ถ้าช่วงนี้ใครกำลังตั้งคำถามว่า “โลกธุรกิจของเราจะเดินหน้าไปทางไหนกันนะ?” ก็ไม่แปลกเลยค่ะ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน เราก็เจอแต่เรื่องชวนปวดหัว ทั้งเศรษฐกิจผันผวน เทคโนโลยีใหม่ถล่มเข้ามารัว ๆ พลังงานสะอาดก็กำลังมาแรง สงครามเรื่องสภาพอากาศก็ทำให้คนโต้เถียงกันไม่หยุด
ในปีนี้ เทรนด์ธุรกิจ 2025 กำลังกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่หลายคนพูดถึง เพราะธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและคาดเดายาก ผู้เขียนได้มีโอกาสฟังการบรรยายหัวข้อ Chaos or Prospect? Navigating the uncertainty of future business โดย คุณสุธีรพันธิ์ จาก SCBX ในงาน Future Trends Ahead Summit 2025 ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจมาก เลยขอสรุปรวบยอดมาให้ทุกคนอ่านกันแบบเข้าใจง่ายและนำไปปรับใช้ได้จริงกันค่ะ
อันดับบริษัทยักษ์ใหญ่… ทำไมพลิกเร็วขนาดนี้?
เมื่อลองย้อนดู Top 10 บริษัทมูลค่าสูงสุดสัก 15 ปีที่แล้ว คุณจะเห็นรายชื่อ ExxonMobil, Citigroup, หรือ Walmart แต่พอมาถึงปี 2020–2024 Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet ขึ้นมาเป็นดาวเด่น แถมยังมี NVIDIA และ Tesla อีกต่างหาก
ใช่แล้วค่ะ โลกกำลังส่งสัญญาณว่า “เทคโนโลยี” คือพระเอก ยิ่ง AI และ ชิป คือเบื้องหลังความก้าวกระโดดของธุรกิจยุคใหม่ รวมถึง พลังงานสะอาดก็เริ่มแซงพลังงานเก่า บริษัทยักษ์ด้านน้ำมันอาจถูกเบียดพื้นที่ขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับคนทำการตลาดเอง เราจะเห็นว่านวัตกรรมและเทรนด์ด้าน Tech & Clean Energy ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปค่ะ ผู้เขียนมองว่าเราอาจต้องคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ ๆ มาตอบโจทย์กระแสนี้ ตั้งแต่ Product, Positioning ไปจนถึง Storytelling
McKinsey เผยอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
คุณสุธีรพันธิ์อ้างอิงถึงงานวิจัยของ McKinsey ซึ่งวิเคราะห์บริษัทกว่า 3,000 แห่ง พบว่าอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็ว มักมี 3 คุณลักษณะหลัก ๆ คือ
- Business Model ล้ำสมัย: ใช้เทคโนโลยีหรือไอเดียใหม่ ๆ สร้างความได้เปรียบ
- เม็ดเงินลงทุนหลั่งไหล: นักลงทุนพร้อมทุ่ม เมื่อมองเห็นโอกาสขยายตลาด
- Market Size ระดับโลก: สามารถเติบโตได้แบบข้ามพรมแดน ไม่ติดเฉพาะแค่ในประเทศ
และถ้าส่องไปอีกยาว ๆ ถึงปี 2040 McKinsey บอกว่าจะมี 18 อุตสาหกรรม ที่โตแบบ “ดับเบิลทริปเปิล” (2–3 เท่า) ไม่ว่าจะเป็น E-commerce, AI, และ EVs ไปจนถึง Biotech, Space, และพลังงานนิวเคลียร์
แล้วนักการตลาดอย่างเราควรสนใจตรงไหน? ถ้าเรากำลังมองหา “New S-Curve” สำหรับธุรกิจ นี่แหละคือโอกาสค่ะ สินค้าบริการที่เราออกแบบต้องปรับให้เข้ากับตลาดโลกได้ เพราะอนาคตไม่มีเส้นแบ่งพรมแดนอีกต่อไป
3 ประเด็น “Chaos or Prospect” ที่ชวนให้หยุดคิด
ทุกวันนี้ โลกของเรากำลังหมุนเร็วขึ้นกว่าที่เคย สิ่งที่เคยเป็น “โอกาส” เมื่อวาน อาจกลายเป็น “ความล้าสมัย” ในวันนี้ได้แบบไม่ทันตั้งตัวเลยค่ะ โลกธุรกิจจึงไม่ได้มีแค่ “ความแน่นอน” หรือ “โอกาส” อย่างเดียว แต่เต็มไปด้วย “ความไม่แน่นอน” ที่พร้อมท้าทายเราตลอดเวลา
คำถามคือ เราจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร? จะปล่อยให้มันเป็น Chaos ที่คุมไม่อยู่ หรือจะพลิกให้กลายเป็น Prospect ที่สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ธุรกิจของเราแทน? ลองมาสำรวจ 3 ประเด็นสำคัญที่สะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลง และ โอกาสที่ซ่อนอยู่ในยุคนี้กันค่ะ
1. Wellness Tech vs. True Happiness สุขภาพล้ำยุค หรือ ความสุขที่แท้จริง
ทุกวันนี้ เทคโนโลยีสุขภาพก้าวไปไกลจนหลายคนเชื่อว่าเราสามารถ ชะลอวัย หรือ มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ได้ เราเห็นตัวอย่างจากสารคดี “Don’t Die” ของ Bryan Johnson ที่ลงทุนไปกับอุปกรณ์สุดล้ำ เพื่อลดอัตราการเสื่อมของร่างกายให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
แต่ขณะเดียวกัน งานวิจัยของ Harvard ที่ใช้เวลาวิจัยยาวนานถึง 85 ปี กลับชี้ให้เห็นว่าการมี “ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง” และ “ความสุขในชีวิตประจำวัน” ต่างหาก คือกุญแจสำคัญที่ทำให้คนมีชีวิตยืนยาวและคุณภาพชีวิตดีจริง ๆ
สำหรับแบรนด์ที่ทำตลาดสาย Wellness เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญเลยนะคะ แม้ผู้บริโภคจะสนใจเทคโนโลยีสุขภาพมากขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการแค่สินค้าล้ำ ๆ หรืออาหารเสริมราคาแพง พวกเขายังต้องการ “คุณค่าทางใจ” เช่น การได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ การได้ทำในสิ่งที่รัก และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพราะฉะนั้น แบรนด์ที่ทำตลาดสายนี้ต้องหาจุดสมดุลระหว่าง “นวัตกรรม” และ “ความเป็นมนุษย์” ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องตอบโจทย์สุขภาพทั้งกายและใจของผู้บริโภคให้ได้ค่ะ
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยจาก McKinsey Health Institute ยังพบว่า ผู้บริโภคยุคนี้ให้ความสำคัญกับสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น และพร้อมจ่ายเพื่อสิ่งที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ผู้เขียนมองว่าไม่ใช่แค่เพื่อร่างกายที่แข็งแรง แต่รวมถึง “ความสบายใจ” และ “การควบคุมชีวิตตัวเองได้” ค่ะ ซึ่ง 5 เทรนด์ที่กำลังมาแรง ได้แก่
- Health at Home ตรวจสุขภาพเองที่บ้าน
- Biomonitoring & Wearables อุปกรณ์ติดตามสุขภาพแบบเรียลไทม์
- AI-Driven Personalization AI ช่วยวิเคราะห์และแนะนำการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล
- Clinical Over Clean คนให้ความสำคัญกับงานวิจัยมากกว่าสินค้าสายออร์แกนิก
- Doctor Over Influencers คนเริ่มเชื่อแพทย์มากกว่าคำแนะนำจากอินฟลูเอนเซอร์
สุดท้ายแล้ว จะเห็นได้เลยว่า Wellness ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการใช้ชีวิตค่ะ ผู้บริโภคไม่ได้มองสุขภาพแค่ตัวเลขบนอุปกรณ์วัดค่า แต่ต้องการสมดุลทั้งกายและใจ เทคโนโลยีต้องเข้ามาช่วยให้พวกเขาดูแลตัวเองดีขึ้น ลดกังวล มั่นใจ และใช้ชีวิตได้เต็มที่ ธุรกิจที่เข้าใจจุดนี้ และสามารถผสาน “นวัตกรรมสุขภาพ” กับ “คุณค่าทางใจ” ได้ จะสร้างความแตกต่างและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในตลาด Wellness ค่ะ
2. Digital Ease vs. Analog Charm ความสะดวกดิจิทัล หรือ เสน่ห์โลกออฟไลน์
อีกด้านหนึ่ง เราเริ่มเห็นการดิ้นรน “หนีจอ” ของผู้คนในสังคม คนจำนวนไม่น้อยเลือก “เข้าป่า” ในช่วงวันหยุดเพื่อเบรกตัวเองจากโซเชียล บางคนหวนกลับไปสะสมแผ่นเสียงหรือของวินเทจที่ให้ความรู้สึกเรียบง่าย ตลอดจนแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Pepsi หรือ Pizza Hut ก็หันกลับไปใช้โลโก้ยุค 90s
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า มนุษย์ยังคงโหยหาเสน่ห์ของโลกออฟไลน์ ซึ่งต่างจากภาพจำว่าเรา “ติด” ดิจิทัลกัน 24 ชั่วโมง ทว่าในแง่การตลาด เราก็ยังไม่สามารถทิ้งพลังแห่งโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ จริงไหมคะ? เพราะลูกค้าเองก็ต้องการความสะดวกสบายในการค้นหา สั่งซื้อ และสื่อสารกับแบรนด์
ทางออกที่ลงตัวจึงกลายเป็นแนวคิดการออกแบบ Customer Journey แบบ “Phygital” (Physical + Digital) หรือการผสานประสบการณ์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างสมดุล เช่น เราอาจใช้โซเชียลมีเดียให้คนเข้ามาสำรองที่นั่งหรือจองสินค้า แต่ก็ควรมีพื้นที่ออฟไลน์ที่ให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์จริง ๆ อย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง เพราะลูกค้าเองยังคงต้องการ “สัมผัส-พูดคุยกับมนุษย์จริง”
3. Green Goals vs. Greenwashing รักษ์โลกจริงจัง หรือ แค่สร้างภาพ
เรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกประเด็นที่มาแรงไม่แพ้กันค่ะ ทุกวันนี้หลายองค์กรออกมาประกาศว่าตัวเองเป็นมิตรกับโลก ตั้งเป้า Net Zero ลดคาร์บอนกันเต็มที่ แต่ปัญหาคือ หลายครั้งกลับถูกมองว่าเป็นแค่ “แคมเปญสีเขียว” เพื่อสร้างภาพ (Greenwashing) มากกว่าการลงมือทำจริง ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกฝั่งที่ไม่เชื่อว่านโยบายรักษ์โลกทำได้จริง จนเกิดเป็นกระแสต่อต้านแนวคิดสีเขียว หรือที่เรียกว่า Wokeness
เพราะแบบนี้เอง นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจที่อยากทำ Sustainability ต้องเดินเกมให้โปร่งใสและระมัดระวังค่ะ ถ้าจะบอกว่าบริษัทของเราปรับกระบวนการผลิต ลดการปล่อยคาร์บอน หรือใช้พลังงานสะอาด ก็ควรมี ข้อมูลและตัวเลขที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่แค่ “วาทกรรมสวยหรู” เพื่อหวังยอดขายหรือภาพลักษณ์เท่านั้น ถ้าทำจริง แสดงผลลัพธ์ให้เห็นจริง แบรนด์ก็จะได้รับความเชื่อมั่น โดยเฉพาะจากคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
ทั้งหมดนี้คือ 3 มุมมองที่สะท้อนว่าโลกเรากำลังอยู่ในสภาวะ “อิหยังวะ?” แบบที่คุณสุธีรพันธิ์พูดถึงค่ะ ผู้เขียนมองว่าฟังแล้วอาจดูเหมือนความสับสนวุ่นวาย แต่จริง ๆ แล้วมันเต็มไปด้วยโอกาส แค่เราต้องมองให้ออกและลงมือให้ถูกจุด
ไม่ว่าจะเป็นการทำตลาดสาย Wellness ที่ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพกาย แต่ต้องใส่ใจสุขภาพใจของผู้บริโภค การออกแบบ ประสบการณ์ออฟไลน์-ออนไลน์ ให้เชื่อมต่อกันได้แบบลื่นไหล หรือแม้แต่การทำ Sustainability อย่างโปร่งใสและจริงใจ สุดท้ายแล้ว โลกที่ดูวุ่นวายนี้จะเป็น “Chaos” หรือ “Prospect” ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารับมือและปรับตัวกับมันยังไงค่ะ
สรุป 3 เทรนด์ธุรกิจ 2025 Wellness พุ่ง ออฟไลน์คืนชีพ รักษ์โลกต้องจริง
โลกธุรกิจทุกวันนี้ไม่ต่างอะไรจากรถไฟเหาะที่ไม่มีวันหยุดนิ่งค่ะ เดี๋ยวพุ่งขึ้นสูง เดี๋ยวดิ่งลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ในทุกจังหวะของ “อิหยังวะ?” ก็ยังมี “โอกาส” ซ่อนอยู่เสมอ แค่เราต้องเปิดตา เปิดใจ และกล้าที่จะปรับตัว อย่างที่เห็นกันว่ายุคนี้ เทคโนโลยี และ พลังงานสะอาด กำลังเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ถ้าเรารู้ทิศทางลมและกระโจนลงไปก่อน เราก็อาจเป็นผู้นำกระแสได้ไม่ยากค่ะ
แต่ในขณะเดียวกัน คนยุคนี้ก็ไม่ได้ต้องการแค่สิ่งล้ำยุค พวกเขายังโหยหา “ความสุขแบบเรียบง่าย” และ “ความยั่งยืน” ไปพร้อมกัน นี่จึงเป็นหน้าที่ของนักการตลาดและนักธุรกิจ ที่ต้องมองให้ครบทั้งสองมิติ เช่น การสร้าง “นวัตกรรม” ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้น และ “Human Touch” ที่เติมเต็มคุณค่าทางใจ เพราะต่อให้ AI ฉลาดแค่ไหน มนุษย์ก็ยังต้องการ “เรื่องราว” และ “ความสัมพันธ์” ที่เติมเต็มหัวใจค่ะ
สุดท้ายนี้ เราอาจควบคุมโลกที่เปลี่ยนไปไม่ได้ แต่เราควบคุม “วิธีรับมือ” ของตัวเองได้เสมอ ถ้าเราพร้อมมองหาโอกาสและปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ “Chaos” ที่ดูน่ากลัวในวันนี้ ก็อาจกลายเป็น “Prospect” ที่น่าลองและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากกว่าที่คิดก็ได้นะคะ แล้วพบกันใหม่บทความหน้าค่ะ :0)
อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่
