ถอดรหัสการตลาดโต 10 เท่าด้วย Automation & Creativity จากงาน MKTCON2025

ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างแบบไม่หยุดยั้ง คำถามที่หลายแบรนด์หนีไม่พ้นคือ จะทำอย่างไรให้การตลาดเติบโตแบบก้าวกระโดดได้จริงใช่ไหมคะ คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่การพึ่งเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวแต่คือการหาสมดุลที่ลงตัวระหว่าง Automation ที่ทำให้การตลาดเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ กับ Creativity ที่สร้างคุณค่าและความแตกต่างให้กับแบรนด์ ในงาน MKTCON2025 จาก คุณอภิรดา เบ็ญจฆรณี CEO of CXM, MD of Merkle Thailand, Dentsu ได้มาแชร์ประสบการณ์และ Case Study ที่น่าสนใจในหัวข้อเรื่อง “10X Marketing Growth through Automation and Creativity (การตลาดโต 10 เท่า ด้วย Automation & Creativity)” 

สิ่งที่ผู้เขียนมองว่าน่าสนใจคือไม่ใช่แค่ “สูตรสำเร็จ” ที่ใช้กับใครก็ได้แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดของนักการตลาดในยุคดิจิทัลแบบหน้ามือเป็นหลังมือว่าแท้จริงแล้ว “การเติบโต” ไม่ได้มาจากความสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งแต่มาจากการผสมผสานที่ฉลาดและเหมาะกับบริบทของแต่ละธุรกิจ

สูตรที่คุณอภิรดาเรียกว่า “Magic Formula” คือ A (Automation) x C^Human (Creativity) = 10X Marketing Growth โดย Automation จะช่วยลดงานซ้ำซาก จัดการความซับซ้อนและทำ Personalization ในระดับมวลชน ขณะที่ Creativity จะช่วยสร้างการเชื่อมโยงเชิงมนุษย์กับลูกค้าสร้างนวัตกรรมและเจาะลึกวัฒนธรรมต่างๆ

Automation & Creativity

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่สิ่งที่ต้องการมากที่สุดกลับเป็น “ความคิดสร้างสรรค์” ที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์นี่คือจุดที่เราต่างจาก Technology และเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนค่ะ

การเริ่มต้นด้วยการ Automate the Basic อาจฟังดูง่าย ๆ นะคะ แต่กลับเป็นรากฐานสำคัญที่จะพาเราไปสู่การเติบโต 10 เท่า คุณอภิรดาได้ยก Case Study จาก OWNDAYS เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เพราะแบรนด์แว่นตาที่ขายจุดแข็งเรื่องตัดแว่นใน 20 นาที ต้องการ engage กับลูกค้าให้มากขึ้นผ่าน LINE

กลยุทธ์ที่ใช้คือการทำ Campaign ในช่วง “Moment ที่สำคัญ” ของลูกค้า เช่น วันเกิด หรือ ช่วงเวลาที่ควร check up แว่น การเลือกจังหวะเวลาที่ถูกต้องนี้แหละที่เป็น Key Success มากกว่าตัว Automation เอง โดยใช้ Deep Connector (LINE Solution) เก็บข้อมูลลูกค้าแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องให้ลูกค้ากรอกข้อมูลเต็มรูปแบบตั้งแต่แรก ผลลัพธ์ที่ได้คือ ROI เพิ่มขึ้น 10 เท่า และที่น่าสนใจคือ ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำเร็วขึ้น 9.5 เท่า จากเดิมที่อาจต้องรอหลายเดือนกว่าลูกค้าจะวนกลับมาหาเราตอนนี้ระยะเวลาสั้นลงมาก

อีก Case หนึ่งจากกรุงเทพประกันภัยที่ได้รางวัล Marketing Transformation เขามาปรึกษาเรื่อง pain point ของลูกค้าและผลิตภัณฑ์ที่แก้ได้ง่ายที่สุดคือประกันการเดินทางการปรับปรุง Customer Journey บน website ทำให้ Conversion Rate เพิ่มขึ้น 58% และลด Media Spending ได้ 27% ซึ่งได้รับรางวัล Marketing Excellence Award ด้วย

Automation & Creativity

สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้จาก Case เหล่านี้คือ การทำ Marketing Transformation ไม่ใช่อะไรที่ต้องหวือหวาแต่เป็นการจับ pain point ของลูกค้าให้มากที่สุดและที่สำคัญที่สุดคือ ทุกคนที่อยู่ในองค์กรไม่ว่าจะเป็นแผนก IT, Marketing, Business ต้องอยู่ในโต๊ะเดียวกันและเห็นความสำคัญของลูกค้าเป็นศูนย์กลางจริงๆ

Key Success Factor : การเปลี่ยน Data ให้เป็น Insight, เปลี่ยน Insight ให้เป็น Strategy, สร้าง Experience ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และที่สำคัญที่สุดคือต้องใส่ Creativity ไปด้วยกันตั้งแต่แรกไม่ใช่ทำ Automate ไปก่อนแล้ว Creativity ตามมา ถ้าคิดทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ทุกอย่างจะสร้างความแตกต่างและความยั่งยืนได้มากขึ้น

ขั้นตอนต่อมาคือ Creative Automation ซึ่งมี Case Study สุดประทับใจจาก JR (Japan Railway) กับ Campaign “My Japan Railway” ที่เกิดขึ้นหลัง Covid ในปี 2022 เมื่อผู้คนไม่สามารถเดินทางได้ แต่รถไฟยังคงเป็นเส้นทางสำคัญของคนญี่ปุ่น Campaign นี้ได้รางวัล Cannes Lion และ D&AD ซึ่งเป็นรางวัลออกแบบที่ดีที่สุดและสูงที่สุดของญี่ปุ่น สิ่งที่ทำให้ Campaign นี้พิเศษคือการออกแบบสแตมป์ดิจิทัลที่แต่ละสแตมป์เป็นตัวแทนของสถานีต่าง ๆ โดยใช้สีที่แตกต่างกันตามสี JR Company แต่ละสาย

ที่น่าสนใจคือ เมื่อ Dentsu Japan ถูกถามว่าต้องใช้คนกี่คนในการดีไซน์สแตมป์เหล่านี้ คำตอบคือ 100 คน เพียงแค่เพื่อดีไซน์สแตมป์ธรรมดาแต่พวกเขายังมีสแตมป์พิเศษอีกกว่า 1,000 สแตมป์ที่ได้จากเจ้าหน้าที่ JR โดยตรง รวมถึง Festive Stamp สำหรับเทศกาลต่างๆ

แต่จุดเด่นที่แท้จริงคือการใส่ “Human Touch” เข้าไปในสแตมป์ดิจิทัล เมื่อผู้ใช้กดสแตมป์ ความเข้มของสีจะขึ้นอยู่กับแรงกดของนิ้วมือ ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นการสะสมที่มี Human Touch มากขึ้น ไม่ใช่แค่การกดปุ่มธรรมดา GPS จะ detect ได้ว่าอยู่ใกล้สถานีไหนและผู้ใช้สามารถเลือกสะสมตามความ Popular, Rare Item หรือสะสมเป็น Map ตามเส้นทาง

การเดินทางจึงไม่ใช่แค่การเดินทางจาก A ไป B ค่ะแต่เป็นการเดินทางเพื่อเชื่อมโยงชีวิตและประสบการณ์ ผู้ใช้สามารถเก็บสะสมได้ว่าเดินทางกับใครและรู้ว่าเดินทางกับใครบ้าง มันกลายเป็นประสบการณ์ที่มีความหมายมากกว่าการเดินทางธรรมดา

หลักการสำคัญที่ได้เรียนรู้จาก Case นี้คือ การ Drive Creative Automation ไม่ใช่การ Design Technology แต่เป็นการ Strengthen our bond ในเรื่องของความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ การเชื่อมโยงที่ดีที่สุดคือให้มันอยู่ใน Daily Life ของลูกค้า อะไรที่อยู่ใน Daily Life และทำให้วันธรรมดาของเขากลายเป็นวันพิเศษนั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้ Creative Automation สำเร็จได้

การทำ Humanized Automation เป็นศาสตร์ที่ต้องผสานหลายสิ่งเข้าด้วยกันเริ่มจากการใช้ Emotional ในการเล่าเรื่องราว การส่ง SMS ทำ Personalization ถ้าพูดแบบดื้อ ๆ ตรง ๆ มันก็ไม่เกิดผลอะไรค่ะ แต่ถ้าใส่ emotion เข้าไปมี story ทุกอย่างก็จะเชื่อมโยงกับคนที่ได้รับ message นั้น

ขั้นตอนต่อไปคือการ develop Brand Voice และ Personality ให้รู้ว่าตรงนี้มีความเป็นมนุษย์การสวมวิญญาณมนุษย์ให้กับ Technology ทำให้เรา Humanized ได้ดีขึ้นไปอีกระดับต่อมาต้องรู้จักลูกค้า Empathize with journeys รู้จักอย่างลึกซึ้งว่าเราควรจะพูดอะไรกับใครอย่างไรและเราต้องรู้จัก preference ด้วยว่าเขาต้องการช่องทางไหนต้องการการสื่อสารแบบไหนไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา

Automation & Creativity

สุดท้ายคือการ orchestrate ทำให้ Technology, Channel และคนเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ไม่ต้อง fake ว่า technology ต้องทำตัวเป็นคนเราต้องรู้ว่าตรงไหนที่ควรใช้มนุษย์ ตรงไหนที่ควรใช้ Technology หรือผสาน 2 อย่างให้กลมกลืนที่สุดแบรนด์ไม่ควร jump ไปที่ Technology ก่อนใคร

ระดับสุดท้ายคือ Human and AI Collaboration ซึ่งหนีไม่พ้น AI ในยุคปัจจุบัน Case Study “Scan the Can” จาก Dentsu Japan เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เริ่มต้นจากแนวคิดง่าย ๆ ว่ากระป๋องทำอะไรได้เยอะมาก แนวคิดคือการใช้กระป๋องทำ “proof of purchase” คือรู้ว่าลูกค้าซื้อเท่าไร อย่างไร ที่ไหน แบบไหน จากนั้นก็เก็บข้อมูลเข้ามากระป๋องแต่ละใบจะมี identity ไม่ซ้ำกันเลย Dentsu Japan ได้ทำ Model นี้และได้จดลิขสิทธิ์ไว้เรียบร้อย

Case Study จาก Suntory เบียร์กระป๋อง ทำผ่าน LINE โดยมีการ Register ไม่กี่ขั้นตอน เพราะบางครั้งการทำ automate ทุกอย่างตั้งแต่ A to Z ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ บางที accuracy มันไม่ได้ เราก็ยอมถอยได้นิดหน่อย เมื่อสแกนกระป๋องแล้วกด Start จะกลายเป็น Game ที่สนุก กระป๋องธรรมดาก็จะไม่ธรรมดาอีกต่อไปผู้เล่นสามารถเลือกท่าทาง, วางท่า, สแกนแบบต่างๆ มันเริ่มมี Game element เข้ามา มันสนุกกว่าเวลาที่เราแค่กินเบียร์แต่พอกินเสร็จมี Game มาเล่นด้วย ถ้าเล่นกับเพื่อนแข่งกับเพื่อนด้วย มันกลายเป็นความสนุกที่แตกต่าง

Automation & Creativity

ข้อมูลที่เก็บได้จะมี Score ของแต่ละคน behavior ว่าเล่นบ่อยแค่ไหน Score เป็นอย่างไร การเปิดกระป๋องครั้งแรกจะใกล้เคียงกับการที่คนดื่มครั้งแรก ปกติเราจะไม่รู้เลยว่าเขาจะดื่มเมื่อไหร่แต่ตอนนี้มีการพิสูจน์แล้วว่าเวลาที่ดื่มกับเวลาที่เขาเปิดกระป๋องใกล้เคียงกันมากเราจึงรู้ behavior ของการดื่มของเขาด้วย

Technology นี้ยังสามารถขยายไปยังผลิตภัณฑ์อื่นได้ เช่น yogurt, นมกล่อง แต่จะเป็นการเก็บ point ปกติแทนที่จะเป็น Game การเก็บ point แบบนี้ทำให้เกิด engagement และที่สำคัญคือ เราเก็บข้อมูลที่เป็น consumption data ว่าผู้บริโภคดื่มเมื่อไหร่รวมถึง demographic ของเขาได้ด้วย

การเติบโต 10X Marketing Growth เกิดขึ้นได้ในทุกระดับ ตั้งแต่ basic optimization ไปจนถึง AI collaboration โดยทุกขั้นต้องเชื่อมกับ creativity ไม่ว่าจะอยู่จุด low หรือ innovative ก็สร้างการเติบโตได้หากเข้าใจ pain point ของลูกค้า และสื่อสารได้ตรงใจ

  • ในระดับ low แม้จะยังไม่ถึงขั้นนวัตกรรม แต่ถ้า optimize พื้นฐานได้ดีและเข้าถึงลูกค้าอย่างแท้จริง ก็สร้างผลลัพธ์ที่ทรงพลังได้
  • ในระดับ medium to high คือการทำ humanized automation ใช้ AI และเทคโนโลยีช่วย แต่ใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปในข้อความและประสบการณ์ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ “พูดกับเขา ไม่ใช่พูดใส่เขา”
  • ส่วน high impact zone ต้องใช้ creativity ที่สูงและแตกต่างจริง ๆ เพื่อสร้างความเหนือชั้นกว่าคู่แข่ง

สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ “อยากใช้ AI” แต่คือการหาคำตอบว่า AI จะเชื่อมโยงกับลูกค้าและคนในองค์กรอย่างไร เพราะการเติบโตอย่างยั่งยืนเกิดจากการทำงานร่วมกันของคน + AI ไม่ใช่การแยกขาดจากกันค่ะ

จากการศึกษา Case Studies ทั้งหมดสิ่งที่ชัดเจนคือ อนาคตของการตลาดจะไม่ได้วัดกันที่ “ใครใช้ AI เก่งกว่า” แต่จะอยู่ที่ “ใครสามารถผสาน Automation เข้ากับ Human Creativity ได้ลงตัวกว่า” เพราะการสร้าง 10X Marketing Growth ไม่ได้หมายถึงการวิ่งตามเทคโนโลยีที่ล้ำที่สุดเสมอไปแต่คือการกลับไปตั้งต้นที่หัวใจของการตลาดการเข้าใจลูกค้าให้ลึกจริง รู้ว่าเขากังวลอะไร เจ็บปวดตรงไหน และอยากได้ประสบการณ์แบบไหนในชีวิตประจำวัน

สิ่งที่สำคัญที่สุดในยุคนี้คือการตลาดต้อง “มีหัวใจ” ไม่ใช่แค่ผลักดันยอดขาย แต่คือการสร้าง คุณค่า ความสุข และความหมาย ให้กับผู้คนและสังคมเพราะเมื่อแบรนด์ทำสิ่งดี ๆ ออกไป คนก็พร้อมจะเชียร์ และความสัมพันธ์ที่เกิดจากความจริงใจนี่แหละคือรากฐานของการเติบโตที่ยั่งยืนที่สุด

ดังนั้น A + C^Human = 10X Marketing Growth จึงไม่ใช่แค่สมการการตลาดแต่คือสูตรในการสร้างโลกธุรกิจที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นที่เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่สิ่งแยกจากกันแต่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตที่ดีทั้งต่อแบรนด์และต่อสังคมค่ะ 

ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ และสามารถอ่านบทความอื่น ๆได้ที่นี่

อุ๋มอิ๋ม Marketing Content Creator และ Data Insight Researcher ของการตลาดวันละตอน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *