Strategic Comparison การตลาด Yeti ผ่าน Single & Every Single-Use

เรียกได้ว่าทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่การรักษาสิ่งแวดล้อมและการเลือกซื้อสินค้าที่ ยั่งยืน นั้นกลายเป็นสิ่งที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อของทั้งผู้บริโภคหรือผู้ผลิตเรียกได้ว่าแบรนด์ต่าง ๆ เองต่างก็ต้องหากลยุทธ์ที่จะทำยังไงให้สามารถครองใจและอยู่ในใจลูกค้าได้ หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ Yeti แบรนด์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องอุปกรณ์กลางแจ้งที่มีคุณภาพสูงล่าสุดได้เปิดตัวแคมเปญ Built for Generations ที่จะทำยังไงให้ผลิตภัณฑ์และสินค้า สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน กับ Strategic Comparison การตลาด Yeti ผ่าน Single & Every Single-Use

รู้จัก Yeti แบรนด์อุปกรณ์กลางแจ้งที่สร้างมาตรฐานใหม่ในวงการ

ก่อนจะไปรู้จักกับแคมเปญเชื่อว่าทุกคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับแบรนด์ Yeti กันใช่ไหมคะ? ต้องบอกว่า Yeti ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์ที่ขายอุปกรณ์กลางแจ้งเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นแบรนด์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพและความทนทานสูงที่ได้รับการยอมรับจากเหล่าผู้ที่รักในการผจญภัยและความทนทาน

เล่าย้อนกลับไป Yeti เดิมทีนั้นเริ่มต้นจากการผลิต coolers (ตู้เย็นพกพา) ในช่วงปี 2006 โดยสองพี่น้อง Roy และ Ryan Seiders จากรัฐ Texas ที่ตอนนั้นมองเห็นปัญหาว่าในตลาดตู้เย็นพกพาในตอนนั้นมีสภาพของการใช้งานที่ไม่ทนทานและไม่สามารถเก็บความเย็นได้นานเท่าที่ไหร่ สองพี่น้องเลยตัดสินใจทำ cooler ในฉบับของ Yeti ที่สามารถทนทานต่อทุกสภาพอากาศและเก็บความเย็นได้และเหมาะสำหรับนักตกปลาและคนที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้งโดยเฉพาะ

source

เพราะความแข็งแรงและความสามารถในการใช้งานได้จริงในทุกสถานการณ์ของ coolers จากแบรนด์ของสองพี่น้อง Yeti ในตอนนั้น เลยทำให้สินค้านั้นได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกลายเป็นที่รู้จักในวงการอุปกรณ์กลางแจ้ง และยิ่งไปกว่านั้นนะคะทาง Yeti เองยังได้ขยายไปทำผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ด้วยอย่างเช่น tumblers (แก้วเก็บอุณหภูมิ) และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นการเน้นการผลิตสินค้าที่ทั้งทนทานและสามารถใช้งานได้จริงในทุกวันด้วยจริง ๆ

แคมเปญ Built for Generations สินค้าที่ดีควรมีคุณค่าในตลอดทุกช่วงเวล

ล่าสุด Yeti เปิดตัวแคมเปญ Built for Generations ที่มาพร้อมกับแนวที่น่าสนใจนั่นก็คือ สินค้าที่ดีควรมีคุณค่าในทุกช่วงเวลา ต้องบอกว่าแนวคิดนี้สะท้อนถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่แค่ทนทานในวันนี้ แต่ยังสามารถใช้ได้นานหลายสิบปีหรือหลายรุ่นโดยไม่จำเป็นต้องทิ้งหรือเปลี่ยนใหม่ตามกระแส ตามชื่อเลยนะคะ

ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของ Yeti ที่ออกแคมเปญนี้มาก็คือจะทำยังไงนะ? ให้สามารถสร้างการรับรู้ของผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้ หลายปี หรือ หลายรุ่น และไม่จำเป็นต้องทิ้งเมื่อใช้งานเสร็จแถมยังสามารถส่งต่อไปยังรุ่นถัดไปได้ เรียกได้ว่าแคมเปญนี้ไม่ใช่แค่เน้นการขายสินค้าที่ทนทานเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นการ กระตุ้นให้ผู้บริโภคคิดถึงผลกระทบของการเลือกสินค้าที่ใช้แล้วทิ้ง ซึ่งจะเกิดขยะและทำลายสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอีกด้วย

Strategic Comparison การตลาดYeti

จากการศึกษาของ World Economic Forum ยังพบว่า ขยะพลาสติก เป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันเลยโดยมีการประมาณว่า ทั่วโลกผลิตพลาสติกประมาณ 300 ล้านตัน ต่อปีและ ขยะพลาสติกเกือบ 80% ก็ล้วนแล้วแต่ถูกทิ้งในทะเลและแหล่งน้ำ ซึ่งเกิดจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้งเพียงครั้งเดียวและไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แน่นอนค่ะว่าการเลือก สินค้าที่ดีมีคุณภาพและทนทาน อย่างผลิตภัณฑ์จาก Yeti กับแคมเปญที่ออกมาก็เรียกได้ว่าสามารถ ลดปริมาณขยะ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน เพราะว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถใช้งานได้ในระยะยาวและไม่ต้องทิ้งซ้ำแล้วซ้ำอีกตาม Concept ของ Built for Generations 

source

Strategic Comparison ‘Single Use’ และ ‘Every Single Use’ กับการสะท้อนความแตกต่างที่ชัดเจน

การเปรียบเทียบเชิงกลยุทธ์ หรือ Strategic Comparison อธิบายง่าย ๆ เลยก็คือการใช้การเปรียบเทียบระหว่างสินค้าหรือบริการของแบรนด์หนึ่งกับสินค้าหรือบริการของคู่แข่ง ที่เน้นไปทีคุณสมบัติที่แตกต่างและข้อดีที่ทำให้แบรนด์นั้นโดดเด่นขึ้นมา ซึ่งกลยุทธ์นี้เองก็รวมถึงการมีจุดมุ่งหมายในการ ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อด้วยนะคะ เหมือนเป็นการชี้ให้ว่านี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนของแบรนด์ในตลาดนะ

การใช้ การเปรียบเทียบเชิงกลยุทธ์ หรือ (Strategic Comparison) ของแคมเปญ Built for Generations ของ Yeti ส่วนตัวผู้เขียนเองมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสินค้าที่ ใช้แล้วทิ้ง กับสินค้าที่ มีคุณค่าและสามารถใช้งานได้ยาวนาน

Strategic Comparison การตลาดYeti
credit picture: adage.com

ด้วยความที่ Yeti เองเป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นการสร้าง ผลิตภัณฑ์ที่ทนทานและสามารถใช้งานได้ในระยะยาว เป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น Yeti Cooler หรือ Yeti Tumblers และการเลือกใช้คำว่า ‘Single Use’ และ ‘Every Single Use’ ในแคมเปญ Built for Generations ผู้เขียนเองก็มองว่าเป็นการช่วยชี้ให้ผู้บริโภคได้เห็นความแตกต่างว่าระหว่างสินค้าที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งกับสินค้าที่สามารถ ใช้งานได้หลายปี นั้นเป็นยังไง

นอกจากจะ ช่วยลดการขยะ แล้ว ในแคมเปญ Built for Generations ยังมีการใช้คำว่า ‘Single Use’ และ ‘Every Single Use’ มาเป็นการเปรียบเทียบระหว่างการใช้งานของผลิตภัณท์ 2 แบบ คำว่า ‘Single Use’ ถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลิตภัณฑ์ที่ว่าใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง(ซึ่งตรงนี้ถ้าเทียบก็เหมือนกับการสร้าง ‘ขยะ’) ในทางเดียวกันคำว่า ‘Every Single Use’ หมายถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้ทุกวันและทนทานไปตลอด(เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนชนิดที่แบบมองไกล ๆ ก็รู้เลย) เรียกได้ว่า Yeti เข้าใจคิดคำและทำแคมเปญออกมาจริง ๆค่ะ

Experiential Marketing การตลาดนี้สร้างผ่าน ‘ประสบการณ์

ผู้เขียนมองว่าแคมเปญ Built for Generations ของ Yeti ที่ออกแคมเปญนี้ออกมาเป็นเหมือนการเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างชัดเจนสินค้าที่ใช้แล้วทิ้งกับสินค้าที่สามารถใช้งานได้ยาวนาน อย่างคำว่า ‘Single Use’ และ ‘Every Single Use’ ในแคมเปญใช่ไหมคะ จากภาพที่เห็นเป็นการทำให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่าผลิตภัณฑ์ไหนที่คุ้มค่าและยั่งยืนกว่ากัน ยกตัวอย่างเช่น Yeti Cooler ที่บอกว่าใช้งานได้ทุกฤดูกาล ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน มันก็ยังใช้งานได้เต็มที่อะไรประมาณนี้

ถึงตรงนี้เองถ้าลองมองในมุมของการตลาดผู้เขียนเองมองว่าเป็นเหมือนการใช้ Self-Awareness Marketing แบบที่ไม่ต้องพูดอะไรมากแต่เน้นไปที่การทำให้ผู้บริโภคนั้นรู้สึกตระหนักได้เองว่า การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ทนทานยาวนานมันดีกว่าเลือกของที่ใช้แล้วทิ้งนะ หรือถ้าคิดอะไรไม่ออกก็ลองเลือกใช้ Yeti ได้นอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้นานแล้วก็ยังสามารถช่วยทำอะไรดี ๆ สำหรับตัวเองและโลกด้วย (เพราะไม่ใช่แค่การประหยัดเงินในระยะยาวเท่านั้น แต่ยังช่วยลดขยะพลาสติกที่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วยนะ)

ต้องบอกว่าแคมเปญนี้นำเสนอไปใน way ที่ว่าไม่ต้องถูกบังคับหรือโน้มน้าวอะไร แต่ให้ตัดสินใจเลือกสินค้าที่คิดว่าเหมาะสมและมีคุณค่ามากกว่า นี่แหละที่ทำให้ Yeti กลายเป็นแบรนด์ที่ลูกค้ารักและเชื่อใจค่ะ

ผลลัพธ์จากแคมเปญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

หลังจากที่ทาง Yeti ปล่อยแคมเปญ Built for Generations ออกมาผลลัพธ์ภายใน 3 เดือนหลังจากการเปิดตัวของยอดขายนั้นเพิ่มขึ้นถึง 20% เรียกได้ว่าพอมีแคมเปญที่ใส่ใจทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคออกมากระแสการตรตอบรับก็ได้ผลลัพธ์อย่างดีเลยทีเดียวค่ะ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคเองก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่ทั้ง คุ้มค่าในระยะยาว และ สามารถใช้งานไปได้ตลอดกับพวกเขาด้วย

Strategic Comparison การตลาดYeti
credit picture: adage.com

สรุป Strategic Comparison การตลาดYeti ผ่าน Single & Every Single-Use

แคมเปญ Built for Generations ของ Yeti เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของการใช้การตลาดที่มีความชัดเจนและการสื่อสารที่ตรงความหมาย ทั้งในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมและการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภคว่า การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทนทานและสามารถใช้งานได้ยาวนานนั้นดีกว่าการเลือกสินค้าที่ใช้แล้วทิ้งทั้งในด้านการประหยัดและการลดขยะพลาสติกด้วยนะ

นอกจากนี้ Yeti ยังใช้กลยุทธ์แบบ Self-Awareness Marketing ที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกสินค้าผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมได้ด้วยตัวเอง ผ่านการเปรียบเทียบภาพให้เห็นชัดเจนการเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ทำให้ลูกค้าหรือตัวผู้บริโภคนั้นเกิดการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในแบบของตัวเองได้

และแน่นอนค่ะว่าผลลัพธ์จากแคมเปญนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังค่ะเพราะทาง Yeti สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 20% ใน 3 เดือนหลังจากการเปิดตัวแคมเปญ ซึ่งตรงนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคในยุคปัจจุบันนั้นก็กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณค่าในระยะยาว แต่ก็ยังมองหาสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กับการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย

เป็นยังไงกันบ้างคะกับ Strategic Comparison การตลาดYeti ผ่าน Single & Every Single-Use หวังว่าผู้อ่านจะสนุกกับเรื่องราวดี ๆ ที่ผู้เขียนนำมาเล่าให้ฟังกันนะคะ หากผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ขอบคุณผู้อ่านที่น่ารักทุก ๆ คนพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ see you ka‪ ʕʽɞʼʔʕ•̫͡•ʔ‬

source source source

อ้อนแอ้น น้องคนเล็กแห่งบ้านการตลาดวันละตอน ชื่นชอบเล่าเรื่องและการเขียนบทความ ในอนาคตอยากพัฒนาตัวเองเพิ่มเติมในด้านของ Data Research & Marketing Content Creator ค้าบบ ปล.ขอฝากเนื้อฝากตัวรักเอ็นดูหนูด้วยนะคร้าบบ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *