การตลาด FWD ใช้ Humanized AI สร้าง Emotional Differentiation ด้วยเสียงเพื่อนที่เราวางใจ

ทุกวันนี้เราต่างพูดถึง Work-life balance กันอยู่เสมอ แต่เอาเข้าจริงแล้วคนไทยกลับติดอันดับ 6 ของประเทศที่ทำงานหนักที่สุดในโลก และกรุงเทพฯ เองก็รั้งท้ายในดัชนี Global Work-Life Balance 2025 อยู่ที่ อันดับ 71 จาก 75 เมือง

ฟังแล้วก็หนักใจนะคะ ว่าชีวิตประจำวันของเราหลงเหลือ “เวลาส่วนตัว” ไว้ให้ตัวเองบ้างหรือเปล่า และนี่คือจุดที่ FWD ประกันชีวิต หยิบอินไซต์นี้มาทำให้เป็นเรื่องของทุกคน ผ่านแคมเปญใหม่ “Meเวลาให้ตัวเอง”

FWD มี Brand Promise ที่พูดชัดเจนมานานแล้วว่า “Celebrate living” แต่คำถามคือ จะชวนคนให้ Celebrate ได้ยังไง ในวันที่พวกเขาแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจลึก ๆ เพื่อมองเข้าไปข้างในตัวเอง?

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต รวมถึง Global Work-Life Balance Index 2025 ที่เล่าไปก่อนหน้านี้ชี้ให้ FWD มองเห็น Pain point ใหญ่ของสังคมไทยว่า คนเรากำลังขาด “พื้นที่ใจ” ของตัวเอง FWD จึงอยากสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนหันกลับมาดูแลใจตัวเองจริง ๆ

FWD สร้าง AI Buddy ที่ออกแบบมาเป็นเสมือนเพื่อนคู่ใจ พูดคุยกับเราได้จริง รับฟัง และเข้าใจความแตกต่างของแต่ละคน พร้อมแนะนำวิธีเติมพลังใจที่เหมาะกับชีวิตในแบบเฉพาะของเรา

ความพิเศษอยู่ที่การใช้เสียงของ ป๋อมแป๋ม – นิติ ชัยชิตาทร ผ่านเทคโนโลยี Voice Cloning ถ่ายทอดคำแนะนำด้วยโทนอบอุ่นและเป็นกันเอง ทำให้ทุกการสนทนาเหมือนมีเพื่อนสนิทที่เข้าใจเรามานั่งอยู่ตรงหน้า

การตลาด FWD

เพราะงั้นผู้ใช้สามารถเข้าไปที่ FindMe-Time.com แล้วทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ได้เลยค่ะ

  • เริ่มคุยกับ AI Buddy ระบบจะถามถึงไลฟ์สไตล์ ความชอบ หรือปัญหาที่กำลังเจอ
  • AI วิเคราะห์คำตอบ เพื่อค้นหากิจกรรมหรือวิธีพักใจที่เหมาะกับคุณ
  • สร้างวิดีโอ Personalized เอ่ยชื่อคุณจริง ๆ และถ่ายทอดด้วยเสียงของป๋อมแป๋ม
  • แชร์ต่อได้ทันที ส่งต่อแรงบันดาลใจเรื่อง “การให้เวลาแก่ตัวเอง” ไปยังคนรอบข้าง

“Meเวลาให้ตัวเอง” ช่วยสร้างการสร้างการรับรู้ และพยายามดันให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมจริง เพราะการมี AI Buddy ที่ชวนตอบคำถาม ชวนคิดถึงชีวิตประจำวัน ทำให้คนลงมือสำรวจตัวเอง และได้แรงผลักให้เริ่มพักอย่างมีสติได้จริง

AI ในที่นี้ถูกรีแบรนด์ให้กลายเป็นเพื่อนคู่ใจ โดยมีเสียงป๋อมแป๋มคอยพูดคุย เติมความอบอุ่นและความเป็นมนุษย์เข้าไปในระบบอัตโนมัติ ถือเป็นการ humanize เทคโนโลยี ทำให้ AI ไม่แข็งทื่อ และมีหัวใจที่จับต้องได้ค่ะ

เบื้องหลังแคมเปญคือการใช้ Generative AI ผสานกับเครื่องมือ Virtual Sei-katsu-sha™ เพื่อให้ AI เข้าใจพฤติกรรม ภาษา และความรู้สึกแบบ “คนไทยจริง ๆ” ผลลัพธ์คือประสบการณ์ที่ปรับแต่งให้เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่คำแนะนำกลาง ๆ ที่ใครก็ได้

แทนที่จะเล่าด้วยความกลัวหรือเหตุการณ์ร้าย ๆ แบบ Fear-based message อย่างที่วงการประกันคุ้นเคย FWD เลือกเปิดพื้นที่ใหม่ให้แบรนด์ประกันเข้ามาอยู่ในโลกของการดูแลใจและการให้เวลากับตัวเอง มุมมองสดชื่นและเต็มไปด้วยพลังบวกนี้ช่วยขยายความหมายของคำว่า “Celebrate living” ให้ชัดขึ้น

การตลาด FWD

ทุกบทสนทนากับ AI Buddy กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า บอกเล่าว่าผู้บริโภคอยากพักแบบไหน กังวลอะไร หรืออยากใช้เวลาไปกับอะไร FWD จึงได้ทั้งการสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้ และได้คลัง insight มาต่อยอดในเชิงกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์ไปพร้อมกัน

สิ่งที่โอปอว่าน่าสนใจมาก คือการที่ FWD แสดงให้เห็นว่า การตลาดประกันชีวิตไม่จำเป็นต้องพูดด้วยความกลัวเสมอไป แต่สามารถสร้างบทสนทนากับผู้บริโภคผ่าน “ความใส่ใจในชีวิตประจำวัน” ได้จริง ๆ

การหยิบ Pain point อย่าง Work-life imbalance มาทำให้เป็นเรื่องใกล้ตัว และใช้เทคโนโลยีอย่าง AI มาแปลงเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้ ก็ถือว่าเป็นการเล่า Brand Promise “Celebrate living” ให้ชัดที่สุดแบบที่ผู้บริโภครู้สึกได้มากกว่าการได้ยินค่ะ

และสำหรับนักการตลาดเอง โอปอว่านี่เป็นตัวอย่างที่บอกเราว่า กลยุทธ์ที่ดี คือการแก้ปัญหาและสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับคน พอเรากล้าเล่าเรื่องจากมุมที่แบรนด์อื่นยังไม่พูด พร้อมออกแบบให้คนมีส่วนร่วมจริง ๆ จะทำให้แคมเปญไปไกลกว่าการรับรู้ และกลายเป็นการสร้าง “ความสัมพันธ์” ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคที่ยั่งยืนกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์ในวันนี้ควรมองหาค่ะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ :0)

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

โอปอ Marketing Content Creator และ Data Insight Researcher ของการตลาดวันละตอน ⋆˚✿˖° ดีใจที่ได้แชร์เรื่องราวกับทุกคนค่ะ อย่าลืมยิ้มให้ตัวเองทุกวัน และฝากติดตามบทความต่อไปด้วยนะคะ ( 。•ㅅ•。)~✧

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *