ยุคนี้ไม่ใช่แค่การสั่งงานอีกต่อไปแล้วค่ะ แต่คือการสร้างวงดนตรีที่แต่ละเครื่องดนตรีทั้งมนุษย์และ AI ต้องบรรเลงไปในทำนองเดียวกัน เพื่อให้ทีมเดินไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าเดิมและยังคงเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ ในงาน MKTCON2025 ครั้งนี้ ผู้เขียนมีโอกาสได้เข้าฟังหัวข้อ “Leading your marketing team in the age of AI” ที่บรรยายโดย คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร (SCBX) และ คุณภคมน ตุลยาพิศิษฐ์ชัย (Yoyo Heygoody)
พอผู้เขียนได้ฟังเซสชั่นนี้ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า “การบริหารทีม” กำลังเปลี่ยนความหมายไปจากที่เราคุ้นเคยแต่ก่อนการจัดการทีมคือการบริหารคน วางโครงสร้างและจัดการบทบาทหน้าที่แต่ในยุคที่ AI agent เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานจริง ๆ บทบาทของหัวหน้าทีมกลายเป็นการ Orchestration ให้คนกับ AI ทำงานประสานกันอย่างลงตัว อาจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง “การทำงานในทีม” ไปตลอดกาล เพราะโลกของเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคที่ “หัวใจของทีม” ไม่ได้มีแค่คนอีกแล้วแต่รวมถึง AI ที่ถูกออกแบบมาเป็นเพื่อนร่วมงานด้วยเช่นกันค่ะ
หากเราย้อนกลับไปดูการทำงานเมื่อสามปีที่แล้วจะพบว่าการสร้างเนื้อหาคุณภาพหนึ่งชิ้นต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หรือแม้กระทั่งหลายวัน คุณสุธีรพันธุ์ได้เล่าระบบ AI ของ SCBX ที่สามารถผลิตบทความคุณภาพสูงได้ภายใน 4 นาทีเท่านั้นระบบนี้ไม่ใช่แค่ AI ตัวเดียว แต่เป็นเครือข่าย AI Agent หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นด้วย AI ที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยค้นหาข้อมูลและแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ จากนั้นมี AI อีกตัวที่คอยจัดโครงสร้างเนื้อหาให้เป็นระบบและน่าติดตาม
สิ่งที่น่าสนใจคือมี AI Writer หลายตัวที่มีสไตล์การเขียนแตกต่างกัน บางตัวเขียนแบบวิชาการเข้มข้น บางตัวเขียนแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง และบางตัวเขียนแบบเยาวชนทันสมัย การมี AI หลากหลายสไตล์ทำให้สามารถปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ทำให้ระบบนี้โดดเด่นคือการมี AI Quality Controller ที่คอยตรวจสอบความถูกต้องและคุณภาพของเนื้อหา หากเนื้อหาไม่ผ่านมาตรฐานที่กำหนดจะถูกส่งกลับไปแก้ไขอัตโนมัติ จนกว่าจะได้คุณภาพที่ต้องการนอกจากนี้ยังมี AI ที่เชี่ยวชาญด้าน SEO มาปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหาและสุดท้ายมี AI Editor ที่คอยเกลาเนื้อหาให้สมบูรณ์แบบ
แนวโน้มใหม่ การวัดความสำเร็จของทีมด้วย AI Capability
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในการบริหารทีมสมัยใหม่คือการเปลี่ยนจากคำถาม “คุณมีลูกน้องกี่คน” ไปเป็น “คุณมี AI Agent กี่ตัว” ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในการคิดเรื่องประสิทธิภาพและความสามารถขององค์กร
อย่าง McKinsey บริษัท Consulting ระดับโลกแห่งหนึ่งพวกเขาได้พัฒนา AI System ที่มี Agent มากถึง 15,000 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถให้คำปรึกษาเรื่องการเงิน การธนาคาร การประกัน และธุรกิจต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อพนักงานต้องการข้อมูลหรือต้องเตรียม Presentation สำหรับลูกค้าเพียงแค่สนทนากับ AI เหมือนคุยกับ ChatGPT ก็สามารถได้ผลงานที่สมบูรณ์แล้วการมี AI Agent จำนวนมากไม่ได้หมายความว่าจะลดความสำคัญของมนุษย์แต่กลับทำให้บทบาทของมนุษย์กลายเป็น AI Manager ที่ต้องมีความเชี่ยวชาญในการสั่งการและควบคุมคุณภาพของ AI ให้ทำงานได้ตามที่ต้องการ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ AI Adoption ในสังคมไทย
ในเซสชั่นนี้ได้เล่าว่าถึงการจัดกลุ่มตามพฤติกรรมการใช้ AI ได้อย่างน่าสนใจโดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักกลุ่มแรกคือผู้ที่ยังไม่ได้ใช้ AI อย่างรู้เท่าทันซึ่งรวมถึงคนที่ไม่รู้ว่า AI คืออะไร และคนที่ใช้แต่ไม่รู้ตัว เช่น การดูวิดีโอใน Netflix หรือการเล่น TikTok ที่มีอัลกอริทึม AI อยู่เบื้องหลัง
อีกกลุ่มหนึ่งคือผู้ที่ใช้ AI อย่างรู้เท่าทันแต่แบ่งย่อยออกเป็นสองค่าย ค่ายแรกคือ AI Optimists ที่มองเห็นประโยชน์และใช้ AI อย่างสร้างสรรค์ในกลุ่มนี้มีผู้ใช้แบบสบาย ๆ ที่คิดเป็น 36% ของประชากร, ผู้ใช้ทุกวันที่ผสาน AI เข้ากับชีวิตประจำวัน และกลุ่มเล็ก ๆ แต่สำคัญคือผู้ที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจริงจัง ซึ่งมีเพียง 4% เท่านั้น
อีกค่ายหนึ่งคือ AI Skeptics ที่แม้จะใช้ AI แต่ยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ความแม่นยำ และผลกระทบต่อการจ้างงาน ข้อมูลนี้บอกให้ทราบว่าในทีมงานทั่วไป หากมีพนักงาน 100 คน จะมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่สามารถใช้ AI สร้างประสิทธิภาพการทำงานได้จริง ซึ่งเป็นโอกาสใหญ่สำหรับผู้บริหารที่สามารถพัฒนาทีมให้มี AI Literacy สูงขึ้น
ความท้าทายในการ Scale AI ในองค์กรใหญ่
แม้ว่าการใช้ AI จะดูเหมือนเรื่องง่ายแต่การนำไปใช้ในระดับองค์กรกลับเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากค่ะ จากการศึกษาของ Boston Consulting Group พบว่าแม้จะมีองค์กรถึง 40% ที่เริ่มทดลองใช้ AI แล้วแต่มีเพียง 4% เท่านั้นที่สามารถขยายการใช้ AI ให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน
ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือการไม่มี Vision ที่ชัดเจนว่าองค์กรต้องการเป็น AI-First Organization แบบไหนการขาดการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การที่ผู้บริหารเองยังขาดความรู้เรื่อง AI งบประมาณที่จำกัดทำให้ไม่สามารถจัดหา AI Tools ที่จำเป็นให้พนักงาน และการขาดความร่วมมือระหว่างแผนกต่างๆ
สิ่งที่น่ากังวลคือหลายองค์กรมี AI Use Cases เป็นร้อย ๆ อย่างแต่ไม่มีอันไหนที่สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน เหมือนการมีดอกไม้บานเต็มสวนแต่เป็นดอกเล็ก ๆ ที่อายุสั้นแทนที่จะเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรากแก้วแข็งแรงและเติบโตได้ยาวนาน
กลยุทธ์การบริหารทีมที่มีความสามารถหลากหลาย
ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในการนำ AI มาใช้ได้แชร์ประสบการณ์ว่า การจัดการทีมที่มีระดับ AI Literacy แตกต่างกันต้องใช้แนวทางที่ยืดหยุ่นแนวทางแรกคือการสร้าง Sandbox Environment หรือสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการทดลองให้พนักงานได้ลองใช้ AI Tools ต่าง ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความผิดพลาดหรือการทำลายระบบที่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญมากคือการให้อำนาจและงบประมาณแก่ทีมงานแทนที่จะให้พนักงานต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่ยุ่งยากจากแผนก IT หรือรอโครงการใหญ่ให้พวกเขาสามารถ Subscribe AI Tools ที่จำเป็นได้ทันที เช่น ChatGPT Plus, Course หรือ Canva Pro
การวัดและติดตามพัฒนาการของทีมเป็นสิ่งจำเป็นโดยการสร้าง AI Literacy Roadmap ที่วัดความสามารถจากระดับ 1 ถึง 5 โดยระดับ 5 หมายถึงสามารถเขียนโค้ดและสร้าง AI Solution เองได้การมี Roadmap ที่ชัดเจนจะช่วยให้ทั้งผู้บริหารและพนักงานรู้ว่าควรพัฒนาทักษะในทิศทางไหนต่อไป
การตัดสินใจว่า AI Project ไหนควรลงทุนต่อไปสามารถใช้กรอบการคิดแบบง่ายๆ โดยใช้แกน X เป็น Technical Feasibility หรือความเป็นไปได้ทางเทคนิค และแกน Y เป็น Business Impact หรือผลกระทบทางธุรกิจ Business Impact นั้นวัดได้จากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ การลดต้นทุนการดำเนินงาน หรือการปรับปรุง Efficiency Metrics ต่างๆ เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า คะแนน NPS ความเร็วในการตรวจจับการฉ้อโกง หรือเวลาตอบสนองในสถานการณ์วิกฤต
กระบวนการ Use Case Audit ที่มีประสิทธิภาพคือการรวบรวม AI Use Cases จากทุกหน่วยงานมาจัดกลุ่มตามผลกระทบและความเป็นไปได้ จากนั้นเลือกทำโครงการที่มี High Impact และ High Feasibility ก่อนหากผลลัพธ์ดีก็ขยายไปยังหน่วยงานอื่น แต่หากเป็นโครงการที่มี Low Impact แม้จะทำง่ายก็ควรพิจารณาหยุดทำและโฟกัสไปที่สิ่งอื่นที่สำคัญกว่า
การปรับเปลี่ยนบทบาทของพนักงานในยุค AI
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนจาก Individual Contributor เป็น AI Orchestrator พนักงานในอนาคตจะต้องเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการ AI ให้ทำงานแทน แทนที่จะทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดและมักถูกเข้าใจผิดคือ AI ไม่สามารถทดแทนความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านได้ พนักงานยังคงต้องมีความรู้ความสามารถในสาขาของตัวเองต้องติดตามแนวโน้มใหม่ ๆ ศึกษา Case Studies และเข้าใจ Frameworks ต่าง ๆ เพราะถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญในโดเมนนั้นจะไม่สามารถสั่งการหรือประเมินผลงานของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มุมมองที่ผู้เขียนรู้สึกว่าน่าสนใจคือการเปลี่ยนจากการมอง AI เป็นภัยคุกคาม ไปเป็นการมองเป็นโอกาสทางธุรกิจพนักงานที่สามารถสร้าง AI Solutions ที่มีประสิทธิภาพสามารถนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ได้ เช่น การขายระบบที่พัฒนาให้องค์กรอื่น การเป็นที่ปรึกษาด้าน AI
บทสรุป AI x Marketing Team บทบาทใหม่ของ Leader ในการขับเคลื่อนทีม จากงาน MKTCON2025
เป็นไงกันบ้างคะ ความรู้จากงาน MKTCON2025 น่าสนใจมาก ๆ เลย ผู้เขียนจะขอสรุปเซสชั่นนี้ได้ว่าการบริหารทีมในยุค AI ไม่ได้หมายถึงแค่ “ใครเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ได้ก่อน” อีกต่อไปค่ะ แต่คือการออกแบบวิธีการทำงานใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ทัศนคติ กระบวนการ ไปจนถึงวิธีวัดผลสำเร็จของทีม ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะไม่เพียงแค่จัดการคนแต่ต้องบริหารทีมที่มีความสามารถหลากหลาย สร้างโครงสร้างพื้นฐานและการฝึกอบรมที่พร้อมรองรับโปรเจกต์ที่สร้างผลกระทบทางธุรกิจจริง พร้อมกับรักษาความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวและกล้าที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วย AI
ในวันที่โลกธุรกิจมี AI Agent นับหมื่นและคอนเทนต์สามารถผลิตได้ในไม่กี่นาที คำถามที่แท้จริงจึงไม่ใช่ “จะใช้ AI ได้ไหม” แต่คือ“เราจะใช้ AI อย่างไรให้สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง”และ “เราจะสร้างคุณค่าใหม่อะไรด้วย AI ที่ผู้คนอยากได้จริง”
อนาคตของการทำงานไม่ใช่ภาพที่ AI เข้ามาแทนมนุษย์ แต่คือการทำงานร่วมกันอย่างลงตัว มนุษย์ยังคงเป็นคนกำหนดทิศทางควบคุมคุณภาพ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขณะที่ AI เข้ามาเสริมความเร็วและประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือ เราจะเตรียมตัวรับมือกับอนาคตนี้อย่างไร เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่รอได้อีกแล้ว แต่คือการบ้านที่ทุกองค์กรต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ค่ะ