สรุป 7 เทคนิค การทำ SEO ยุคใหม่ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง By ANGA

สวัสดีครับเพื่อน ๆ นักการตลาดและผู้อ่านทุกคน ทางเพจการตลาดวันละตอนได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำ SEO ยุคใหม่ ต้องบอกเลยว่ามีหัวข้อที่น่าสนใจหลายประเด็นเลยทีเดียว ในบทความนี้จะขอพูดถึงประเด็นการทำ SEO อย่างไรให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน โดย Session นี้ผู้ที่มาแชร์ความรู้คือ คุณรัชวิทย์ หวังพัฒนธน CEO & Managing Director ANGA Bangkok Agency ในงาน MITCON2024 จะมีเนื้อหาที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์อะไรบ้าง เรามาติดตามไปพร้อม ๆ กันเลยครับ

ในปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการใช้ Google เป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย รวมไปถึงเทคโนโลยีและ AI อย่าง ChatGPT หรือระบบการค้นหาที่ฉลาดมากขึ้นก็เข้ามามีบทบาทเช่นกัน ดังนั้นการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับและเป็นที่รู้จักจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องด้วยเหมือนกัน

การทำ SEO

ต้องบอกว่าในทุกวินาทีที่ผ่านไป มีคนค้นหาสิ่งต่าง ๆ ผ่าน Google มากกว่า 10,000 ครั้งทั่วโลก โดย 60% ของการค้นหามาจากมือถือ และถึงจะมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เข้ามา อย่างเช่น ChatGPT หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ Google ก็ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดในด้านการค้นหาเกือบ 97.31% ในประเทศไทย

แต่ละเจเนอเรชั่นมีพฤติกรรมการค้นหาที่แตกต่างกัน เบบี้บูมเมอร์อาจยังคงใช้ Google เป็นหลัก ในขณะที่ Gen Yและ Gen Z เริ่มหันมาใช้โซเชียลมีเดียและ AI ในการค้นหามากขึ้น เช่นการใช้ TikTok หรือ AI ในการหาคำตอบ ดังนั้นการปรับกลยุทธ์ SEO จึงต้องพิจารณาพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้ในแต่ละเจเนอเรชั่นด้วยเหมือนกัน

SEO ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ในการทำให้เว็บไซต์ติดอันบน Google และแพลตฟอร์มอื่น ๆ แต่การทำ SEO ในยุคนี้ต้องปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มใหม่ จากการอัปเดตอัลกอริทึมของ Google, การเปลี่ยนแปลงในวิธีการค้นหาด้วย AI และความนิยมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เพิ่มมากขึ้น

การทำ SEO

SEO ในปัจจุบันต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอัลกอริธึมในเครื่องมือค้นหา โดยการทำ ASEO (Adaptive SEO) ที่เน้นการปรับตัวและความยืดหยุ่น มุ่งเน้นการสร้างเว็บไซต์เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่ผู้ใช้งานเท่านั้น แต่รวมถึง AI เช่น Google Search, GPT และ Gemini ที่จะเข้ามามีบทบาทในการค้นหาในอนาคตด้วยgเช่น ซึ่งประกอบด้วย 7 วิธีคือ

#1 Technical SEO การปรับแต่งเว็บไซต์ทางเทคนิค

Technical SEO เป็นการปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ การทำให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้ดีบนมือถือ (Mobile-Friendly) และการลดปัญหา 404 หรือหน้าที่โหลดไม่ขึ้น ซึ่งปัญหาเชิงเทคนิคเหล่านี้มักจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับยากขึ้น ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์บางธุรกิจมีคอนเทนต์ที่ดีมาก แต่มีปัญหาทางเทคนิคทำให้ Google ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ ส่งผลให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดี

การทำ SEO

ดังนั้น จึงควรทำการตรวจสอบเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาทางเทคนิคที่ซ่อนอยู่ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำ SEO ได้นั่นเอง

#2 SXO (Search Experience Optimization) การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้

การทำ SXO คือการพัฒนาเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีเมื่อเข้าชมเว็บไซต์ ยิ่งผู้ใช้เข้ามาและใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานเท่าไหร่ Google ก็จะยิ่งเห็นว่าเว็บไซต์ของนั้นเป็นที่สนใจและมีคุณภาพ เช่น เว็บไซต์ที่ออกแบบให้ใช้งานง่าย มีเนื้อหาที่ชัดเจนและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ จะช่วยเพิ่มเวลาเฉลี่ยของผู้ใช้ในเว็บไซต์ และช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำ SEO

หรือก็คือ หากเว็บไซต์มีการออกแบบที่ดีและมีคอนเทนต์ที่ดึงดูด ผู้ใช้ก็จะอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้น ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสถูก Google มองว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ และติดอันดับได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

#3 Link Building การเชื่อมโยงเว็บไซต์จากภายนอก

การสร้าง Backlinks อย่างมีประสิทธิภาพในการทำ SEO ประเด็นสำคัญคือการเน้นคุณภาพของลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ ลิงก์ที่มีคุณภาพควรมาจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงและมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาโดยตรง ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมการเงิน การได้รับ Backlinks จากเว็บไซต์ข่าวการเงินที่น่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดียิ่งขึ้นในสายตาของ Google

การทำ SEO

หรือ หากเว็บไซต์เป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น การแพทย์ การเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้นจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และทำให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์นั้นเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

#4 External Factors การถูกพูดถึงจากสังคมต่าง ๆ

การทำ SEO

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้คือ การเชื่อมโยงกับสังคมและการถูกพูดถึง เช่น การที่คนค้นหาชื่อเว็บไซต์หรือแบรนด์ของเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี แม้ว่า Google จะไม่ได้จัดอันดับตามการพูดถึงแบรนด์โดยตรง แต่การที่มีคนค้นหาชื่อเรา หรือมีการพูดถึงในแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ได้ เช่น การได้รับการรีวิวที่ดี หรือการมีบทสนทนาเกี่ยวกับแบรนด์ของเรานั่นเอง

#5 Silo (Silo-based Structure)

Silo-based Structure คือการจัดโครงสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มีลำดับชั้นที่ชัดเจน โดยการแบ่งเนื้อหาออกเป็นหมวดหมู่หลัก (Main Category) และหมวดหมู่ย่อย (Subcategory) ทำให้ Google และ AI เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวก

การทำ SEO

ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านศัลยกรรม ก็ต้องแบ่งหมวดหมู่เนื้อหาออกเป็น ศัลยกรรมจมูก, ศัลยกรรมหน้า, ร้อยไหม เป็นต้น โดยแต่ละหมวดหมู่ควรมีหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับวิธีการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเภทการศัลยกรรม เพื่อทำให้เว็บไซต์ดูเป็นแหล่งข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือ

#6 High-Quality Content การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ

ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO เลยก็ว่าได้ ซึ่ง Google และแพลตฟอร์มการค้นหาต่าง ๆ ก็ให้ความสำคัญกับ Content ที่มีคุณภาพ โดยเนื้อหาที่มีคุณภาพต้องสอดคล้องกับโมเดล E-E-A-T ซึ่งประกอบไปด้วย 

  • E – Experience: เนื้อหาควรมาจากผู้เขียนที่มีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่เขียน หรือเคยใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ หรือการรีวิว
  • E – Expertise: ผู้เขียนควรมีความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่เขียน ซึ่งหมายความว่ามีข้อมูลเชิงลึกที่มีหลักการและเหตุผล ที่สามารถอธิบายได้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับ
  • A – Authoritativeness: แหล่งที่มาของเนื้อหาต้องเป็นแหล่งที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น การอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันที่มีชื่อเสียง
  • T – Trustworthiness: เนื้อหาควรมีความถูกต้อง แม่นยำ และอัปเดตล่าสุด โดยต้องตรวจสอบข้อมูลและมั่นใจว่าข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไปมีความน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน

#7 Keyword Research & Intent

Keyword Research เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่มากสำคัญในการทำ SEO ปัจจุบันการเลือกคำค้นหาที่คนใช้บ่อยที่สุดอาจไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ เนื่องจากคำค้นหาบางคำอาจมีการค้นหาสูง แต่ไม่ได้ตรงกับเจตนาที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นจึงต้องทำการวิเคราะห์ Intent ไปพร้อมกัน

Intent แบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งประกอบไปด้วย

  • Informational: คีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้ต้องการหาข้อมูล
  • Navigational: คีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้ค้นหาเพื่อนำทางไปยังเว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง
  • Commercial: คีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้กำลังพิจารณาสินค้าหรือบริการ
  • Transactional: คีย์เวิร์ดที่แสดงถึงความพร้อมในการซื้อ เช่น “ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า” หรือ “เช่ารถยนต์ไฟฟ้า”
  • Local: การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ เช่น “ร้านอาหารใกล้ฉัน”

ตัวอย่าง: คำค้นหาอย่าง “เสื่อโยคะที่ดีที่สุด” ถ้าค้นหาบน Google จะพบว่าเป็นคีย์เวิร์ดให้ข้อมูล มากกว่าการซื้อขายโดยตรง การทำ SEO ต้องไม่ยึดติดกับคีย์เวิร์ดเดิม ๆ ที่อาจไม่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และควรปรับให้เข้ากับการค้นหาที่แท้จริง

การเข้าใจเจตนาของผู้ค้นหาจะช่วยให้ธุรกิจเลือกคำค้นหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และสามารถปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาได้อย่างแม่นยำ 

สรุป

การทำ SEO ในยุคปัจจุบันต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้ใช้ แม้ว่า Google ยังคงเป็นเครื่องมือค้นหาหลัก แต่การเข้ามาของ AI และโซเชียลมีเดียก็มีผลต่อการค้นหาเช่นกัน การทำ ASEO (Adaptive SEO) จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามรถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ การปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้นั่นเองครับ

อ่านบทความเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่

Marketing Content Creator and Data Insight Researcher

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *