ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องแข่งขันกันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การทำการตลาดไม่ใช่แค่สร้างการรับรู้ (Awareness) อีกต่อไป แต่ต้อง มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Performance) ที่วัดผลได้จริง และช่วยให้ธุรกิจเติบโตในระยะสั้นและยาว เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าแบรนด์หรือธุรกิจประเภทไหน เมื่อลงมือลงแรงทำการตลาดก็ต้องอยากได้ผลลัพธ์ที่วัดผลได้ชัดเจน นักการตลาดจึงจำเป็นต้องคิดหากลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ บทความนี้จึงจะพามาดู Performance Creative Campaign การตลาดที่เข้าถึง มี Action วัดผลได้ มุ่งเน้นผลลัพธ์และการเติบโตของธุรกิจค่ะ
อย่างที่เกริ่นไปว่าทุกธุรกิจต้องการผลลัพธ์และการเติบโต ยิ่งธุรกิจที่ต้องการ ’Immediate growth’ หรือการเติบโตจากการเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ถือว่าเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของการทำการตลาดในยุคนี้ ที่ไม่ใช่แค่เรื่อง Awareness แต่ทุกการลงทุนต้องสามารถสร้าง Conversion ที่วัดผลไปถึง ‘ความต้องการ’ ของลูกค้าได้อย่างแท้จริงค่ะ
เพราะนักการตลาดไม่ได้ทำโฆษณาเพื่อความสวยงาม แต่ต้องสร้าง Conversion ดึงดูดลูกค้าให้เกิด Action และสามารถต่อยอดไปสู่การขายหรือสร้าง Brand Loyalty ได้นั่นเองค่ะ
Performance Creative Campaign การตลาดที่รวม Media, Creativity และ Data เข้าไว้ด้วยกัน
Performance Creative Campaign คือกลยุทธ์ที่นำเอาความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และการตลาดที่วัดผลได้ (Performance) มาผสานกันอย่างลงตัว โดยเริ่มต้นจากการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจ แบรนด์ หรือแคมเปญที่ชัดเจน (Goal) และระบุ KPIs ที่สามารถวัดผลได้จริงค่ะ
จากนั้นก็เริ่มสร้างชิ้นงานโฆษณาให้ตอบโจทย์เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้มากที่สุด โดยการผสานการเข้าถึงกลุ่มหมายด้วย Media เข้ากับชิ้นงานที่กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายลงมือทำ (drive action) และการใช้ data เพื่อนำมาวางแผนและเก็บผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อสร้าง Immediate growth ให้กับธุรกิจ หรือสรุปเป็นขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
1. เริ่มจากการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน (Goal & KPI) เพระาก่อนจะสร้างแคมเปญต้องรู้ว่าเป้าหมายของธุรกิจคืออะไร เช่น เพิ่มยอดขาย ดึงดูดลูกค้าใหม่ หรือกระตุ้นการมีส่วนร่วม
2. สร้างสรรค์โฆษณาที่ดึงดูดและกระตุ้น Action (Creative & Media Strategy) แค่โฆษณาสวยยังไม่พอต้อง ออกแบบให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ (Take Action) เช่น กดซื้อ, สมัครสมาชิก หรือแชร์ต่อ
3. ใช้ Data & Optimization วางแผนและปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ เพราะ Performance Marketing ที่ดีต้องใช้ Data วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและปรับปรุงแคมเปญได้ตลอดให้มั่นใจว่าทุกการลงทุนให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าค่ะ
Performance-First approach ตั้งเป้าหมายแล้วเลือก Creative ที่ใช่
การทำการตลาดแบบ Performance-First ไม่ได้เริ่มจากความคิดสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากเป้าหมายที่วัดผลได้จริง โดยนักการตลาดต้องกำหนด KPIs (Key Performance Indicators) ที่ต้องการให้ชัดเจน เช่น การเพิ่มยอดขาย (Sales Growth), การลดค่าใช้จ่ายต่อการได้มาซึ่งลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost – CAC) หรือการเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate)
จะทำให้ธุรกิจหรือแบรนด์สามารถติดตามและวัดผลได้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องมีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อยอดใน campaign ถัด ๆ ไปได้
และเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ครีเอทีฟที่สร้างขึ้นต้องถูกออกแบบให้ตอบโจทย์เป้าหมายนั้น ๆ ไม่ใช่แค่สวยงามหรือน่าสนใจ แต่ต้องสามารถ ขับเคลื่อน Action และผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น ถ้าเป้าหมายคือการเพิ่ม Conversion งานครีเอทีฟต้องออกแบบให้กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อทันที แล้วถ้าเป้าหมายคือการสร้าง Engagement ต้องใช้แนวคิดที่ทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เช่น Interactive Ads หรือเนื้อหาที่กระตุ้นให้เกิดการแชร์ต่อ
Performance-First ไม่ใช่แค่การสร้างโฆษณาที่ “น่าสนใจ” แต่ต้องเป็นโฆษณาที่ “ได้ผลจริง” ซึ่งต้องอาศัย Outstanding Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากตลาด พร้อมกับ Effective Result หรือผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลและต่อยอดได้อย่างเป็นระบบค่ะ
นอกจากนั้นการใช้แนวคิด Performance-First ยังช่วยให้สามารถวิเคราะห์และปรับปรุงแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการเก็บข้อมูลและทดสอบประสิทธิภาพของโฆษณา (A/B Testing) เพื่อให้มั่นใจว่าทุกแคมเปญสร้างผลลัพธ์สูงสุด และช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงค่ะ
การใช้แนวทาง marketing science กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนอย่างยืดหยุ่น เพื่อหาหนทางการทำตลาดที่ดีที่สุด
ต้องบอกว่าแต่ก่อนการทำแคมเปญการตลาดอาจขึ้นอยู่กับความสร้างสรรค์หรือการคาดการณ์ของนักการตลาด แต่ในยุคของ Performance Marketing การตัดสินใจต้องขับเคลื่อนด้วย Data ที่แม่นยำและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) หรือ Marketing Science
อย่างที่บอกว่า Performance Marketing อาศัย Data-driven Strategy ร่วมกับ Scientific Method หรือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ดังนี้
การตั้งสมมติฐาน (Hypothesis Formation) : นักการตลาดต้องเริ่มต้นด้วยการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า เช่น “ลูกค้ากลุ่ม A มีแนวโน้มที่จะคลิกโฆษณาที่มีภาพสินค้าแบบ 3D มากกว่าภาพสินค้าแบบปกติ”
การทดสอบ (Experimentation & A/B Testing) : สมมติฐานที่ตั้งไว้ต้องได้รับการทดสอบโดยการแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่ม และแสดงครีเอทีฟที่แตกต่างกันเพื่อดูว่ารูปแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
การวิเคราะห์และปรับปรุง (Data Analysis & Optimization) : เมื่อการทดสอบเสร็จสิ้นข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์ไหนต่อไป หรือจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ
การตั้งสมมุติฐาน ทดสอบ และวัดผล สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วตามผลลัพธ์ที่ได้ตลอดเวลา เพื่อการสื่อสารกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต้องวิเคราะข้อมูลความต้องการ พฤติกรรม และความสนใจของลูกค้า แล้วแปลง Insights data เหล่านั้น เป็นการคาดเดาความต้องการของลูกค้าในอนาคต ไม่ใช่แค่ทำความเข้าใจข้อมูลในอดีตหรือปัจจุบันเท่านั้นค่ะ
ดังนั้น Marketing Science จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงค่ะ แทนที่จะใช้การคาดเดา ซึ่งจะทำให้การทำตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์อีกด้วยค่ะ
อย่างที่บอกไปว่าหนึ่งข้อได้เปรียบของการใช้ Marketing Science คือความสามารถในการคาดการณ์แนวโน้มของลูกค้าในอนาคต ใช้ข้อมูลที่มีอยู่มาสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์ว่าลูกค้าจะมีพฤติกรรมอย่างไรในอนาคต เช่นลูกค้าคนไหนมีแนวโน้มจะซื้อสินค้าเพิ่มจากสินค้าที่เคยซื้อ ลูกค้าคนไหนที่อาจจะเลิกใช้บริการ เราอาจส่งข้อเสนอพิเศษเพื่อลดอัตราการสูญเสียลูกค้า (Churn Rate) เป็นต้นค่ะ
เพราะฉะนั้น Marketing Science จึงไม่ใช่แค่การวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต แต่เป็นการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างกลยุทธ์เชิงรุก และช่วยให้นักการตลาดสามารถพัฒนาแคมเปญที่มีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเองค่ะ
แนะนำกลยุทธ์ ToP สำหรับการทำ Performance Creative Campaign
การทำ Performance Creative Campaign ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่การนำเสนอคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจเท่านั้น แต่ต้องมีโครงสร้างและวัดผลได้จริง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกการลงทุนเงินไปให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าค่ะ
ดังนั้น TWF Agency จึงพัฒนา Triangle of Performance (ToP) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่รวม 3 องค์ประกอบหลักเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน ให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำ กระตุ้นให้เกิด Action และวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อนำไปปรับปรุงต่อเนื่องอีกด้วยค่ะ
Media Efficiency การเข้าถึงลูกค้าให้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา : ปัจจุบันที่มีโฆษณามากมายการเลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมจึงเป็นหัวใจสำคัญของ Media Efficiency เพราะการส่งสารที่ผิดคน ผิดเวลา ผิดช่องทาง อาจทำให้เสียทั้งงบประมาณและโอกาสทางธุรกิจค่ะ
Creativity Driving Action ความคิดสร้างสรรค์ที่กระตุ้นให้เกิดการลงมือทำ : ในโลกของ Performance Creative Campaign โฆษณาน่าสนใจอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องสามารถกระตุ้นให้เกิด Action ได้จริงด้วย
Insightful Data & Measurable Result การใช้และเก็บข้อมูลเพื่อวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจน : เพราะ Data คืออาวุธลับของ Performance Creative Campaign เพราะการตลาดที่ไม่มีข้อมูลรองรับก็คือการลงทุนที่ไม่มีทิศทาง ดังนั้นการใช้และเก็บ Data ตั้งแต่ต้นจนจบถึงผลลัพท์ที่วัดได้จึงจำเป็นมาก ๆ ค่ะ
และเมื่อนำทั้งสามองค์ประกอบของ Triangle of Performance (ToP) มารวมกัน จะทำให้แบรนด์สามารถสร้าง Performance Creative Campaign ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดทั้ง
เข้าถึง : สร้าง Media Strategy and Execution ที่ทำให้ลูกค้าถูกคนเห็นโฆษณาในเวลาที่เหมาะสม
มี Action : ใช้ Creativity และ Storytelling กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจ
วัดผลได้ : ใช้ Data Analytics และ Performance Tracking เพื่อพัฒนาแคมเปญต่อเนื่อง
การสร้าง Personalized Advertising ที่ผสมผสานเชื่อมโยงกับ Creativity คือหัวใจสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของการสร้าง Storytelling ให้กับแบรนด์ในการถ่ายทอดเรื่องราวที่เข้าถึงและตรงใจลูกค้า พร้อมกับใช้ Data เข้ามาช่วยวิเคราะห์ ไม่ว่าจะข้อมูลของแบรนด์, ข้อมูลของลูกค้า หรือเทรนด์การตลาดภาพรวม เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าจนนำไปสู่ Action ที่ต้องการได้
เพราะการตลาดในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องของการคาดเดาหรือการสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความคิดสร้างสรรค์ที่มีเป้าหมายชัดเจน ซึ่ง ToP นี้สามารถสรุปออกมาเป็นสามแกนหลักสำคัญในการทำ Performance Creative Campaign ได้แก่ ‘เข้าถึง มี Action วัดผลได้’ นั่นเองค่ะ
บทสรุปว่า แล้วทำไม Performance Creative Campaign จึงเป็นหนทางการเติบโตที่แท้จริงของการทำตลาด (The Way Forward)
ปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายสำหรับแบรนด์และนักการตลาด ทั้งคู่แข่งเก่าและคู่ใหม่ที่พร้อมจะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด แล้วในขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้ลูกค้ามีช่องทางและตัวเลือกมากขึ้น พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่สินค้าและบริการที่ดีแต่ยังต้องการประสบการณ์ที่ตรงใจและคุ้มค่าที่สุดอีกด้วยค่ะ
นอกจากนี้ สิ่งที่นักการตลาดต้องเผชิญอีกอย่างหนึ่งคือ ปริมาณคอนเทนต์ที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลในแต่ละวันทำให้แบรนด์ต้องหากลยุทธ์ที่สามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าและกระตุ้นให้เกิด Action ได้จริง การทำตลาดในยุคนี้จึงต้องอาศัยมากกว่าแค่การสร้างการรับรู้ (Awareness) แต่ต้องสามารถเปลี่ยนผู้ที่เห็นโฆษณาให้กลายเป็นลูกค้า (Conversion) และต่อยอดไปสู่การเติบโตของธุรกิจได้ค่ะ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ TWF Agency เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ กำเนิดเป็น ‘TWF: The Way Forward’ เส้นทางการทำงานครั้งใหม่ในฐานะ ‘Performance Creative Agency’ ที่ทุกงานทุกแคมเปญจะต้อง ‘เข้าถึง มี Action วัดผลได้’ เชื่อมต่อเป็นเหมือนรูปสามเหลี่ยมที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
โดยรวมพลัง Media Efficiency เข้ากับ Creativity Driving Action และ Insightful Data with Measurable Results หัวใจการทำงานที่มุ่งเน้นผลลัพธ์และการเติบโตที่แท้จริงของลูกค้า รวมถึงถึงเป็นการเติบโตที่ก้าวข้ามไปอีกขั้นของ TWF Agency อีกด้วย
หากคุณกำลังมองหาวิธีการทำตลาดที่สามารถ รักษาลูกค้าเก่า ขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อยากให้มาร่วมสร้างแคมเปญการตลาดที่ขับเคลื่อนผลลัพธ์และเติบโตธุรกิจของคุณกับ TWF: Performance Creative Agency ที่พร้อมพาธุรกิจคุณไปข้างหน้า ใครที่กำลังมองหาการเติบโตแบบวัดผลได้ เพื่อรักษาลูกค้าเก่าและสร้างยอดขายจากลูกค้าใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ติดต่อได้ที่ [email protected] / www.twfagency.com
อ่านบทความการตลาดเพิ่มเติมได้เลยค่ะ