การตลาด Don Don Donki Central Westgate เมื่อการช้อปกลายเป็นสนามสนุกด้วย Consumer Psychology

ถ้าใครได้ไป Central Westgate วันเปิดตัว “Don Don Donki” สาขาแรกของนนทบุรี คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่คนแห่กันมาจนห้างแน่นตั้งแต่เช้าเลยค่ะ เพราะนี่คือการเปิด “แลนด์มาร์ก” ฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันตกที่หลายคนตั้งใจเดินทางมาโดยเฉพาะ

แล้วอะไรคือเสน่ห์ที่ทำให้ Donki สาขานี้แตกต่าง? วันนี้บทความนี้จะพาไปดูทั้ง กลยุทธ์ใหม่ ๆ, ไฮไลต์ที่เป็นครั้งแรกในไทย และ อินไซต์เชิงจิตวิทยาผู้บริโภค ที่ทำให้การเปิดตัวครั้งนี้ถูกพูดถึงแบบล้นโซเชียล 

Central Westgate คือ Super Regional Mall ที่มีพื้นที่รวมกว่า 500,000 ตารางเมตร และมีร้านค้ากว่า 500 ร้าน รองรับคนได้หลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสายแฟชั่น อาหาร บันเทิง ครอบครัว หรือคนทำงาน ทำให้ที่นี่ถูกวางตัวเป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่ตอบโจทย์ทุกเจนในครอบครัว

ขอบคุณภาพจาก CPN

อีกทั้งยังมีแม่เหล็กสำคัญอย่าง IKEA ขนาดใหญ่, Tops, WestGate Cineplex, Fitness Club, โซนเด็กเล่น และร้านอาหารนานาชาติ ซึ่งดึงดูดผู้คนตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เรียกได้ว่ามีครบทุกไลฟ์สไตล์ในที่เดียว

ด้านการเดินทางก็สะดวกมาก เพราะตั้งอยู่ที่แยกบางใหญ่ เชื่อมทั้งถนนกาญจนาภิเษกและรัตนาธิเบศร์ รวมถึงมี MRT สายสีม่วง (สถานีตลาดบางใหญ่) ที่ต่อเชื่อมคนจากกรุงเทพชั้นในให้ออกมาได้ง่ายขึ้น

ตัวเลขก็น่าสนใจ ช่วงห้างเปิดได้ 3 วันแรก มีคนเข้ามามากถึง 200,000 คนต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับห้างในชานเมือง และเป็นหลักฐานว่าที่นี่คือ “แลนด์มาร์กจริง ๆ” ของฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันตก

การตลาด Don Don Donki

ทั้งหมดนี้จึงทำให้การที่ Don Don Donki เข้ามาเปิดสาขาใหม่ในเวสต์เกต จึงถือเป็นการต่อจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้ภาพของศูนย์การค้านี้แข็งแรงขึ้นไปอีกขั้น ว่าใครก็ตามที่อยากหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ต้องตั้งใจมา “ถึงที่นี่”

Source [1] [2]

Self-Pick Sushi & Cake Zone

นี่คือครั้งแรกในไทยที่ดองกิเปิดโซนให้ลูกค้า “หยิบซูชิและเค้กเอง” คล้ายการเดินตลาดปลาในญี่ปุ่น แต่ปรับให้เป็นบรรยากาศสนุก ๆ ในห้างไทย ทุกสุดสัปดาห์จะมีเชฟทำซูชินิกิริสดใหม่เรียงเต็มถาด แล้วเปิดโอกาสให้ลูกค้าเดินเลือกหยิบชิ้นที่ตัวเองอยากกินจริง ๆ เลยกลายเป็นทั้งประสบการณ์ และคอนเทนต์ที่คนอยากถ่ายรูปแชร์

เมนูฟิวชันสำหรับคนไทย

แทนที่จะขายเมนูญี่ปุ่นเพียว ๆ ดองกิเลือก “เชื่อมรสชาติที่คนไทยคุ้น” กับวัตถุดิบญี่ปุ่นคุณภาพสูง อย่าง “ชุดหมูกระทะ” ที่เป็นเมนูครอบครัวในชีวิตประจำวัน แต่ยกระดับด้วยวัตถุดิบจากญี่ปุ่น ทำให้หมูกระทะดูพรีเมียมขึ้นทันตา หรือ “กะเพราเนื้อปลาไหลญี่ปุ่น” ที่เอาความจัดจ้านแบบไทยมาจับคู่กับปลาไหล ซึ่งเป็นของหรูในญี่ปุ่น เกิดเป็นเมนูที่ทั้งแปลกใหม่และน่าสนใจ

กาชาปองกว่า 50 ตู้

หนึ่งในจุดที่คนแห่ถ่ายรูปคือโซนกาชาปอง ที่เรียงกันยาวแบบเต็มตา มีทั้งการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิต ของสะสมลิมิเต็ด ไปจนถึงของเล่นเล็ก ๆ น่ารัก ๆ นี่จึงกลายเป็นกิจกรรมที่ทุกเจนสนุกได้ เด็ก ๆ ก็ลุ้นของเล่นที่ชอบ ส่วนผู้ใหญ่หลายคนก็อินกับการตามหาตัวหายาก

แล้วเคล็ดลับจริง ๆ ที่ทำให้ไฮไลต์เหล่านี้ปังคืออะไร ? โอปอว่ามันอยู่ที่ว่า สิ่งนั้นไปกดโดน “ปุ่มในใจผู้บริโภค” ข้อไหนบ้างต่างหากค่ะ

1. Self-Pick = Sense of Control

คนรุ่นใหม่ชอบ “เลือกเอง” เพราะมันให้ความรู้สึกคุมได้ (Control) และปรับประสบการณ์ให้ตรงใจตัวเองได้ อย่างการเลือกซูชิแบบที่ชอบ ไม่ต้องรับแบบเซ็ตสำเร็จนั่นเอง

การตลาด Don Don Donki

2. Fusion = Cultural Familiarity

การเอาเมนูคุ้นเคยอย่างหมูกระทะหรือกะเพรามาผสมกับวัตถุดิบญี่ปุ่น คือการ “ลดระยะห่างทางวัฒนธรรม” ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องไกลตัวจนเกินไป

3. Gachapon = Variable Reward

หลักจิตวิทยาที่ว่า “รางวัลแบบสุ่ม” ทำให้สมองหลั่งโดพามีนมากกว่ารางวัลที่คาดเดาได้ ไม่แปลกที่กาชาปองยังดึงดูดได้ทุกเจน แม้โตแล้วก็ยังอยากลองหยอดอยู่ดี

เมื่อรู้แล้วว่าผู้บริโภคอินกับอะไร ดองกิจะหยิบอินไซต์เหล่านี้ไปใช้ยังไง? มาวิเคราะห์กันค่ะว่ากลยุทธ์การตลาดที่เขาเลือกคืออะไร และจะส่งผลต่อคนที่มาเดินอย่างไรบ้าง

1.Experience Economy จากร้านขายของ สู่สนามเล่นสนุก

ดองกิเลือกจะทำให้การช้อปปิ้งกลายเป็น “กิจกรรม” ที่คนมาแล้วรู้สึกสนุก เช่น หยิบซูชิเอง สุ่มกาชาปอง ลองเมนูใหม่ ทุกขั้นตอนถูกออกแบบให้เป็นการมีส่วนร่วม มากกว่าการเดินเข้ามาซื้อของเสร็จแล้วกลับบ้านเฉย ๆ ผลลัพธ์คือคนรู้สึกสนุก อยากใช้เวลาในร้านนานขึ้น และมีคอนเทนต์ไปแชร์ต่อ

AI image generated by Shutterstock (Prompt : a joyful cinematic close-up of an Asian man turning a gachapon machine knob at Donki, colorful product displays in the background, sunny indoor lighting, pastel tones, fun and lighthearted composition –ar 16:9)

2. Localization x Premium ฟิวชันที่เข้าถึงง่าย แต่ยังดูดี

เมนูอย่างหมูกระทะและกะเพราเนื้อปลาไหล คือการเชื่อมรสนิยมไทยกับวัตถุดิบญี่ปุ่นคุณภาพสูง ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้นเคยพอที่จะลอง และเมื่อได้ลองก็สัมผัสความพรีเมียมที่อยากเล่าต่อ

3. Brand Positioning ชัดเจน Japan Specialty Store ตัวจริง

ไม่ว่าจะเดินไปโซนไหน ลูกค้าจะเจอสินค้าญี่ปุ่นเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ของกิน ของใช้ ของเล่น ไปจนถึงบรรยากาศในร้าน ดองกิยังคงรักษาลายเส้นของตัวเองได้ชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า “มาดองกิ = ได้ญี่ปุ่นเต็มร้อย” และสนุกไปกับเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างแท้จริง จนกลายเป็นจุดหมายที่ต้องแวะ

การตลาด Don Don Donki

4. Partnership Synergy ได้ประโยชน์ทั้งห้าง ทั้งแบรนด์

การจับมือกับเซ็นทรัล เวสต์เกต ทำให้ห้างได้แม็กเน็ตใหญ่ที่ช่วยดึงทราฟฟิก ส่วนดองกิเองก็ได้ทำเลขนาดใหญ่ที่รองรับคนหลากหลายกลุ่มจำนวนมาก เป็นการเสริมพลังให้ทั้งคู่เติบโตไปพร้อมกัน

สิ่งที่โอปอมองว่าน่าสนใจคือ การเปิดสาขา Don Don Donki เวสต์เกตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการตลาดยุคใหม่ คือการสร้างประสบการณ์จริงให้ผู้บริโภค โดยใช้จิตวิทยามาเป็นตัวขับเคลื่อนค่ะ ซึ่งถ้าเจาะลึกลงไปจะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็น Self-Pick, เมนูฟิวชัน หรือกาชาปอง ต่างก็แตะใจผู้บริโภคในจุดที่ใช่ทั้งหมด และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เกิดกระแสได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว

ในฐานะนักการตลาด โอปออยากชวนให้มองต่อว่า เวลาเราออกแบบแคมเปญใหม่ ๆ เรากำลังมองแค่ความแปลกใหม่ หรือออกแบบให้กดปุ่มในใจผู้บริโภคจริง ๆ? เพราะถ้าเราจับถูกปุ่ม ต่อให้เป็นเพียงกาชาปองธรรมดา ก็สามารถกลายเป็นโมเมนต์ที่ผู้คนอยากแชร์ อยากเล่าต่อได้

และสุดท้ายสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการในยุคนี้ คือเหตุผลให้พวกเขา “ยอมเดินทางมาเอง” เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ทั้งคุ้นเคย พิเศษ และชัดเจนในภาพจำ จนร้านหนึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์กในใจได้จริง ๆ แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ :0)

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

โอปอ Marketing Content Creator และ Data Insight Researcher ของการตลาดวันละตอน ⋆˚✿˖° ดีใจที่ได้แชร์เรื่องราวกับทุกคนค่ะ อย่าลืมยิ้มให้ตัวเองทุกวัน และฝากติดตามบทความต่อไปด้วยนะคะ ( 。•ㅅ•。)~✧

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *