ในบทความนี้จะพาทุกคนมาดูร้านอาหาร Fast Food ชื่อดังที่คงไม่มีใครไม่รู้จักกับ การตลาด Burger King ฉลองครบรอบ 40 ปีในประเทศเกาหลีใต้ ด้วยการเปิดตัวเมนูใหม่ แต่ครบรอบทั้งทีจะธรรมดาได้ไง เลยได้ทำ Temporary Tattoo หรือรอยสักแบบชั่วคราว ที่เป็นลายบาร์โค้ดให้สามารถสแกนรับ Whopper ฟรีที่ร้านไปได้เลย แต่เบื้องหลังความสนุกและความเก๋ของแคมเปญนี้จะมีอะไรอีกบ้าง มาดูกัน
ที่มาที่ไปของแคมเปญ Whopper Tattoo
ในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2024 ที่ผ่านมานี้เอง ที่ได้กำเนิดเกิดแคมเปญ Whopper Tattoo ขึ้น โดยเอเจนซี Cheil Worldwide ในกรุงโซล โดยที่มาที่ไปก็อย่างที่ได้เกริ่นกันไปว่า Burger King ครบรอบ 40 ปี ซึ่งครบรอบทั้งทีจะธรรมดาได้ไง จึงอยากอัพเกรด Whopper แบบใหม่แบบสับมาให้ทุกคนได้ลิ้มรสกัน
จึงทำการร่วมมือกับศิลปินสักมืออาชีพมากมายในการสร้างสรรค์ Temporary Tattoo หรือลายสักแบบชั่วคราว ก็คือสามารถล้างออกได้หรือหายไปเองตามธรรมชาติภายใน 2-3 วัน และยังทำจากส่วนผสมเครื่องสำอางที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังด้วย ปลอดภัยหายห่วง
ซึ่งดีเทลของลายก็คือจะเป็นลายบาร์โค้ดที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเปลวไฟในการย่างที่เป็นจุดเด่นของแบรนด์ Burger King นี่แหละ โดยได้ออกมาเป็นลายกว่า 50 แบบเลยทีเดียว
และจะมี Tattoo King หรือตัวมาสคอตของ Burger King ที่ถือตราปั๊มรอยสักนี้เดินตามท้องถนนในเมืองแฮอุนแดที่ปูซานและกังนัมในกรุงโซล ซึ่งแต่ละคนสามารถเลือกลายเพื่อให้ Tattoo King ปั๊มลงบนร่างกายได้เลย จากนั้นในการจะแลก Whopper ฟรีก็แค่ไปที่ร้าน Burger King ที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วก็สแกนรอยสักที่ตู้ Kiosk เพื่อรับ Whopper และเครื่องดื่มฟรีได้เลยง่าย ๆ
โดยทั้งนี้ก็ได้มีการโปรโมทแคมเปญผ่านเว็บไซต์ ช่องทาง Social Media และแอป Burger King เกาหลีด้วย ซึ่งผลลัพธ์ตามรายงานของเอเจนซีพบว่ามีคนกว่า 8,000 คนที่ได้มาสแกนรับ Whopper !! แต่สิ่งสำคัญและน่าสนใจคือกว่า 92% บอกว่ารู้จัก Whopper แบบใหม่แบบสับครบรอบ 40 ปีนี้ ผ่านแคมเปญ Whopper Tattoo นี่แหละ แล้วยอดขายยังดันพุ่งสูงขึ้นถึง 208% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าอีกด้วย
เรียก Engagement แบบใหม่แบบสับ ตาม DNA ของ Burger King
อย่างที่บอกกันไปว่าเป็นช่วงครบรอบ 40 ปีของแบรนด์และอยากจะเปิดตัวหรือฟีลว่าอัปเกรดเมนู Whopper นั่นแหละ แต่ถ้าแค่ PR ออกไปแบบธรรมดา ๆ ก็คงจะไม่ตอบโจทย์กับ DNA ของความเป็น Burger King ที่ค่อนข้างจะมีความสนุกสนานและจี๊ดจ๊าดอยู่พอตัว
Whopper Tattoo ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของแคมเปญที่ดี ในการหยิบจับเอา Culture ในเรื่องของรอยสัก มาผสมผสานกับเมนูของแบรนด์ ยิ่งในหมู่ Gen Z ที่มีความนิยมในเรื่องของการสักกันมากยิ่งขึ้น ก็แน่นอนว่ายิ่งเรียก Engagement ให้คนอยากมามีส่วนร่วมในกิจกรรมได้แบบไม่ยาก
ทั้งการเลือกช่วงเวลาแคมเปญก็เลือกช่วงที่เป็นวันหยุดยาวในเกาหลีใต้ จะได้ไปลงพื้นที่ในที่ที่คนพลุกพล่านอย่างแฮอุนแดและกังนัม เพื่อจะได้เข้าถึงคนได้แบบวงกว้าง ถ้าเป็นในประเทศไทยมีมาสคอตมาเดินดุ่ม ๆ ปั๊มรอยสักแลกของกินฟรี ก็คงจะสร้างความน่าสนใจจนเกิดเป็นฟีลไทยมุงเช่นเดียวกัน ขนาดว่าไม่ได้แจกอะไรแต่มาโชว์ตัวอย่างน้องหมีเนยก็เรียกกระแสความสนใจได้ล้นหลามแล้ว
รวมถึงตามช่องทางต่าง ๆ อย่างใน social Media ก็แน่นอนว่าเป็นไวรัลไม่ยาก อะไรที่สนุก แปลกใหม่ คนเห็นแล้วอยากรู้อยากลองบ้าง ก็ยิ่งเกิดการพูดถึงและแชร์ต่อ ๆ กันไว รวม ๆ แล้วเรียกว่าฉลาดที่แม้จะเป็นแบรนด์ใหญ่แบรนด์ดังที่คนรู้จักกันมากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เคยหยุดหากิมมิคมาทำให้คนสนใจได้อยู่เสมอ
การตลาด Burger King หยิบจับ Culture วัยรุ่นมา PR แบรนด์ให้สนุกและน่าจดจำ
เป็น Case Study ที่เป็นตัวแทนของแบรนด์สมัยใหม่ที่ Connect กับผู้บริโภคได้แบบมีความหมายมาก ๆ เพราะนำเอาสิ่งที่เขาชอบ คุ้นเคย หรือมีประสบการณ์กันมาอยู่แล้วในเรื่องสัก มาเป็นสิ่งดึงดูดล่อตาล่อใจ ดังนั้นก็ไม่ใช่แค่การโปรโมทสินค้า แต่รู้จักการสื่อสารการตลาดผ่านการเล่าเรื่องได้ดี
อีกอย่างนอกจากคนจะเข้ามามีส่วนร่วมหรือพูดง่าย ๆ คือแห่กันมาเล่นกิจกรรม จนยอดขายพุ่งขึ้นไปถึง 200 กว่า % แน่นอนว่าแคมเปญนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ของ Burger King ในการเป็นแบรนด์ที่เข้าใจ เปิดรับ เปิดกว้าง หรือโอบกอดวัฒนธรรม จนสามารถแทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคนรุ่นใหม่ได้แบบชัดเจน
การตลาด Burger King ปั๊มรอยสักแลก Whopper ฟรี เรียก Engagement
AI-Generated Image by Shutterstock (Prompt: create photography, tattoo on arm, barcode fire and burger element, scan at burger king kiosk.)
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับบทความนี้ทีไ่ด้พาทุกคนมาดู การตลาด Burger King ปั๊มรอยสักแลก Whopper ฟรี เรียก Engagement แบบใหม่แบบสับ อีกหนึ่งตัวอย่างของแคมเปญการตลาดที่มีความ Creative พอตัว แทรกซึมตัวเองเข้าไปเชื่อมโยงกับ Culture ของผู้คน จนสามารถสร้างการมีส่วนร่วมและยอดขายพุ่งกระฉูดได้
ทั้งนี้หวังว่าทุกคนจะได้ความรู้ดี ๆ และประโยชน์กลับไปไม่มากก็น้อย แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้า และสามารถติดตามบทความด้านการตลาดเพิ่มเติมได้จากเพจการตลาดวันละตอนที่ เว็บไซต์ Facebook Instagram Twitter และ Youtube ได้เลย
Source Source