3 ตลาดของ Digital Health ไทย 2025 โตจริง แต่โตไม่เท่ากัน

ทุกวันนี้ “สุขภาพ” ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในโรงพยาบาลหรือคลินิกอีกแล้วค่ะ แต่ย้ายมาอยู่บนมือถือและข้อมือเราเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นแอปสุขภาพที่ใช้ทุกวัน การเช็กอาการป่วยบน Google หรือแม้แต่ smart watch ที่ใส่ไปไหนมาไหน

ทั้งหมดนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลในไทย ข้อมูล Digital trend ล่าสุด (ก.พ. 2025) จาก We are social และ Meltwater ทำให้เราเห็นชัดว่า คนไทยหันมาใช้ Digital Health, Fitness และ Wellbeing มากขึ้น แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ แต่ละหมวดเติบโต “ไม่เหมือนกันเลย”

ไหนใครเคยป่วยออด ๆ แอด ๆ แล้วถาม Google บ้างคะ? จากรายงาน We Are Social เกือบ 9 ใน 10 ของคนไทย (89.1%) ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อหาวิธีรักษาอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะไปหาหมอจริง เรียกได้ว่า Online Resources กลายเป็น “หมอประจำบ้าน” ของใครหลาย ๆ คนไปแล้ว

นอกจากนี้ยังมี 20.6% ที่ใช้แอปสุขภาพหรือฟิตเนส และ 20.4% ที่ใส่ smart watch อย่าง Apple Watch อยู่ทุกวัน ขณะที่ smart wristband อย่าง Fitbit มีผู้ใช้เพียง 5.8% เท่านั้น

แล้วนี่บอกอะไรกับเราล่ะ? คนไทยเลือกใช้ดิจิทัลเพื่อสุขภาพจริง แต่โฟกัสหนักไปที่ “การหาข้อมูลฟรี” และยังสะท้อนว่าตลาดไทย “ข้ามขั้น” wristband ไป smart watch ทันที

ขอบคุณภาพจาก Apple

Smart watch จึงกำลังกลายเป็นเครื่องมือสุขภาพเต็มตัว วัดได้ทั้งชีพจร การนอน หรือแม้กระทั่งคลื่นหัวใจ (ECG) สอดคล้องกับเทรนด์ wearable & medical wearables ในเอเชียแปซิฟิกที่โตแรงถึง 28% ต่อปี (2024–2030) โอปอว่า อนาคต smartwatch อาจกลายเป็นหมอพกพาที่ทุกคนมีติดตัวก็เป็นได้ค่ะ

ถ้าจะให้เล่าภาพง่าย ๆ ว่า Digital Health Treatment & Care คืออะไร ก็คือการเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็น “ตัวช่วยจริง” ในการรักษาและดูแลสุขภาพ ที่บริการที่เข้าไปแตะการแพทย์จริง ๆ เช่น 

  • การคุยกับหมอผ่านวิดีโอคอล (Telehealth)
  • แอปรักษาโรคเรื้อรังที่ผ่านการทดลองจริง (Digital Therapeutics: DTx)
  • การใช้สมาร์ตวอทช์/เซนเซอร์วัดค่าต่าง ๆ แล้วส่งให้หมอติดตามจากระยะไกล (Remote Patient Monitoring: RPM)

พูดง่าย ๆ ก็คือ “ให้หมอมาอยู่ในมือเรา” โดยไม่ต้องเดินเข้ารพ.บ่อย ๆ ค่ะ (Source: [1],[2],[3])

พอมาดูในไทย ตอนนี้มีผู้ใช้งานกลุ่มนี้อยู่ที่ 8.91 ล้านคน (+5.8% YoY) ถึงจะไม่เยอะเท่าตลาดฟิตเนสที่มี 15 ล้านคน (เดี๋ยวเล่าต่อในพาร์ทถัดไปค่ะ) แต่สิ่งที่โผล่มาเต็มตาคือ ค่าใช้จ่ายต่อหัว (ARPU) สูงที่สุดในทุกหมวด อยู่ที่ 82 ดอลลาร์/ปี (~2,660 บาท) รวมแล้วตลาดนี้มีมูลค่ากว่า 734 ล้านดอลลาร์ หรือราว ๆ 2.4 หมื่นล้านบาท และยังโตต่อเนื่อง +8%

แปลว่า ถึงจะไม่แมส แต่คนกลุ่มนี้คือ “สายเปย์จริง” เพราะแตะเรื่อง การรักษาโดยตรง ต่างจากฟิตเนสที่ยังเป็นเชิงไลฟ์สไตล์ จุดนี้สอดกับเทรนด์ระดับโลกอย่าง Precision Health หรือการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล ไม่ใช่ one-size-fits-all ที่เน้น AI + wearable เพื่อปรับแผนสุขภาพตามร่างกายและพฤติกรรมของแต่ละคน

AI image generated by Shutterstock (Prompt : a person sitting calmly in a high-tech health analysis room, surrounded by floating holographic screens showing personalized health data, DNA strands, sleep patterns, and nutrition metrics, cinematic lighting, deep shadows and highlights, precision health concept, AI-driven diagnostics, futuristic design –ar 16:9)

ถ้าวันหนึ่งไทยมี Hybrid Care หรือ Virtual Wards ที่หมอออนไลน์ดูแลควบคู่กับโรงพยาบาลจริง ๆ ได้ครบวงจร ตลาดนี้อาจกลายเป็น new normal ของการรักษาเลยก็ว่าได้ค่ะ

ถ้าอยากหาตลาดที่คนเยอะที่สุด ต้องยกให้ Digital Fitness & Wellbeing ที่มีผู้ใช้กว่า 15 ล้านคน (+12.7% YoY) และมูลค่าตลาด 411 ล้านดอลลาร์ หรือราว ๆ 1.33 หมื่นล้านบาท (+16.4% YoY) ถึงแม้ ARPU จะอยู่เพียง 27 ดอลลาร์/ปี (~1,000 บาท) แต่เพราะฐานผู้ใช้มหาศาล ทำให้ตลาดนี้เป็น “ตลาดแมส” ที่น่าจับตามากที่สุด

สิ่งนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรมด้วย เพราะสุขภาพไม่ได้ถูกมองว่าเป็นกิจกรรมเสริมอีกต่อไป แต่เป็น “วิถีชีวิตประจำวัน” โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่ McKinsey วิเคราะห์ไว้ว่า Wellness กลายเป็น lifestyle ไปแล้ว

โอปอมองว่า ตลาดนี้ไม่ได้หยุดที่การขาย “อุปกรณ์หรือแอป” ธรรมดาอีกต่อไปค่ะ เพราะฐานผู้ใช้ใหญ่ทำให้ธุรกิจต่อยอดได้ เช่น

  • Subscription รายเดือน/รายปี เช่น Headspace ที่ใช้โมเดล subscription ผู้ใช้จ่ายรายปีหรือรายเดือนเพื่อเข้าถึงโปรแกรมทำสมาธิเต็มรูปแบบ
  • Micro-services หรือคอนเทนต์เฉพาะกิจที่ขายเพิ่ม
  • Gamification ที่ทำให้การออกกำลังกายหรือดูแลสุขภาพสนุกเหมือนเล่นเกม มี challenge มี badge สะสม

เพราะฉะนั้น ถ้าธุรกิจรู้จักต่อยอดได้ ก็จะสามารถแปลง “จำนวนผู้ใช้เยอะ” ให้เป็น “รายได้ต่อเนื่อง” ได้จริง ๆ ค่ะ

เมื่อพูดถึงการปรึกษาหมอออนไลน์ ตอนนี้มีผู้ใช้เพียง 1.66 ล้านคน (+3.8% YoY) ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ แต่สิ่งที่ชวนสังเกตคือมูลค่าตลาดกลับโตขึ้นถึง +8.1% แตะ 42.6 ล้านดอลลาร์ แม้ ARPU ยังอยู่ที่เพียง 25 ดอลลาร์/ปี (~950 บาท) แต่แนวโน้มคือคนใช้จ่ายมากขึ้น

และสิ่งที่มาแรงคือ การปรึกษาเฉพาะทาง เช่น โรคเรื้อรัง หรือ mental health ที่กำลังเป็นกระแสสำคัญระดับโลก ข้อมูลจากงานวิจัยใน PMC ยังยืนยันว่า telehealth สำหรับสุขภาพจิตโตเร็วกว่า telehealth ประเภทอื่น ๆ ขณะที่ Grand View Research ก็ประเมินว่าตลาด telepsychiatry หรือ การให้บริการด้านจิตเวชผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล จะขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 18.4% ต่อปีในช่วง 2025–2030

ขอบคุณภาพจาก Boston Consulting Group

ยิ่งไปกว่านั้น Boston Consulting Group ยังชี้ว่า AI กำลัง reshaping healthcare อย่างจริงจัง โดยช่วยคัดกรองอาการเบื้องต้น ลดเวลารอคิว และทำให้แพทย์โฟกัสกับผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ได้มากขึ้น

พูดง่าย ๆ คือ ถึงวันนี้ตลาด consult ออนไลน์ในไทยอาจยังดูเล็ก แต่ถ้าเราดูทิศทางโลกแล้วนำเทคโนโลยีอย่าง AI หรือบริการเฉพาะด้านอย่าง mental health มาเสริมให้เข้มแข็งขึ้น ตลาดเล็ก ๆ นี้อาจจะกลายเป็น “ดาวรุ่ง” ที่พลิกภาพการดูแลสุขภาพไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้ค่ะ

เมื่อรวมทั้งหมด จะเห็นว่า Digital Health ของไทยแบ่งได้เป็น 3 ชั้นที่ชัดเจนมาก คือ

  • Mass (Fitness & Wellbeing): ฐานผู้ใช้ใหญ่สุด โตแรง แต่จ่ายน้อยต่อหัว เหมาะกับเกม scale และการสร้าง ecosystem ที่คนเข้าถึงง่าย
  • Value (Treatment & Care): ผู้ใช้น้อยกว่า แต่ ARPU สูงมาก ทำรายได้ต่อหัวดีที่สุด เหมาะกับบริการเชิงลึกและ personalized
  • Niche (Doctor Consultation): ผู้ใช้น้อยสุด แต่กำลังโตในเชิงมูลค่า แสดงถึงพฤติกรรมกลุ่มเล็กที่เริ่มยอมจ่ายเพื่อบริการเฉพาะทาง

แล้วโอกาสคืออะไร?

ถ้าคุณคือ ธุรกิจหรือแบรนด์ คำถามสำคัญคือ อยากเล่นเกมไหนคะ?

  • เกม Mass: ขยายฐานผู้ใช้ด้วยแอปฟิตเนส, wearable และบริการ wellbeing ที่เข้าถึงง่าย เน้น scale และ engagement
  • เกม Value: เจาะลึกด้านการรักษาและการแพทย์ ใช้จุดแข็งของ ARPU สูง สร้างบริการที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงลึก เช่น telehealth + hybrid care
  • เกม Niche: แตกต่างด้วยการให้ consult แบบเฉพาะเจาะจง เช่น บริการเฉพาะโรคเรื้อรัง, mental health หรือ personal coaching

โอปอว่า สิ่งที่แน่นอนคือ โลกของ Digital Health ไทยกำลังโตขึ้นทุกปีค่ะ และเมื่อมองคู่กับเทรนด์โลก ไม่ว่าจะเป็น wearable, AI, wellness lifestyle หรือ hybrid care ทั้งหมดกำลังมาบรรจบกัน เข้ามาเป็น ecosystem เดียวกัน เพราะงั้นสิ่งาำคัญคือ การเข้าใจว่า “ผู้บริโภคจ่ายตรงไหน และใช้อะไร” จะเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบกลยุทธ์และคว้าโอกาสในตลาดนี้ค่ะ

โอปอว่าพอเราได้เห็นภาพรวมแบบนี้แล้ว มันสะท้อนบางอย่างที่สำคัญมากเลยค่ะว่า “สุขภาพดิจิทัล” คือปัจจุบันที่กำลังอยู่กับเราทุกวัน ไม่ว่าจะผ่านแอปที่เราเปิด smartwatch ที่เราสวม หรือแม้แต่การกดวิดีโอคอลปรึกษาหมอจากที่บ้าน ทุกอย่างมันกำลังเปลี่ยนวิธีที่เราดูแลตัวเองและครอบครัวอย่างสิ้นเชิง

ในฐานะคนที่ทำงานด้านการตลาดและชอบมองโลกผ่านพฤติกรรมผู้บริโภค โอปอรู้สึกว่าความท้าทายจริง ๆ ของธุรกิจ คือการที่เราต้องเข้าใจให้ได้ว่าคนในแต่ละสนาม เขาจ่ายเพราะอะไร และเขาต้องการอะไรจริง ๆ คนส่วนใหญ่อยากได้อะไรที่ง่ายและต่อเนื่อง คนที่ยอมจ่ายสูงกว่าอยากได้ความมั่นใจและความเฉพาะบุคคล ส่วนกลุ่มนิชเล็ก ๆ ก็อาจต้องการการดูแลที่ใส่ใจแบบลึกจริง ๆ เพราะงั้นการเข้าใจสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้แหละค่ะ ที่จะกลายเป็นหมากชี้เป็นชี้ตายในเกม Digital Health

สุดท้ายนี้โอปออยากชวนคนอ่านมองภาพนี้ไม่ใช่แค่ “ตัวเลข” แต่เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพของสังคมไทยค่ะ เพราะในวันที่เทคโนโลยีทุกอย่างมาบรรจบกันอยู่ตรงหน้า เรามีโอกาสเลือกว่าจะใช้มันยังไงเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ทั้งในฐานะผู้บริโภคที่ดูแลตัวเองได้ดีขึ้น และในฐานะธุรกิจที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับสุขภาพไทยไปพร้อมกัน โอปออยากถามกลับว่า ถ้าวันนี้เราจะเริ่มต้น คุณอยากเป็นคนที่เลือกเกม Mass, Value หรือ Niche? แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ :0)

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

โอปอ Marketing Content Creator และ Data Insight Researcher ของการตลาดวันละตอน ⋆˚✿˖° ดีใจที่ได้แชร์เรื่องราวกับทุกคนค่ะ อย่าลืมยิ้มให้ตัวเองทุกวัน และฝากติดตามบทความต่อไปด้วยนะคะ ( 。•ㅅ•。)~✧

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *