เรียนการตลาดจาก Netflix ถอด 6 Marketing Strategy จากซีรีส์ The Playbook – A Coach’s Rules for Life เมื่อกฏชีวิตพิชิตทุกสนามของ José Mourinho สามารถใช้พิชิตการตลาดและธุรกิจได้ไม่ยาก
วันก่อนผมมีโอกาสได้ดู Documentary ชุดใหม่ทาง Netflix ที่ชื่อว่า The Playbook – A Coach’s Rules for Life หรือชื่อไทยคือ กฏชีวิตพิชิตทุกสนาม เป็นเรื่องราวของโค้ชคนดังสำคัญของโลกมากมายในกีฬาหลากหลายสาขา และหนึ่งในสาขาที่ผมคุ้นเคยที่สุดก็คงหนีไม่พ้นฟุตบอล และนั่นก็ทำให้ผมเลือกข้ามมาดูกฏของ José Mourinho ก่อนโค้ชคนอื่น และก็ทำให้ได้รู้จักกับกฏทั้ง 6 ข้อที่สามารถเอามาประยุกต์กับการตลาดได้อย่างน่าสนใจจนทำให้อยากเอามาเล่าให้เพื่อนๆ ในการตลาดวันละตอนได้ลองฟังเผื่อจะสนใจไปหาดูกันครับ
José Mourinho โค้ชคุมทีมฟุตบอลชื่อดังก้องโลกที่พาทีมที่ตัวเองคุมคว้าแชมป์ทั้งลีกสูงสุดในประเทศ และลีกสูงสุดของยุโรปได้มากถึง 4 ประเทศต่อเนื่องตลอดอายุงานกว่าสิบปีที่ผ่านมา เริ่มจากทีมม้ารองบ่อนอย่าง Porto ที่พลิกจากทีมแย่ๆ ให้กลายมาได้แชมป์สูงสุดในประเทศและของยุโรป จากนั้นก็พาทีม Chelsea มาสู่ความยิ่งใหญ่ได้แชมป์ลีกอังกฤษสองสมัยติด บวกกับได้แชมป์ถ้วยสูงสุดของยุโรปตามมา แล้วก็ไปต่อกับทีมอินเตอร์มิลานที่ประเทศอิตาลี สุดท้ายของซีรีส์นี้คือการไปสร้างตำนานให้กับ Real Madrid ได้แชมป์เหนือแชมป์จาก Bacelona ถือว่าเป็นผลงานที่สุดของที่สุดที่โค้ชฟุตบอลคนไหนวาดฝันว่าอยากทำได้
ลองมาดูกันนะครับว่า The Playbook ของ José Mourinho ที่มาพร้อมกับกฏ 6 ข้อของชีวิตเพื่อพิชิตทุกสนาม จะสามารถเอามาพลิกแพลงใช้กับโลกธุรกิจและการตลาดอย่างเราได้อย่างไร
ถอดรหัส 6 Marketing Strategy จาก The Playbook ของ José Mourinho
Rule No.1 Understand your audience เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ
José Mourinho บอกว่าตอนที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง Head Coach ของทีม Porto ครั้งแรกตอนนั้นทีมฟุตบอลนี้อยู่ในสภาพย่ำแย่มาก แฟนบอลที่เป็นชาวเมือง Porto ถอดใจออกห่างไปเรื่อยๆ ซึ่งตัวเขาเองก็ต้องหาทางแก้เรื่องนี้เพื่อไม่ให้แฟนบอลเอาใจออกห่าง ที่สำคัญคือต้องทำให้แฟนบอลชาวเมืองกลับมาศรัทธาในทีมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
José Mourinho เลยไปทำความเข้าใจชาวเมืองถึงคาแรคเตอร์บางอย่างที่แตกต่างจากเมืองอื่น นั่นก็คือชาวเมืองนี้เป็นชนชั้นแรงงานทำงานหนัก เรียกได้ว่าทำงานหนักจนอาบเหงื่อต่างน้ำ ดังนั้นการจะทำให้ชาวเมืองให้ใจกลับคืนมาก็คือต้องทำให้ชาวเมืองเห็นว่านักฟุตบอลทีม Porto ของพวกเขานั้นทุ่มเทอย่างหนักในการเล่นแต่ละนัดเช่นกัน
เมื่อกลยุทธ์ในการได้ใจของแฟนบอลกลับมาคือการให้เห็นว่านักบอลเราทุ่มเทอย่างหนักในทุกนัด ก็เลยนำมาสู่ Strategy ถัดมานั่นก็คือการเลือกนักบอลไร้ชื่อแต่ฝีเท้าดีที่สำคัญต้องเป็นชาวเมือง Porto ด้วยครับ
เพราะถ้าได้นักเตะฝีเท้าดีดาวรุ่งจากนอกเมืองมา คนเหล่านี้อาจจะทุ่มเทเพื่อแค่ให้ตัวเองดังแล้วก็ไป แต่ถ้าเขาได้คนที่ฝีเท้าดีที่รู้สึกว่าตัวเองต้องการโอกาส แล้วเมื่อได้โอกาสจากสโมสรประจำเมืองอย่าง Porto มีหรือที่จะไม่รีบตะครุบคว้าโอกาสนั้นไว้
เพราะ José Mourinho มองเกมขาดอย่างมั่นใจว่าถ้านักเตะฝีเท้าดีดาวรุ่งเหล่านี้เป็นชาวเมือง Porto เองโดยกำเนิด ต่อให้ดังและพาทีมประสบความสำเร็จก็ยากยิ่งที่จะยอมจากบ้านเกิดไปได้ง่ายๆ แล้วทั้งหมดนี้ก็ทำให้เขาได้นักเตะฝีเท้าดีที่แสนจะจงรักภักดีต่อเมืองของตัวเอง และหลังจากนั้นไม่นานทีม Porto ก็ไม่ใช่แค่ได้ศรัทธาจากแฟนบอลชาวเมืองกลับคืนมา แต่ยังไปถึงขั้นได้แชมป์ลีกฟุตบอลสูงสุดในประเทศโปรตุเกสอีกด้วยครับ
นักการตลาดหลายคนมักโฟกัสกลุ่มเป้าหมายผิดแต่แรก บอกว่าอยากได้ทุกคนเป็นลูกค้า แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ทุกคนจะเป็นลูกค้าของคุณได้ ถ้า José Mourinho เลือกโฟกัสที่แฟนบอลทั่วประเทศโปรตุเกส ป่านนี้ทีม Porto คงไม่ได้เกิดและตัวเขาเองก็คงไม่ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ความสำเร็จให้เราฟังในวันนี้ครับ
Rule No.2 If you are prepared for the worst, you are prepared ถ้าคุณพร้อมรับสิ่งที่แย่ที่สุด ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป
José Mourinho บอกว่าตอนเขาพาทีม Porto เข้าไปแข่งชิงแชมป์ถ้วยสโมสรยุโรปอย่าง UEFA Champions League ตอนปี 2003 สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือการได้เจอกับทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปเวลานั้นจากเกาะอังกฤษ ซึ่งก็คือทีม Manchester United ครับ
ทีม Manchester United อยู่ในจุดที่กำลังขาขึ้นและโด่งดังมากที่สุดในยุโรปช่วงเวลานั้น ทาง José Mourinho ก็กลัวว่าทีมจะเป็นกังวลว่าทีมที่ดูหมูที่สุดในยุโรปที่ได้เข้ารอบ Kickoff อย่าง Porto จะเจอ MAN UTD หรือไม่ ด้วยสถานการณ์แบบนี้ทาง José Mourinho เลยเลือกที่จะสร้างบรรยากาศว่าตัวเขาเองอยากเจอทีม MAN UTD ที่สุด
เมื่อเขาเอาแต่พูดตลอดในตอนที่กำลังถ่ายทอดสดการจับฉลาดว่าทีมไหนจะได้เจอกับทีมไหน ตัว José Mourinho เองก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ดังๆ แบบตั้งใจให้นักฟุตบอลทุกคนในตอนนั้นได้ยินว่าตัวเองอยากให้ทีม Porto จับฉลากเจอกับ MAN UTD ที่สุด
เรียกได้ว่าเป็นการบิ๊วให้ทีมกระหายอยากออกศึกใหญ่แทนที่จะเป็นศึกย่อย แต่ก็นั่นแหละครับเมื่อจับมาจริงทีม Porto ก็ได้เจอกับ MAN UTD ตามที่ตั้งใจ แต่สิ่งที่ต่างออกไปมากคือขวัญและกำลังใจของทีม Porto ตอนนั้นดีมาก เพราะทุกคนรู้สึกว่าตัวเองอยากแข่งกับ MAN UTD ที่ถือว่าเป็นที่สุดใจจะขาด ดังนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ตามใจอยากพร้อมออกรบสุดพลังด้วยขวัญกำลังใจเต็มที่ครับ
และก็นั่นแหละครับด้วยความหิวกระหายในชัยชนะของทีมรอง ทำให้ทาง Porto สามารถเอาชนะ MAN UTD ได้ตั้งแต่การแข่งขันในบ้านครั้งแรกด้วยสกอร์ 2-1
ในสถานการณ์เดียวกันกับกฏข้อที่ 2 ก่อนหน้านี้ เมื่อทีม MAN UTD สามารถทำประตูได้ในบ้านของตัวเอง ก็ส่งผลให้ทีม Porto ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่าในเกมฟุตบอลทันที เพราะตามกฏของการแข่งขันถ้วยสโมสรยุโรปคือถ้าการทำประตูเท่ากัน เขาจะดูว่าทีมไหนสามารถทำประตูนอกบ้านได้แล้วยกให้ทีมนั้นเป็นผู้ชนะเลื่อนเข้าสู่อันดับการแข่งขันถัดไปโดยอัตโนมัติ
ดังนั้นไม่แปลกใจเลยถ้า MAN UTD ทำประตูคู่แข่งในบ้านตัวเองได้แล้วจะเล่นอุดเพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ต้น เพราะตอนนี้ MAN UTD เหนือกว่าทั้งในด้านสถานการณ์กติกาการแข่งขัน แล้วไหนจะด้วยนักเตะที่เหนือกว่า บวกกับการได้ขวัญและกำลังใจของการเป็นเจ้าบ้านที่คุ้นสนามและเสียงเชียร์อีกด้วยครับ
ทาง José Mourinho ก็เลยชั่งใจว่าควรจะให้ทีมทุ่มบุกทำประตูตั้งแต่แรกที่โดนทำประตูเลยมั้ย แต่เขาก็เลือกที่จะหยุดรอจนถึงตอนที่แฟนบอลทีม MAN UTD กำลังลุ้นชะล่าใจช่วงปลายเกมเพราะว่าทีมตัวเองกำลังประคองเกมด้วยสกอร์เท่านี้ไปจนหมดเวลา เพื่อจะได้กำชัยชนะแบบสบายๆ
แต่ผลปรากฏว่าในจังหวะและช่วงเวลานั้นเองที่ทีม MAN UTD เอาแต่เล่นอุดอยู่ฝั่งของตัวเอง ส่งผลให้ทีม Porto สามารถเข้ามาเป็นฝ่ายบุกทีม MAN UTD อยู่ได้ตลอดโดยง่ายดาย และจนท้ายที่สุดในนาทีที่ 90 ทาง Porto ก็ได้ลูก Free kick จนทำให้ Porto เองทำประตูได้ในนาทีสุดท้าย จนส่งผลให้ Porto สามารถกลายเป็นแชมป์ทีมฟุตบอลสโมสรยุโรปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากถ้วย UEFA Champions League ในปีนั้นได้ครับ
สรุปได้ว่ากลยุทธ์ข้อนี้ของ José Mourinho คือการรู้เขารู้เรา รู้ว่าเรามีกำลังรบเท่าไหร่ รู้ว่าคู่แข่งในตลาดกำลังอยู่ในจุดไหน แล้วก็เลือกจังหวะที่คู่แข่งเปิดโอกาสให้เราโดยไม่ตั้งใจ ฉวยโอกาสบุกเข้าไปทำประตูมา
Rule No.4 Some Rules Are Meant to be Broken บางจังหวะต้องแหกกฏ
เหมือนครั้งหนึ่งที่ José Mourinho ถูกแบนจากยูฟ่าด้วยการห้ามอยู่ข้างสนาม หรือห้องพักนักเตะเป็นเวลา 2 นัด แต่เนื่องจากนัดถัดไปเป็นนัดสำคัญของทีม Chelsea ตอนนั้นมาก เพราะต้องเจอกับทีมสุดหินอย่าง FC Bayern Munich ซึ่งแน่นอนว่าขวัญกำลังใจของทีมย่อมไม่สู้ดีแน่
แต่ José Mourinho ก็เลือกที่จะแหกกฏที่ถ้าทางยูฟ่าจับได้ย่อมเสี่ยงต่ออนาคตหน้าที่การงานของตัวเองแน่ แต่เมื่อเขาชั่งใจแล้วว่าการแหกกฏแอบไปเจอนักเตะย่อมจะส่งผลต่อทีมอย่างมากในการสร้างขวัญและกำลังใจ เขาเลยเลือกที่จะเข้าไปแอบในห้องพักนักเตะตั้งแต่เช้าตรู่ที่ยังไม่มีใครเข้าไปยังสนามการแข่งขันแห่งนี้ แล้วก็เลือกที่จะแอบอยู่เงียบๆ จนกระทั่งการแข่งขันจบลงจนไม่เหลือใครในสนาม เพื่อไม่ให้มีใครเห็นว่าเขาแอบเข้ามาเจอหน้านักเตะในระหว่างการแข่งขันนั่นเองครับ
และแน่นอนว่าสิ่งที่ José Mourinho ทำก็ทำให้ทีม Chelsea ในวันนั้นมีชัยชนะเหนือ FC Bayern Munich ไปอย่างขาดลอยถึง 4-2 เพราะนักเตะทั้งทีมรู้สึกได้ว่าโค้ชคนนี้ช่างทุมเทเพื่อเราเต็มที่จนไม่อยากทำให้โค้ชผิดหวังนั่นเองครับ
สรุปได้ว่ากลยุทธ์การแหกกฏครั้งนี้ของ José Mourinho ก็สามารถเอามาประยุกต์ใช้กับโลกธุรกิจหรือการตลาดได้ไม่ยาก ขอยกตัวอย่างใกล้ตัวจากประสบการณ์ตัวเองอีกครั้ง ที่ครั้งหนึ่งลูกค้ารายหนึ่งเคยเรียกเอเจนซี่มากมายไปพิชชิ่งเพื่อแข่งขันออกแบบสติกเกอร์ไลน์น่ารัก
แต่เราเลือกที่จะแข่งด้วย Marketing Strategy ของการใช้ Sticker LINE มากกว่าว่าจะเรียกยอดกลับมาหลายสิบล้านให้ลูกค้าที่ลงทุนทำ Sticker LINE กับเราได้อย่างไร
Rule No.5 The Train Doesn’t Stop Twice โอกาสมาให้รีบคว้า เพราะโอกาสหน้าหาได้ยากนัก
เรื่องนี้น่าจะเป็นกลยุทธ์ของการใช้ชีวิตเสียมากกว่า เมื่อโอกาสดีๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้นแล้วมักไม่เกิดซ้ำสองในเรื่องเดิม ย่อมทำให้หลายคนที่ลังเลและรีรอพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับไปได้อย่างน่าเสียดาย เหมือนที่ José Mourinho เลือกคว้าโอกาสขั้นกว่าในวันที่เรียกว่าประสบความสำเร็จสูงสุด
ในวันที่เขาพาทีม Inter Milan คว้าแชมป์ UEFA Champions League ได้ในปีที่สองของการคุมทีม ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเขาได้รับโอกาสอันหาได้ยากยิ่งจากสโมสรชั้นนำของโลกอย่าง Real Madrid ที่ต้องการให้เขาไปคุมทีมเพื่อคว้าแชมป์ลีกสูงสุดจากสุดยอดทีม Bacelona ในเวลานั้น และเมื่อ José Mourinho รู้แบบนี้ก็ตัดสินใจในแทบจะทันทีว่าเขาจะต้องไม่พลาดโอกาสสูงสุดในชีวิตนี้เป็นแน่ครับ
ในวันที่ทีม Inter Milan คว้าแชมป์ที่ว่า ตัวเลือกที่จะไม่ร่วมกลับรถบัสไปฉลองกับทีมเพราะกลัวว่าจะตัดใจจากทีมนี้ไม่ได้ ทีม Inter Milan ที่ในตอนนี้เขารักเปรียบเสมือนครอบครัวอย่างมาก ทั้งการทำงานที่เข้าขากันของนักบอลทุกคนในทีมกับตัวเขา แต่เขาก็เลือกที่จะออกไปคว้าโอกาสอันยิ่งใหญ่ในชีวิตครั้งใหม่ไว้ เพราะเขารู้สึกได้ทันทีว่าโอกาสแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สองง่ายๆ ในชีวิตแน่ๆ
การจากทีม Inter Milan ไปอย่างกระทันหันของ José Mourinho ทำให้ทุกคนล้วนช็อคและแปลกใจ เมื่อวันถัดมาหลังจากคว้าแชมป์เขาไปประกาศตัวแถลงข่าวกับทางสโมสร Real Madrid ว่าตอนนี้เขาพร้อมจะทำให้ Real Madrid คว้าแชมป์ลีกมาจาก Bacelona แล้ว
Rule No.6 Don’t Coach the Player Coach the Team ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร จงมองในภาพรวมไม่ใช่คนๆ เดียว
Business Strategy ข้อสุดท้ายนี้มาจากวิธีการโค้ชทีมของ José Mourinho เขาบอกว่าเขาไม่เคยโค้ชว่านักบอลคนไหนต้องเล่นบอลอย่างไร ต้องวิ่งให้เร็วขึ้นมั้ย หรือต้องยิงฟรีคิกให้แม่นขึ้นอีกหน่อย แต่สิ่งที่ José Mourinho ทำคือการโค้ชทั้งทีมไม่ใช่แค่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เขาจะไม่บอกให้ใครต้องเล่นบอลอย่างไร แต่จะดูว่าใครเล่นบอลแบบไหน แล้วควรเอาคนนี้ไปวางไว้ตรงไหนในเกมครับ
ครั้งหนึ่งในนัดชิงรอบสำคัญระหว่าง Real Madrid กับ Bacelona เขาพบว่าปีกซ้ายของทีมตรงข้ามนั้นมีสไตล์การรุกที่หนักหน่วงตลอดเกม 90 นาที และด้วยตำแหน่งปีกซ้ายนั้นก็จะไปตรงกับ Cristiano Ronaldo ปีกขวาหมายเลข 7 ซึ่ง José Mourinho ก็มองว่าถ้าปล่อยให้ Cristiano Ronaldo เล่นตำแหน่งปีกขวาก็จะทำให้โรนัลโดไม่สามารถเฉิดฉายในเกมนี้จนทำให้ Real Madrid ได้เปรียบได้แน่ๆ
เพราะเขามองออกว่า Cristiano Ronaldo จะต้องวิ่งไล่ตามไล่กวดปีกซ้าย Bacelona คนนั้นตลอดเกมจนหมดแรงไม่เหลือแรงแผลงฤทธิ์ เขาเลยเลือกวาง Cristiano Ronaldo ไว้เป็นกองหน้าสูงสุดเพียงคนเดียว เพื่อให้โอกาสได้แผงฤทธิ์โชว์ฝีไม้ลายมือแบบสุดๆ ครับ
และผลสุดท้าย Cristiano Ronaldo ก็ทำประตูได้อย่างที่ตั้งใจ ส่งผลให้ Real Madrid คว้าแชมป์เอาชนะ Bacelona ตามเป้าหมายที่ตัวเองและสโมสรต้องการในที่สุด
สรุปได้ว่าผู้บริหารที่ดีควรมี Human Strategy เหมือนที่ José Mourinho ทำ คือเลือกวางตำแหน่งคนให้เหมาะสมกับความสามารถ เพื่อที่จะกระตุ้นให้เขาคนนั้นได้แสดงความสามารถที่จะทำให้ทีมหรือองค์กรชนะคู่แข่งได้ในที่สุด