4 Key Thai Music Trends เมื่อคนไทยฟังเพลงมากกว่าเล่นโซเชียล

ถ้าพูดถึงวงการเพลง หลายคนอาจเคยได้ยินว่ามันถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือเปล่า? แต่ขอให้คิดใหม่ค่ะ เพราะตอนนี้เทรนด์วงการเพลงไทย (Thai Music Trends) ไม่ได้อยู่ในช่วงขาลง แต่กำลังพุ่งทะยานอย่างเหลือเชื่อ แทนที่จะเป็นอุตสาหกรรมแบบ ‘Sunset’ อย่างที่บางคนกังวล แต่กำลังจะกลายเป็น ‘Sunrise’ ที่เปล่งประกายขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ

แล้วอะไรเป็นตัวจุดประกายให้เพลงไทยกลับมาบูมอีกครั้ง? คำตอบอยู่ที่ Digital Streaming ค่ะ พฤติกรรมผู้ฟังเปลี่ยนเร็ว เทคโนโลยีล้ำขึ้นทุกวัน ทำให้เพลงไทยเข้าถึงคนทั่วโลกได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคย และที่สำคัญคือ นี่ไม่ใช่เรื่องของแค่วงการเพลง แต่เป็นเทรนด์ที่ แบรนด์ต่าง ๆ ก็ต้องจับตาดูให้ดี

วันนี้เรามีข้อมูลจาก GMM MUSIC มาอัปเดตให้ทุกคนได้รู้กันค่ะ ใครที่ยังคิดว่านี่เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ขอบอกเลยว่า ถ้าแบรนด์พลาดเรื่องนี้ไป คุณอาจกำลังตกขบวนการตลาดครั้งใหญ่แบบไม่รู้ตัว

ลองนึกย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน เวลาเราฟังเพลงต้องพึ่งแผ่นซีดี วิทยุ หรือการโหลดไฟล์ MP3 ทีละเพลงใช่ไหมคะ แต่ทุกวันนี้ เพลงไทยสามารถเข้าถึงผู้ฟังทั่วโลกได้ในพริบตาผ่าน Streaming Platforms ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวกสบาย แต่มันเป็นตัวเร่งที่ทำให้วงการเพลงไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในแง่ของรายได้และโอกาสในการก้าวสู่ระดับสากลค่ะ

Thai Music Trends

ปี 2023 รายได้จากอุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโต 16% จากปีก่อน และ 88% ของการเติบโตนี้มาจาก Digital Streaming เพราะงั้นนี่ไม่ใช่แค่แนวโน้มชั่วคราว แต่มันสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมการเสพดนตรีของผู้บริโภคค่ะ

สังเกตไหมคะ เมื่อก่อนเวลาที่ศิลปินไทยอยากให้เพลงของตัวเองเป็นที่รู้จักในระดับโลก พวกเขาต้องพึ่งพาค่ายเพลงใหญ่ หรือทุ่มงบมหาศาลเพื่อทำตลาดในต่างประเทศ แต่วันนี้ ไม่ต้องแล้วค่ะ เพราะแค่ปล่อยเพลงลง Streaming Platforms อย่าง Spotify, Apple Music หรือ YouTube Music ก็สามารถไต่ขึ้นชาร์ตระดับโลกได้ภายในไม่กี่วัน

การฟังเพลงผ่าน Streaming ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” แต่มันกลายเป็นพฤติกรรมหลักของผู้ฟังยุคใหม่แล้วค่ะ ในปี 2023 จำนวนผู้ใช้ Music Streaming ในไทยแตะ 3 ล้านคน เติบโตขึ้น 26% จากปีก่อน และที่สำคัญ Digital Streaming ยังเป็นตัวเร่งให้ตลาดเพลงทั่วโลกขยายตัว คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 มูลค่าตลาดอุตสาหกรรมเพลงจะโตขึ้น 3 เท่าเลยทีเดียว

นี่แสดงให้เห็นว่าดนตรีไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในประเทศอีกต่อไปค่ะ แต่สามารถกระจายไปทั่วโลกผ่าน Digital Streaming ที่ทั้งเร็ว ง่าย และไร้พรมแดน

เมื่อก่อนหลายคนอาจลังเลที่จะจ่ายเงินเพื่อฟังเพลง แต่พฤติกรรมนี้เปลี่ยนไปแล้วค่ะ ทุกวันนี้คนมองว่า ความสะดวกสบายและคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ยอดสมาชิก YouTube Premium ในไทยเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 99 บาท เป็น 179 บาท และยังมีโอกาสโตได้อีก 3 เท่า หากเทียบกับตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว

Thai Music Trends

อย่างไรก็ตาม Subscription Penetration ของไทยยังคงต่ำมากค่ะ ในปี 2023 อยู่ที่ 3.2% เท่านั้น แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4 เท่าเป็น 11% ภายในปี 2030 และถ้าเทียบกับประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี (ที่มี penetration อยู่ที่ 25%) หรือสหรัฐฯ และสวีเดน (ที่แตะ 45%) ไทยยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมาก

นี่เป็นสัญญาณว่าผู้ใช้ไม่ได้ต้องการแค่ฟังเพลงฟรีแล้วค่ะ แต่ต้องการประสบการณ์ที่ “พรีเมียม” ทั้งคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น ไม่มีโฆษณาคั่น และการเข้าถึงคอนเทนต์พิเศษที่คนทั่วไปไม่มีโอกาสดู

ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลในวงการเพลงตอนนี้ ไม่ใช่แค่ ยอดวิว หรือยอดสตรีม นะคะ แต่คือ Music IP หรือ ทรัพย์สินทางปัญญาของเพลง ยิ่งมีมาก ยิ่งสร้างรายได้ได้แบบไม่มีวันหมดค่ะ!

ศิลปินหรือค่ายเพลงที่มี Music IP จำนวนมาก จะได้เปรียบอย่างมาก เพราะสามารถทำเงินได้จากหลายช่องทาง เช่น

  • การให้ลิขสิทธิ์เพลงไปใช้ในโฆษณา ภาพยนตร์ หรือวิดีโอเกม
  • การ Remix Rearrange หรือทำเวอร์ชันใหม่ของเพลงเก่า
  • คอนเสิร์ตออนไลน์ และ Podcast ที่ใช้เพลงเป็นองค์ประกอบหลัก

Music IP คือ “สินทรัพย์” ที่มีมูลค่าไม่รู้จบค่ะ ค่ายเพลงหรือศิลปินที่มีคลังเพลงขนาดใหญ่ จะมีรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว โดยไม่ต้องพึ่งพาแค่เพลงใหม่ ๆ อย่างเดียว

หลายคนอาจคิดว่าโซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่คนใช้เวลามากที่สุด แต่รู้ไหมคะว่า คนไทยฟังเพลงมากกว่าการเล่นโซเชียลเสียอีก!

จากผลสำรวจของ Luminate Music Consumption Study ปี 2023 พบว่า 75% ของคนไทยฟังเพลงเป็นกิจกรรมความบันเทิงหลัก มากกว่าการดูคลิปสั้น (60%) หรือเล่นโซเชียลมีเดีย (56%)

Thai Music Trends

เพลงจึงกลายเป็น Evergreen Content ที่ไม่มีวันตายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเพลงใหม่ เพลงเก่า หรือเพลงไทย ล้วนมีเสน่ห์ที่ทำให้คนฟังซ้ำ ๆ ได้แบบไม่มีเบื่อ และที่น่าสนใจคือ คนไทย 87% ยังคงชอบดู MV มากกว่าฟังเฉพาะเสียงเพลง

แล้วอะไรทำให้เพลงฮิตอยู่ได้ข้ามยุค?

  • เพลงคือเพื่อนในทุกช่วงเวลา – ไม่ว่าจะสุข เศร้า เหงา หรือสนุกสนาน เพลงคือสิ่งที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ
  • คุณค่าทางใจที่เหนือกาลเวลา – บางเพลงกลายเป็นความทรงจำร่วมของคนทั้งรุ่น เช่น เพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย Bodyslam หรือ Palmy ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ก็ยังร้องตามกันได้
  • แพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยเสริมพลัง – TikTok, YouTube Shorts และ Reels ทำให้เพลงเก่ากลับมาฮิตใหม่ได้เสมอ เหมือนที่เราเห็นเพลงยุค 90s หรือ 2000s กลับมาดังในปัจจุบัน
AI image generated by Shutterstock (Prompt : A cinematic shot of a young woman in a cozy sweater, wearing large over-ear headphones, dancing freely in her bedroom, fairy lights glowing softly, an expression of pure happiness on her face, warm and intimate atmosphere, cinematic composition)

ดนตรีไม่เคยตายค่ะ และมันกำลังกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่แบรนด์ต่าง ๆ ไม่ควรมองข้าม

  1. สร้าง Branded Playlist ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เช่น เพลย์ลิสต์สำหรับขับรถ ออกกำลังกาย หรือดื่มกาแฟ แล้วโปรโมทผ่านโซเชียล หรือร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ให้ช่วยแชร์ เพื่อให้เพลย์ลิสต์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า
  2. ทำ Music-driven Campaign เช่น จัด TikTok Challenge โดยใช้เพลงที่กำลังเป็นกระแส หรือเลือกเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ (Signature Sound) ใส่ในคอนเทนต์โฆษณา เพื่อสร้างการจดจำ เช่น เสียงเปิดแอปพลิเคชัน เสียงแจ้งเตือน หรือเสียงที่ฟังแล้วรู้ทันทีว่าเป็นแบรนด์คุณ
  3. ใช้ Nostalgia Marketing นำเพลงเก่ามาสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ เช่น ใส่ในโฆษณา รีมิกซ์เพลงฮิต หรือทำแคมเปญธีมย้อนยุค ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพันกับแบรนด์ผ่านความทรงจำที่มีร่วมกับเพลงนั้น
  4. พิจารณาโมเดล Subscription เช่น ให้สมาชิกได้รับเพลย์ลิสต์พิเศษ สิทธิ์เข้าถึงอีเวนต์ทางดนตรี หรือโปรโมชั่นพิเศษที่เชื่อมโยงกับศิลปิน เพื่อสร้างความภักดีและทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ของแบรนด์
  5. ร่วมมือกับศิลปิน หรือใช้ Music IP เช่น คอลแลบกับศิลปินเพื่อออกสินค้าพิเศษ หรือสนับสนุนการปล่อยเพลงใหม่ โดยอาจไม่มีการกล่าวถึงแบรนด์โดยตรง แต่ใช้วิธีโปรโมทร่วมกันผ่านกิจกรรม แคมเปญโฆษณา หรือการจัดอีเวนต์ เพื่อให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มแฟนเพลงของศิลปินได้อย่างแนบเนียน

แบรนด์ที่ใช้พลังของดนตรีได้ดี ไม่เพียงแต่สร้างความจดจำ แต่ยังเข้าถึงอารมณ์ของผู้บริโภคได้ลึกขึ้น นี่คือโอกาสที่ไม่ควรพลาดค่ะ

จากทั้งหมดที่กล่าวมา ผู้เขียนเชื่อว่าอุตสาหกรรมเพลงไทยกำลังอยู่ในช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุดค่ะ และไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของศิลปินหรือค่ายเพลงอีกต่อไป แต่มันคือโอกาสมหาศาลสำหรับแบรนด์ นักการตลาด และธุรกิจที่ต้องการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคผ่านพลังของดนตรี

เพราะในโลกที่ผู้บริโภคถูกถาโถมด้วยโฆษณาและคอนเทนต์มากมายทุกวัน ดนตรีคือสื่อที่สามารถเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของพวกเขาได้ลึกซึ้งกว่าสิ่งใด ทั้งสร้างความทรงจำ กระตุ้นอารมณ์ และที่สำคัญคือ อยู่กับผู้คนทุกที่ ทุกเวลา

ดังนั้น แบรนด์ที่สามารถใช้ดนตรีให้เป็นมากกว่าพื้นหลังของโฆษณา ให้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผู้บริโภคอยากจดจำ จะเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างแท้จริงค่ะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ :0)

อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่

โอปอ Marketing Content Creator ของการตลาดวันละตอน ⋆˚✿˖° ดีใจที่ได้แชร์เรื่องราวกับทุกคนค่ะ อย่าลืมยิ้มให้ตัวเองทุกวัน และฝากติดตามบทความต่อไปด้วยนะคะ ( 。•ㅅ•。)~✧

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *