทม์นั่นเองค่ะ

1.teamLab Borderless (โตเกียว, ญี่ปุ่น)

  • เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลที่ “ไร้ขอบเขต” ผู้ชมสามารถเดินเข้าไปในพื้นที่ที่ภาพศิลปะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
  • ใช้เทคนิค Projection Mapping, Sensor Interaction และ AI เพื่อสร้างภาพเคลื่อนไหวที่โต้ตอบกับผู้ชม เช่น ถ้าคุณเดินไปใกล้ดอกไม้ ดอกไม้อาจบานหรือร่วงโรยต่อหน้าคุณ
  • นิทรรศการที่ได้รับความนิยม ได้แก่ “Forest of Resonating Lamps” (ห้องโคมไฟที่เปลี่ยนสีเมื่อมีคนเดินผ่าน) และ “Universe of Water Particles on a Rock” (น้ำตกดิจิทัลที่ไหลไปตามพื้นและตอบสนองต่อการสัมผัส)

2.teamLab Planets (โตเกียว, ญี่ปุ่น)

  • แตกต่างจาก teamLab Borderless เพราะต้องใช้ “ร่างกาย” เพื่อสัมผัสงานศิลปะ เช่น เดินลุยน้ำ หรือเดินผ่านห้องที่พื้นเป็นเบาะนุ่ม
  • ไฮไลต์ของนิทรรศการคือ “Waterfall of Light Particles” ที่ใช้ Projection Mapping และ Motion Tracking ทำให้แสงน้ำตกเคลื่อนตามการเคลื่อนไหวของผู้ชม

3.teamLab Botanic (โอซาก้า, ญี่ปุ่น)

  • หรือนิทรรศการศิลปะดิจิทัลถาวรที่สวนพฤกษศาสตร์ Nagai (Nagai Botanical Garden) ที่จัดขึ้นเพื่อสำรวจว่าธรรมชาติจะกลายเป็นงานศิลปะได้ยังไงค่ะ

ซึ่ง teamLab ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ทั้งการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทำให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของญี่ปุ่น และสร้าง Engagement ผ่าน Social Media เพราะภาพถ่ายจากงาน teamLab ถูกแชร์บน Instagram กว่า 1 ล้านโพสต์ รวมทั้งจุดประกายให้ธุรกิจอื่นๆ นำแนวคิดนี้ไปใช้ อย่างห้างสรรพสินค้า โรงแรม และอีเวนต์เริ่มนำศิลปะอินเทอร์แอคทีฟมาใช้นั่นเองค่ะ

อีกหนึ่งตัวอย่างของ Immersive Experience ในประเทศไทยคือ “SPACE & TIME: CUBE+” นิทรรศการแสงสีและศิลปะดิจิทัลที่ซีคอน บางแค ซึ่งนำเทคโนโลยี Projection Mapping และ Interactive Light Show มาใช้นั่นเองค่ะ

โดยไฮไลต์ของ SPACE & TIME: CUBE+ คือมีห้องมากถึง 20 ห้องด้วยกัน อย่างห้อง Hologram ที่มีการฉายภาพแบบ 360° บนกำแพงและพื้น หรือห้องอุโมงค์กาลเวลาที่ให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในห้อง 3D โดยที่ไม่ได้ใส่แว่น ฉากจะเปลี่ยนไปทุก 5 นาที นี่เป็นแค่ส่วนนึงของ SPACE & TIME: CUBE+ เท่านั้นค่ะ

ผลของ SPACE & TIME: CUBE+ คือ สร้าง Engagement กับผู้ชม กระตุ้นให้คนมาแชร์ภาพผ่าน Social Media มีการผสานศิลปะและเทคโนโลยีเข้ากับพื้นที่เชิงพาณิชย์ ช่วยดึงดูดลูกค้าและช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในศูนย์การค้า และยังสร้าง Interactive & Personalized Experience ทำให้ผู้เข้าชมสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับงานศิลปะได้ค่ะ

นิทรรศการนี้ช่วยให้ซีคอน บางแค กลายเป็นจุดหมายปลายทางของคนรักศิลปะดิจิทัล และดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่างจากห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมค่ะ

ไอคอนสยาม คืออีกหนึ่งห้างสรรพสินค้าที่นำ Immersive โดยจัดเป็นนิทรรศการศิลปะจากศิลปินที่โด่งดัง อย่างเช่น “Van Gogh Alive Bangkok” หนึ่งในนิทรรศการศิลปะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของไอคอนสยาม ซึ่งเป็นนิทรรศการศิลปะแบบ Immersive Multimedia ที่ใช้เทคโนโลยี SENSORY4™ ผสมผสาน ภาพ, แสง, สี และเสียง เพื่อทำให้ผลงานของศิลปินระดับโลก “วินเซนต์ แวนโก๊ะ” มีชีวิตขึ้นมาค่ะ

ซึ่งนิทรรศการเหล่านี้ช่วยทำให้ไอคอนสยามกลายเป็นศูนย์กลางของศิลปะและการท่องเที่ยว เพราะทั้ง ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Millennials & Gen Z) เพราะนิทรรศการที่ถ่ายรูปได้เยอะมักเป็นกระแสบนโซเชียลมีเดีย ทั้งยังเพิ่มมูลค่าทางการตลาด โดยนิทรรศการ Immersive สามารถเพิ่มยอดขายตั๋วและกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ รวมทั้งยังสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะแบบดั้งเดิมค่ะ

เราได้เห็นภาพรวมใหญ่ ๆ ของการใช้ Immersive กันไปแล้ว เรามาดูดีกว่าจะสามารถประยุกต์ใช้กับธุรกิจอะไรได้บ้าง เริ่มจาก Retail & E-commerce โดยร้านค้าเริ่มใช้ Projection Mapping และ AR เพื่อให้ลูกค้าได้ลองสินค้าเสมือนจริง อย่าง Nike และ IKEA ใช้ AR ให้ลูกค้าทดลองรองเท้าหรือเฟอร์นิเจอร์ก่อนซื้อ

Entertainment & Events เทคโนโลยีแบบเดียวกับ teamLab ถูกนำไปใช้ในคอนเสิร์ตและงานอีเวนต์ เช่น Hatsune Miku Live Concert ที่ใช้ Hologram รวมทั้งอย่าง Anyma ศิลปินที่มักนำเทคโนโลยี อย่าง Projection Mapping และ AR มาใช้ในคอนเสิรต์เพื่อสร้างความแตกต่าง และกระแสบนโซเชียลมีเดียอีกด้วยค่ะ

ในฝั่งของ Hospitality & Tourism โรงแรมและพิพิธภัณฑ์เริ่มใช้ Immersive Experience เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น พิพิธภัณฑ์ L’Atelier des Lumières ในปารีสค่ะ รวมมทั้ง Education & Training ที่มีการใช้ระบบ VR และ Interactive Learning ถูกนำไปใช้ในการศึกษา เช่น ห้องเรียนเสมือนจริงใน Metaverse หรือการเรียนรู้การป้องกันภัยพิบัติธรรมชาติ

วิเคราะห์ Immersive Experience เทรนด์มาแรงที่หลายธุรกิจนำมาปรับใช้
ขอบคุณภาพจาก paristouristinformation

ทำไมธุรกิจถึงต้องให้ความสำคัญกับ Immersive Experience?

  1. เพิ่ม Engagement และ Interaction กับลูกค้า ผู้บริโภคสมัยใหม่คาดหวัง ประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้น มากกว่าการรับชมโฆษณาแบบเดิมๆ
  2. สร้าง Brand Differentiation การนำเทคโนโลยี Immersive Experience มาใช้ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นกว่าคู่แข่ง
  3. กระตุ้นยอดขายและ Conversion Rat นักช้อปชอบแบรนด์ที่มี AR Shopping เพราะช่วยให้เห็นสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
  4. ยกระดับ Customer Experience (CX) ลูกค้าได้รับ ประสบการณ์ที่เหนือกว่า ทำให้เกิด Brand Loyalty
  5. รองรับเทรนด์ Digital Transformation หลายธุรกิจต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล Immersive Experience จึงเป็นกุญแจสำคัญของอนาคต

teamLab Borderless, SPACE & TIME: CUBE+ และ Van Gogh Alive Bangkok ที่ไอคอนสยาม เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เทรนด์ Immersive Experience สามารถเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมศิลปะ, การตลาด และธุรกิจค้าปลีกได้ และไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยยกระดับศิลปะ ธุรกิจ และการท่องเที่ยว

ศิลปินสามารถสร้างสรรค์งานแบบ Interactive ห้างสรรพสินค้าใช้ดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวใช้เป็นจุดหมายปลายทางใหม ดังนั้นผู้เขียนมองว่า อนาคตของศิลปะและธุรกิจ จะถูกขับเคลื่อนด้วย Immersive Experience อย่างแน่นอน

ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ Immersive ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นคือ เทรนด์ Social Rewilding ที่คนออกมาหาประสบการณ์ในโลกความจริงเยอะขึ้น ตอนนี้เราอยู่ในจุดที่คนเริ่มหันกลับมามองหาความสมดุลระหว่างชีวิตจริงกับโลกดิจิทัล

ผลสำรวจล่าสุดของ Accenture ชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกดีมากที่สุดกับประสบการณ์ในโลกจริง โดย 41.9% ของคนที่ตอบแบบสอบถามบอกว่า ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นในโลกจริง เช่น การไปเที่ยวธรรมชาติหรือทำกิจกรรมที่ได้ใกล้ชิดกับผู้คน ขณะที่มีเพียง 15.3% เท่านั้นที่บอกว่าประสบการณ์ที่ดีที่สุดของพวกเขาเป็นเรื่องในโลกดิจิทัล

เพราะฉะนั้นแนวคิด Social Rewilding เป็นเหมือนการฟื้นฟูตัวเองจากความเหนื่อยล้าของชีวิตที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมากเกินไป คนเริ่มตั้งใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้เรียบง่ายและสมดุลมากขึ้น อ่านเพิ่มเติมที่ 5 เทรนด์ผู้บริโภค 2025 กับคุณแม็ค สุนาถ ธนสารอักษร Accenture Song ได้เลยค่ะ

ดังนั้น เทรนด์การตลาด Immersive Experience ไม่ใช่แค่ “กระแส” แต่เป็นเทรนด์สำคัญที่ทุกธุรกิจต้องให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น AR Shopping, VR Training, หรือ Metaverse การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จะช่วยให้แบรนด์มีความแตกต่าง เพิ่ม Engagement, สร้าง Brand Loyalty และขับเคลื่อนธุรกิจในยุคดิจิทัลได้อย่างแน่นอนค่ะ

หวังว่าจะพอเห็นไอเดียการนำ Immersive Experience เข้าไปปรับใช้ในธุรกิจได้นะคะ ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ 

สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึง TwitterInstagramYouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ

Source Source

มิวมิ้น เรียก มิ้น ก็ได้ ● ⋏ ● เป็น Marketing Content Creator & Data Research Insight ของการตลาดวันละตอน ٩(◕‿◕)۶ ทำงานด้าน Merchandiser / Digital Marketing / Ads optimizer / Data Research Insight ตั้งใจสรรสร้างทุกบทความ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์ และ ชอบนะคะ ʕっ•ᴥ•ʔっ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *