10 Travel & Hospitality Trends 2024 รวมเทรนด์การท่องเที่ยวแนวใหม่

10 Travel & Hospitality Trends 2024 รวมเทรนด์การท่องเที่ยวแนวใหม่

บทความวันนี้จะมาสรุป 10 Travel & Hospitality Trends 2024 รวมเทรนด์การท่องเที่ยวแนวใหม่ทั่วโลกที่จะส่งผลต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า จากรายงาน The Future 100 ของ VML ให้นักการตลาดที่ชอบขยันอัปเดทความรู้ได้อ่านแล้วนำไปใช้ก่อนใครเพื่อน

สองบทความก่อนหน้าพูดถึงเรื่อง 10 Culture Trends 2024 รวมเทรนด์ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทั่วโลกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง กับ 10 Technology Trends 2024 รวมเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะส่งผลต่อการตลาด ธุรกิจ ไปจนถึงเศรษฐกิจโลกทั้งใบ

มาบทความนี้จะมาอัปเดทเทรนด์การท่องเที่ยวกันสักหน่อย ว่าผู้คนมองหาการท่องเที่ยวแบบไหน มีอะไรใหม่ที่น่าสนใจ เทรนด์นั้นจะส่งผลต่อการตลาดหรือแบรนด์อย่างไร ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลยครับ

1. Subterranean Hospitality เทรนด์โรงแรมหรูต้องอยู่ใต้ดิน

จากเดิมที่ความหรูหราของโรงแรมวัดกันที่ความสูง ยิ่งสูง คือ ยิ่งหรู ยิ่งมองเห็นวิวเส้นขอบฟ้ากว้างมากเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนถึงความหรูหรามากเท่านั้น แต่วันนี้ดูเหมือนจะกับตาลปัตรพลิกด้าน กลายเป็นยิ่งหรูมมากยิ่งต้องลงใต้ดินไม่ต้องเห็นอะไรทั้งนั้น และนั่นหมายความว่าจะไม่มีใครเห็นอะไรเราทั้งสิ้น

Zedwell คือตัวอย่างของโรงแรมที่ว่า เป็นโรงแรมใต้ดินที่อยู่ที่เมืองลอนดอน ชูจุดขายว่าโรงแรมเราเงียบสงบเหมาะแก่การนอนอย่างมาก เพราะไม่มีเสียงอะไรให้วุ่นวายเนื่องจากห้องพักเราอยู่ชั้นใต้ดิน ออกแบบให้เหมือนเมืองใต้ดินหรูๆ

ในห้องพักตัดสิ่งรบกวนทั้งหมดออกไป ไม่มีทีวี ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีอุปกรณ์ของเล่นอะไรสักอย่าง เรียกว่ามานอนเพื่อนอนจริงๆ กำแพงก็ออกแบบมาเพื่อลดเสียงรบกวนขั้นสุด แสงสว่างภายในห้องก็เช่นกัน

ทั้งหมดนี้คือต้องการให้กลับไปจุดเริ่มต้นที่ว่า โรงแรมแห่งนี้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการนอนอย่างแท้ทรู

ในประเทศออสเตเรียก็มีโรงแรมชื่อ The Continental Sorrento เปิดให้บริการห้องสปาที่อยู่ใต้ดินในปี 2023 แถมยังมีทั้งสระว่ายน้ำ ไปจนถึงห้องซาวน่า ทางโรงแรมมีแนวคิดว่าสุขภาพที่ดีต้องเริ่มจากถึงรากถึงแก่น ยิ่งลงได้ลึกเท่าไหร่ยิ่งดีต่อสุขภาพมากเท่านั้น

และยิ่งอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ก็พบว่าสถานที่บำบัดส่วนใหญ่ล้วนอยู่ชั้นใต้ดินทั้งนั้น ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกน่าเชื่อถือขึ้นไหมครับ

กลับมาที่ลอนดอนอีกครั้ง มีโรงแรมชื่อ The Londoner ออกแบบให้มีชั้นใต้ดินลึกถึง 8 ชั้น เป็นโรงแรมแรกในลอนดอนที่มีชั้นใต้ดินให้บริการลึกขนาดนี้ และก็เรียกชั้นใต้ดินของโรงแรมตัวเองว่าเป็นอีกโรงแรมแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า Iceberg hotel

มีครบทุกอย่างที่โรงแรมชั้นนำมี ตั้งแต่ห้องบอลรูม โรงภาพยนต์ โต๊ะพูล ไปจนถึงสปา เป็นโรงแรมใต้ดินเต็มตัวแห่งแรก ส่วนด้านบนก็เป็น The Londoner ไปตามปกติ

Claridge’s Hotel ในกรุงลอนดอนก็เป็นโรงแรมอีกแห่งที่ขุดลึกลงไปใต้ดินถึง 5 ชั้น เพื่อสร้าง Wellness center ขึ้นมาในปี 2022

ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง พื้นที่ 650 ตร.ม. มีห้องอบไอน้ำ สระว่ายน้ำ ซาวน่า และห้องทรีตเมนต์ 7 ห้อง เลยเป็นสวรรค์บนดิน เอ๊ะ หรือให้ถูกต้องบอกว่าสวรรค์ใต้ดินสำหรับคนรักสปาในลอนดอนจริงๆ ครับ

ต่อไปนี้คนที่ชื่นชอบสปาจะสามารถหลบจากความวุ่นวายบนดินลงไปใต้ดินเพื่อเยียวยาเองได้เต็มที่ครับ

บริษัทออกแบบชื่อ Studio Seilern Architects ได้ทำการออกแบบสปาใต้ดินให้กับโรงแรม Boksto 6 ในประเทศลิทัวเนีย และยังมีสระว่ายน้ำชั้นใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นมาในพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองจาก Unesco เพื่อความเงียบและสงบที่สุดของลูกค้าผู้เข้าใช้บริการ ที่สะท้อนถึงความหรูหราขั้นสุดของการพักผ่อนในโรงแรมวันนี้

ดูเหมือนการหลบลงดิน มุดลงใต้ดินยิ่งลึกเท่าไหร่ยิ่งสะท้อนถึงความหรูหราแบบไพรเวทมากขึ้นเท่านั้น เดิมชั้นใต้ดินถูกเอาไว้สำหรับชนชั้นล่างที่ไม่สามารถเห็นเดือนเห็นตะวันได้ แต่ในวันที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า กลายเป็นว่าเราเริ่มหันมาแข่งกันลงลึกให้มากที่สุด และไปใช้เวลาส่วนตัวเพื่อผ่อนคลายตามโรงแรมเหล่านั้นอย่างเต็มที่ครับ

ใครทำธุรกิจโรแรมที่พักอยู่ต้องลองดู ว่าเราจะสร้างชั้นใต้ดินเพื่อสร้างประสบการณ์แบบนี้ให้กับลูกค้าเราก่อนคู่แข่งได้อย่างไร

2. Transcendent Travel ทริปเที่ยวลึกล้ำเหนือระดับ

มีคนบอกว่าการท่องเที่ยวทำให้เราได้ค้นพบตัวเองได้ดี แต่ในวันที่ใครๆ ก็เที่ยวได้ทำให้มีเทรนด์การเที่ยวแบบลงลึกจมดิ่งลงไปในธรรมชาติ เพื่อค้นหาตัวตนของตัวเอง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ขั้นกว่าที่คนทั่วไปจะเคยมีกัน

ลืมการเที่ยวแบบเดิมๆ ที่ใครๆ ก็ทำกันอย่างการนอนเล่นบนชายหาด หรือดำน้ำดูปะการังทั่วไป เพราะวันนี้มีบริษัทที่รับจัดทริปจัดทัวร์แบบพิเศษสำหรับกลุ่มเพื่อน หรือคนในครอบครัว เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การท่องเที่ยวในแบบที่น้อยคนนักจะเข้าถึงได้

อย่างการจัดทริปพิเศษไปเที่ยว Tierra del Fuego ปลายสุดของทวีปอเมริกาใต้ ที่มีทั้งเกาะ ทะเล ทะเลสาบ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ธรรมชาติยังคงสวยงามขั้นสุด เหตุผลหนึ่งก็เพราะมันยากที่จะเดินทางไปได้สำหรับคนทั่วไป ต้องมีการต่อเครื่องบินหลายเที่ยว และนั่นก็หมายถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่ธรรมดาตามความสวยงามของธรรมชาติในพื้นที่นั้น

หรือจะเป็นการไปเที่ยว Poor Knight ในประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อค้นหาจุดดำน้ำที่สวยที่สุด ที่นักท่องเที่ยวน้อยคนจะเข้าถึงได้ เพราะต้องเดินทางไปด้วยเรือยอร์ชส่วนตัวเท่านั้น

Tom Marchant Co-founder ของบริษัท Black Tomato ที่จัดทริปสุดลึกล้ำดำดิ่งธรรมชาติบอกว่าตั้งแต่หลังโควิดมาก็มีกลุ่มคนที่มองหาทริปท่องเที่ยวแบบนี้เพิ่มขึ้น

พวกเขารู้สึกว่าชีวิตนั้นสั้น การออกไปค้นพบโลกที่ไม่เคยเห็น ความสวยงามของธรรมชาติแบบสุดๆ คือประสบการณ์อันมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง พวกเขาอยากออกไปค้นพบตัวเองกับเพื่อนสนิท มิตรสหาย คนในครอบครัว คนที่ตัวเองรัก พวกเขาต้องการประสบการณ์ที่ไม่รู้ลืม พวกเขาต้องการค้นหาความหมายของชีวิตผ่านการท่องเที่ยวสุดลึกล้ำเหนือระดับแบบนี้

Tom Merchant ยังให้สัมภาษณ์อีกว่าการที่ผู้คนได้มีประสบการณ์หยุดนิ่งกับความสวยงามของธรรมชาติเสมือนถูกสะกดนั้น คือประสบการณ์ขั้นสุดที่ไม่อาจรู้ลืมได้ มันคือช่วงเวลาสำคัญของการทำความเข้าใจตัวตนลึกๆ ข้างในของตัวเอง มันคือเส้นทางสู่การตระหนักรู้ความหมายของชีวิตว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร

นี่คือช่วงเวลา Golden Moment ช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุด แค่ได้ค้นพบสักครั้งในชีวิตก็อาจพลิกชีวิตไปอีกระดับได้

ที่ว่ามาอาจเป็นการไปออกทริปสำรวจโมร็อคโคเพื่อค้นหาไอเดียแรงบันดาลใจบางอย่าง หรืออาจเป็นการไปสำรวจวิถีชีวิตชาวบ้านที่ประเทศมองโกเลีย เพื่อค้นหาความหมายของคำว่าครอบครัวอีกมุมหนึ่ง

มันคือการออกไปค้นพบความหมายใหม่ๆ ของเรื่องเดิมๆ อย่างชุมชน สังคม ครอบครัว เพื่อน ความรัก หน้าที่การงาน แล้วเอากลับมาใช้กับตัวเองที่บ้าน ที่ๆ เราต้องการใช้ชีวิตประจำวันให้ดีขึ้น มีความหมายมากขึ้นครับ

27% ของ Gen Z และ Gen Y บอกว่าจะเลือกไปเที่ยวยังสถานที่หรือประเทศที่ทำให้ค้นพบตัวเองมากกว่าเดิม ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม และ 32% ก็บอกว่าอยากจะไปเที่ยวยังสถานที่ที่ทำให้ตัวเองเติบโตขึ้น

วันนี้การเที่ยวไม่ใช่แค่ความบันเทิง การผ่อนคลาย แต่มันคือการเรียนรู้ชีวิตและค้นพบตัวเองผ่านการท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ ในสถานที่ใหม่ๆ ที่ๆ ยังไม่ค่อยมีใครได้ไปกัน

นิยามคำว่าเที่ยวนั้นเปลี่ยนไป จากเพื่อความผ่อนคลายมาสู่การค้นหาความหมายของชีวิตมากขึ้น การเที่ยวจากสถานที่ทั่วไปที่ใครๆ นิยมไปถ่ายรูปกัน มาสู่สถานที่ๆ น้อยคนนักจะได้ไป ต้องใช้กำลังทรัพย์และความพยายามสูงถึงจะไปได้ มันคือการเปิดประสบการณ์ใหม่ เรียนรู้ชีวิตผ่านการเที่ยว

ลองดูว่าเราจะพาลูกค้าไปยังสถานที่แปลกใหม่ ที่ยังไม่ค่อยมีใครได้ไป ช่วยลูกค้าได้มีประสบการณ์ไม่รู้ลืมอย่างไรได้บ้างครับ

3. Immersive Theme Parks สวนสนุกอินเตอร์แอคทีฟ(เล่นได้)

เหมือนนิยามของคำว่าสวนสนุกหรือตีมพาร์ทกำลังจะเปลี่ยนไป จากเดิมมีไว้เพื่อเป็นผู้รับประสบการณ์ที่ถูกออกแบบไว้ให้ มาถึงวันที่เราจะได้เข้าไปเล่น เข้าไปกำหนด เข้าไปสร้างประสบการณ์ในสวนสนุกนั้นด้วยตัวเอง

อย่างการนั่งรถไฟเหาะ มันคือการรับประสบการณ์ทางเดียว เส้นทางเดิม การตกแต่งแบบเดิม แต่สวนสนุกแบบใหม่อย่าง teamLab ที่ญี่ปุ่น เราสามารถเข้าไปเล่น เข้าไป interact เข้าไปร่วมสนุกกับมันจริงๆ ได้

อย่างตอนผมไป teamLab ที่ Fukuoka ก็สามารถเข้าไปใช้มือถือสแกนจับสัตว์ เข้าไปเดินผ่านลูกบอลที่จะเกิดสีสันแบบต่างๆ ตามที่เท้าเราเหยียบ เราจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกับคนข้างๆ ทั้งหมด

และเทรนด์การทำ Immersive Theme Parks ก็กำลังขยายตัวอย่างมากทั่วโลกในปัจจุบันนี้ ในปี 2024 ที่ประเทศญี่ปุ่นก็จะเปิดสวนสนุกแบบนี้เพิ่มที่เกาะโอไดบะ ชื่อ Immersive Fort Tokyo และพวกเขาก็นิยามว่านี่คือ Immersive Theme Park แห่งแรกของโลกกับพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 30,000 ตรม ที่มีเครื่องเล่นมากถึง 12 ชนิด บวกกับ 6 ร้านค้าและร้านอาหาร เรียกได้ว่าจะยิ่งใหญ่อลังการแบบสุดๆ

Tsuyoshi Morioka ผู้เป็น CEO ของบริษัท Katana ผู้สร้างสวนสนุกแห่งนี้บอกว่าเราจะสร้างประสบการณ์แบบใหม่ให้ผู้เข้าสนุกได้ที่นี่เป็นที่แรก ที่ไม่ใช่แค่ความสนุกแบบตื่นเต้นร้องเสียงดังเหมือนสวนสนุกทั่วไป แต่จะมีประสบการณ์ในคดีฆาตกรรมที่ถูกออกแบบให้เราได้คลี่คลาย หรือจะเป็นฉากการดวลปืนที่ให้เราได้ลองตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป

สวนสนุกแห่งนี้จะให้ประสบการณ์ความเครียด ความกดดัน ความจริงจังแบบที่ไม่มีจากที่สวนสนุกอื่นมาก่อน มันคือโรงภาพยนต์ขนาดใหญ่ที่เราได้เป็นหนึ่งในตัวละครการเล่นในภาพยนต์เรื่องนั้นจริงๆ

เราจะได้รู้สึกกลัวจนขนหัวลุกยิ่งกว่าบ้านผีสิง เราจะได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้นจริงๆ จนจำไม่รู้ลืม

สวนสนุกแบบ Immersive Theme Park ก็ยังมีเกิดขึ้นใหม่ที่ Okinawa ช่วงปลายปี 2023 มีชื่อว่า teamLab Future Park Okinawa ก็จะเปิดให้ผู้คนเข้ามาร่วมสนุกแบบเป็นส่วนหนึ่งจริงๆ กับเครื่องเล่นทั้ง 8 อันที่มี โดยตั้งเป้าเป็นกลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ควบคู่กัน

สวนสนุกแบบนี้ยังเกิดขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กับ Immersive Theme Park ที่มีชื่อว่า Phantom Peak จะเป็นรูปแบบเสมือนจำลองการเล่นวิดีโอเกมให้คนหนีออกจากห้องต่างๆ ที่เสมือนกับเป็นฉากขนาดใหญ่ที่เอาทั้งสวนสนุกมาให้คนได้ร่วมเล่นจริงๆ

ผู้เข้าสวนสนุกแห่งนี้จะได้รับบทบาท Role play ว่าเป็นนักสำรวจหรือนักสืบที่จะร่วมกันคลี่คลายปริศนาที่ซ่อนอยู่ ดังนั้นสวนสนุกแห่งนี้จะไม่ใช่แค่ Immersive theater โรงหนังแบบเดิมๆ ที่เติมเอฟเฟคต่างๆ เท่านั้น แต่คุณจะเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ และเรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเล่นมันอย่างไร

นี่มันเกม RPG แบบ Real-life จริงๆ เลย

และสวนสนุก Phantom Peak แห่งนี้ก็วางแผนจะขยายสาขาไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ก็อาจจะไปเปิดที่เมืองชิคาโก หรือดัลลัส หรือซานฟรานซิสโกก็เป็นได้

75% ของผู้คนในอเมริกา อังกฤษ ไปจนถึงจีนบอกว่าพวกเขาอยากเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ที่มีเรื่องราวให้พวกเขาได้สัมผัส ได้รับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่ดู ชม นั่งรอรับประสบการณ์แบบสวนสนุกเดิมๆ ที่เคยมีมาเฉยๆ

พวกเขาอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์นั้นจริงๆ หรือได้กำหนดประสบการณ์ในสวนสนุกนั้นว่าอยากให้ออกมาเป็นอย่างไร ถ้าใครคิดจะทำสวนสนุกหรือ Event คงต้องคิดให้หนักกว่าเดิม จะทำให้ผู้คน ลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย ได้ประสบการณ์ที่แตกต่างจริงๆ ในแบบที่จะตราตรึงในความทรงจำไปตลอดกาลอย่างไรได้บ้างครับ

4. Forage Tourism เทรนด์ทริปเที่ยวเก็บมาทำกิน

นี่คืออีกหนึ่งเทรนด์การท่องเที่ยวแบบใหม่ที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่เที่ยวออกไปหาของกินร้านอร่อย ร้านดัง ร้านนิยมของคนโลคัล แต่นี่คือการออกไปเที่ยวเดินล่าตามหาของกินจริงๆ คือไปเดินค้นหาในป่าเพื่อเอามาทำกินต่อ หรือจะเป็นทริปที่จะได้ลงมือทำสิ่งนั้นขึ้นมากินจริงๆ ครับ

ในต่างประเทศมีทริปเดินลุยป่าเข้าไปหาเห็ดจริงๆ ที่กินได้กัน โดยผู้เข้าร่วมทริปจะต้องออกเดินเท้าเข้าไปในป่ากับไกด์ทัวร์ผู้มีความรู้เรื่องเห็ด พร้อมกับจะคอยบอกและสอนวิธีการเลือกดูสังเกตว่าเห็ดแบบไหนกินได้ และเห็ดแบบไหนอย่าได้หาลองกิน

ทริปแบบนี้เริ่มต้นขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 ในประเทศสหรัฐอเมริกา และจำนวนผู้ที่สนใจอยากร่วมทริปก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลาเป็นข่าวใหญ่ในประเทศว่าทั้งน่าสนุกและน่าสนใจควบคู่กัน

หรือที่ประเทศออสเตเรียก็จะมีทริปออกไปทำอาหารท้องถิ่นกินกับชาวอะบอริจิน ชาวพื้นเมืองเดิมๆ ของทวีปออสเตเรียจริงๆ

ที่ประเทศสกอตแลนด์ก็เพิ่งเปิดตัวทริปการท่องเที่ยวแบบ Forage Tourism นี้ให้ผู้ที่สนใจสามารถเดินทัวร์เข้าไปในป่าด้วยกันกว่า 3 ชั่วโมง เพื่อเรียนรู้และค้นหาพืชที่กินได้แล้วเอามาทำกินกัน

บริษัทจัดทัวร์สุดหรูอย่าง Black Tomato ก็มีทริปที่พาผู้ที่สนใจออกไปหาของกินตามหมู่เกาะ Lofoten ในประเทศนอร์เวย์ด้วยเรือใบขนาด 40 ฟุตแบบโบราณ เพื่อจะได้ไปจับปลาทะเลมาทำกินกันเมื่อขึ้นฝั่ง หรือที่ประเทศอิตาลีก็จะมีทริปค้นหาเห็ดทรัฟเฟิลกันจริงๆ

Photo: https://www.pbssocal.org/shows/the-migrant-kitchen/seaweed-harvesting-san-luis-obispo

ใน Airbnb Experience ก็มีทริปยอดนิยมอย่างการไปค้นหาสาหร่ายยอดนิยมในแคลิฟอร์เนีย ในระยะเวลา 90 นาทีของทริปนี้ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้เรื่องสาหร่ายทะเลแบบจริงจัง บวกกับเรียนรู้วิธีการเก็บเกี่ยวสาหร่ายอย่างยั่งยืน และหลังจากนั้นก็จะเอาสาหร่ายที่แต่ละคนเก้บมาไปทำเป็นราเมงชนิดพิเศษเส้นสาหร่ายปิดท้ายนั่นเอง

Forage Tourism ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ที่สำคัญนับจากนี้ไป เพราะนอกจากจะได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ใหม่ ยังได้รับความรู้ใหม่ๆ ถึงสิ่งที่เรากำลังจะกิน หรือสิ่งที่ชาวบ้านกินกันเป็นประจำ

จะเรียกว่าเป็นการท่องเที่ยวแบบ Edutainment ที่อิ่มท้องก็ว่าได้ แถมของที่ระลึกของฝากที่ได้ไปก็ย่อมต้องภูมิใจเพราะมาจากมือตัวเองนี่แหละ จากทริปหาร้านอร่อยกิน มาสู่ทริปเพื่อค้นหาของอร่อยหรือทำของอร่อยแล้วกิน

แถมยังได้ความรู้ติดหัวไปในระหว่างที่ก็อิ่มเอมกับอาหารสดอร่อยสะอาดไปพร้อมกัน

5. VVIP Lounges กลุ่มเที่ยวสุดหรูที่ยอมจ่ายเต็มที่เพื่อความสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ

เทรนด์การเที่ยวแบบหรูหรากำลังมาแรงอย่างมาก เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถจับเทรนด์ทางธุรกิจจนทำเงินได้ไวกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ก็เยอะ บวกกับเศรษฐีเดิมที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเศรษฐกิจมากนัก คนกลุ่มนี้เลยเป็นคนกลุ่มใหม่ที่ยอมจ่ายเต็มที่เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายขั้นกว่าแค่ VIP ทั่วไปเมื่อพวกเขาต้องไปเที่ยวต่างประเทศในแต่ละครั้ง

ในสนามบินมักจะมี Lounge ต่างๆ เอาไว้บริการลูกค้าระดับ Exclusive หรือ VIP เพียงแต่วันนี้ความ VIP ธรรมดาอาจไม่เพียงพอสำหรับคนอีกกลุ่มนึงที่ยอมจ่ายได้มากกว่า ก็เลยมีบริการแบบ VVIP เกิดขึ้นตามสนามบินต่างๆ ทั่วประเทศ ถ้าอยากรู้ว่าการให้บริการแบบ VVIP นั้นเป็นอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ลองมาดูกันเลยครับ

Photo: https://www.delicious.com.au/travel/travel-news/article/take-look-exclusive-windsor-suite-heathrow-airport/h0ux7vx4

ที่สนามบิน Heathrow ประเทศอังกฤษมีห้องบริการที่ชื่อว่า The Windsor Suite ที่ให้บริการแบบ VIP ขั้นสุดสำหรับใครก็ตามสามารถจ่ายค่าบริการ 3,025 ปอนด์สำหรับ 3 คน หรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 140,000 บาท

จากข้อมูลก็พบว่าบริการนี้มีผู้ขอใช้บริการเยอะมากเป็นอันดัลกาลในปี 2022 ซึ่งบริการสุด VVIP ที่ว่านี้ก้มีตั้งแต่คนขับรถส่วนตัวให้บริการตั้งแต่เล้าจน์ไปจนถึงสถานที่ใดก็ตามที่คุณต้องการไป หรือจากที่ใดก็ตามที่จะมายังเล้าจน์สุด VVIP ในสนามบินแห่งนี้

บวกกับมีเมนูอาหารที่รังสรรค์โดยเชฟที่ได้ดาวมิชลินอย่าง Jason Atherton ที่มาพร้อมกับ Butler ส่วนตัวที่พร้อมดูแลคุณอย่างเต็มที่ว่าอาหารมื้อนั้นจะพิเศษจริงๆ สมกับเงินทุกบาทที่คุณจ่ายไป

และก็ยังมี Personal Shopper ผู้ช่วยช้อปปิ้งส่วนบุคคลที่จะเดินตามถือถุงให้คุณเดินตัวปลิวใช้เงินสบายๆ หรืออะไรก็ตามที่คุณอยากได้และพร้อมจ่าย ก็สามารถบอกให้เขาจัดหาให้ได้ตลอดเวลาครับ

ดูเหมือนธุรกิจ VVIP Lounge ตามสนามบินจะได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมันสะดวก สบาย ยืดหยุ่น และก็ยังคงความเป็นส่วนตัวไม่ต้องปะปนกับใครให้วุ่นวาย บวกกับการให้บริการ Private Jet ที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่เศรษฐีหน้าใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของเครื่องบินเอง แต่สามารถเช่าเครื่องบิน Private Jet เฉพาะช่วงเวลาที่ต้องการใช้ได้

สนามบินในอเมริกาก็มีให้บริการ Private Suite ห้องรับรอง VVIP นี้หลายแห่ง ถ้าเป็นราคาสำหรับผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกอยู่ที่ 4,850 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 180,000 บาท แต่ถ้าเป็นสมาชิกจะเหลือแค่ 3,550 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 130,000 บาท

เหมือนคนรวยยุคใหม่จะไม่เน้นอวดรวยให้คนอื่นเห็น แต่จะเน้นไปด้านการเดินทางที่ราบรื่นและสะดวกสบายที่สุด ทำไมต้องรอต่อแถวในสนามบินร่วมกับ Business Class หรือ First Class คนอื่นๆ ทำไมไม่บิน Private Jet ไปเลยหละ ก็ในเมื่อค่าใช้จ่ายไม่ได้ต่างกันมาก

บางสายการบินอย่าง Qantas ก็บอกว่าพวกเขามีบริการสุดไพรเวทเฉพาะผู้ที่ได้รับการเชิญเท่านั้น ซึ่งในคนที่ได้รับเชิญก็จะมีแค่นักการเมืองคนสำคัญ ผู้พิพากษา นักธุรกิจชั้นนำ หรือที่เรียกรวมๆ กันว่า A lister

สายการบิน British Airway ก็มี VVIP Lounge ที่ชื่อว่าบัตร British Airway Executive Club Premier Card อารมณ์ก็คล้ายๆ บัตรดำของ Amex ซึ่งไม่ใช่แค่มีเงินจะสมัครได้ แต่ต้องได้รับการเชิญเท่านั้นจึงจะได้สิทธิ์ในการสมัคร

ซึ่งผู้ที่จะได้รับเชิญก็เฉพาะคนที่ใช้เงินกับ British Airway ปีละ 2 ล้านปอนด์ขึ้นไปเท่านั้นเอง คิดเป็นเงินไทยก็แค่ 90,000,000 หน่อยๆ ก็หรูหราสมระดับที่จะได้รับบริการแบบ VVIP จริงๆ แหละครับ

สนามบิน Tel Aviv ของอิสราเอลเองก็มีบริการทำนองเดียวกัน ให้บริการเช็คอินพิเศษ ตรวจพาสปอร์ตแบบด่วนเฉพาะ และก็มี VVIP Lounge ให้ใช้บริการแบบเป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ รวมถึงมีคนขับรถไปส่งยังเครื่องบินตรง ไม่ต้องยืนรอหน้าเกท โดยคิดค่าบริการแค่ 490 ดอลลาร์เท่านั้นเอง

นี่มันคือการยกระดับจากแค่ Business Class หรือ First Class ขึ้นไปอีกขั้น และการยกระดับนี้ก็ดูเป็นขั้นที่สูงขึ้นไปกว่าเดิมมาก บางเคสไม่ใช่แค่มีเงินก็ซื้อได้ แต่ต้องใช้เงินกับบางสายการบินให้มากจริงๆ จึงจะได้รับคำเชิญให้เสียเงินใช้บริการ VVIP Lounge อีกครั้ง

ในโลกที่บางคนกลุ่มรวยขึ้นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้พวกเขาเปลี่ยนพฤติกรรมการจากอวดรวยด้วยการบิน มาเป็นการบินแบบไพรเวทสุดๆ ใช้เวลาน้อยลงในสนามบิน ได้รับความสะดวกสบายจริงๆ เพิ่มขึ้น

เริ่มตั้งแต่มีห้องรับรองส่วนตัวแบบไม่ต้องปะปนกับใคร ได้รับอาหารในระดับมิชลินติดดาว ไปจนถึงมีคนขับรถรับส่งจากที่พักสู่สนามบิน สนามบินสู่ที่พัก หรือจะขับตรงจากเล้าจน์ไปยังเครื่องบินโดยไม่ต้องต่อคิวหน้าเกทก็ได้

คุณเห็นโอกาสในการทำเงินจากคนกลุ่มนี้มั้ยครับ กลุ่มคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินแบบคนทั่วไป ปัญหาเดียวที่พวกเขามือคือทำอย่างไรจึงจะได้รับความสะดวกสบายเหมือนนอกสนามบิน

6. Stratospheric Journeys เทรนด์เที่ยวสุดหรู คือนั่งบอลลูนไปดูเส้นอวกาศขอบฟ้า

ดูเหมือนว่าการบินจากจุดนึงไปอีกจุดนึงจะดูธรรมดาเกินไปในวันนี้ ก็เลยเกิดเทรนด์การท่องเที่ยวแบบใหม่ ไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน แค่ตั้งใจจะออกไปแตะขอบฟ้า

นั่นก็คือการนั่งบอลลูนสุดหรูลอยขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้เห็นเส้นขอบฟ้าที่ระดับเครื่องบินพานิชย์พาไปไม่ได้ ไปจนถึงจุดที่เราเห็นความโค้งของโลกด้วยตาเปล่า ได้เห็นจุดที่อวกาศสีดำตัดกับชั้นบรรยากาศโลกเรา

บวกกับกระแสการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่พยายามลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้มากที่สุด การท่องเที่ยวด้วยบอลลูนก็ดูจะตอบโจทย์มากๆ บวกกับการที่มันสามารถลอยขึ้นได้สูงมากๆ ถึงระดับ Stratosphere ก็ยิ่งทำให้ได้รับความสนใจมากมาย

อย่าง Céleste ที่เป็นแคปซูลบอลลูนสุดหรูที่จะพาคุณออกไปดูชั้นบรรยากาศระดับ Stratosphere ด้วยตาตัวเอง หนึ่งบอลลูนจะมีทั้งหมด 3 ห้อง และแต่ละห้องก็จะรองรับผู้โดยสารแค่ 2 คน เท่ากับว่าหนึ่งทริปจะมีแค่ 6 คนเท่านั้น สรรค่าเดินทางก็ตกคนละ 120,000 ยูโร ตีเป็นเงินไทยก็ 4.7-4.8 ล้านบาท ใช้เวลา 6 ชั่วโมงสำหรับทริปนี้ คาดว่าจะพร้อมให้บริการในปี 2025

หยอดกระปุกรอไว้ได้เลยครับ ถ้าคุณอยากเห็นโลกจากระดับความสูง 25 กิโลเมตร เครื่องบินพานิชย์ปกติได้แค่ 10 กิโลเมตร มันคือประสบการณ์ที่ยิ่งกว่าการบินครั้งไหนๆ ที่เคยมีมา คุณจะได้เห็นโลกโค้งด้วยตาตัวเอง จะได้เห็นเส้นของฟ้าสีน้ำเงินของโลกตัดกับความดำมือของอวกาศ บวกกับได้เห็นดวงดาวฉากหลังสีดำของอวกาศจริงๆ

นอกจากทริปบินขึ้นตรงๆ ของบริษัทแห่งนี้ ก็ยังมีการเดินทางด้วยบอลลูนของเจ้าอื่นอีก อย่างบริษัทสตาร์ทอัปที่ชื่อว่า Halo ของประเทศสเปน ก็วางแผนจะให้บริการบินข้ามทวีปด้วยบอลลูนที่จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษใดๆ ภายในปี 2029 ซึ่งในแต่ละทริปที่ทำการลอยหรือบินนั้นก็จะสามารถจุผู้โดยสารได้มากถึง 3,000 คน

นี่อาจจะเป็นการเดินทางข้ามทวีปที่ปฏิวัติเครื่องบินพานิชย์จริงๆ ก็เป็นได้

บางบริษัทก็เริ่มวางแผนที่จะจัดทริปท่องเที่ยวชม 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วยบอลลูนในวันนี้ อาจเริ่มต้นจากมหาพีระมิดกีซ่า ประเทศอียิปต์ แล้วก็ไปต่อที่กำแพงเมืองจีน เรื่อยไปจนครบทั้ง 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ว่ามา

ดูเหมือนว่าผู้คนจะมองหาการเดินทางแบบใหม่ๆ ที่ให้ประสบการณ์ที่ต่างจากเดิมออกไปอย่างลิบลับ และบอลลูนก็ดูเหมือนจะเป็นคำตอบของเทรนด์การท่องเที่ยวที่สำคัญในอีก 10 ปีข้างหน้านับจากนี้

บวกกับการที่มันแทบไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อโลกเมื่อเทียบกับการโดยสารด้วยเครื่องบินพานิชย์ปกติแล้ว ก็ยิ่งทำให้มันได้รับความสนใจอย่างมาก และก็อาจเป็นไปได้ว่าการเดินทางด้วยบอลลูนจะถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นในอีก 10 ปีนับจากนี้ไป

เราจะได้เห็นเส้นขอบฟ้ากันจริงในช่วงอายุของเราด้วยการขึ้นไปบนบอลลูน และอีกหน่อยเราก็คงขยับเข้าสู่ยุคอวกาศในอีกสิบปีข้างหน้าก็เป็นได้

7. Neuroinclusive Travel เทรนด์ธุรกิจการท่องเที่ยวกับกลุ่มออทิสติก

Photo: https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-06-04/how-hotels-are-finally-supporting-neurodiverse-travelers

อีกหนึ่งเทรนด์การท่องเที่ยวที่มาแรงแบบเงียบๆ จนมองข้ามไม่ได้ นั่นก็คือเรื่องการเที่ยวร่วมกับคนออทิสติก หรือคนที่มีการรับรู้ที่หลากหลาย เราเริ่มเห็นบริษัทที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งหลายออกมาปรับตัวเรียนรู้ที่จะให้บริการคนกลุ่มที่มีความหลากหลายทางการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น

เพราะคนกลุ่มนี้ที่มีความพิเศษทางการเรียนรู้มีมากถึง 15% ของประชากรโลกทั้งหมด ถ้าโลกเรามี 8 พันล้านคนในตอนนี้ พวกเขาก็มีมาถึง 1.2 พันล้านคนแล้วครับ

เมื่อดูจำนวนที่มากขนาดนี้ ย่อมหมายถึงโอกาสทางการตลาดและธุรกิจมหาศาลถ้าเราสามารถให้บริการพวกเขาได้ บริษัททัวร์ต่างๆ จึงเริ่มสอนให้พนักงานเข้าใจว่าจะให้บริการลูกค้ากลุ่ม Neurodiversity เหล่านี้ได้อย่างไร เพราะถ้าให้บริการพวกเขาได้ จะไม่ใช่แค่ได้เงินจากพวกเขาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงคนในครอบครัวของพวกเขาอีกจำนวนมากด้วยซ้ำครับ

ในต่างประเทศถึงขั้นมีการออกใบ Certified สำหรับผู้ที่สามารถผ่านการรับรองว่าจะมีความเข้าอกเข้าใจ และให้บริการกับลูกค้ากลุ่มที่มีความพิเศษทางการเรียนรู้ได้ ดูเหมือนประเทศไทยเราจะยังไม่ค่อยได้ยินเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่เชื่อได้ว่าเมื่อเทรนด์โลกมาแล้วประเทศไทยบ้านเราก็จะพร้อมปรับตัวตามอย่างแน่นอน

บริษัท Explorateur ด้านการท่องเที่ยวในอเมริกาก็มีการเปิดตัวบริการ NeuroTripping เป็นตัวแทนด้านการท่องเที่ยวสำหรับคนที่เป็นออทิสติก หรือคนที่มีความพิเศษทางการเรียนรู้มากกว่าคนอื่น ด้วยความที่ว่ามันแปลกใหม่และยังไม่ซ้ำใคร ช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ต้องเจอปัญหาการเดินทางแบบคนทั่วไป เช่น เจอคนเยอะเกินไป หรือการต่อแถวยาวเกินไป การรอแบบไม่มีกำหนดกรอบเวลาชัดเจน หรือรอนานมากโดยไม่ได้มีจุดให้หยุดพักผ่อน หรือลดการไปยังสถานที่ที่มีความกระตุ้นอารมณ์ตื่นเต้นมากเกินไป

เรียกได้ว่าจัดทริปให้อย่างเข้าใจคนที่มีความพิเศษในการรับรู้และเรียนรู้มากกว่าคนอื่น

Photo: https://skift.com/blog/ideas-emirates-launches-new-initiative-to-support-neurodivergent-passengers/

ทางสายการบินเองก็มีการสร้าง mindet ใหม่ให้กับพนักงานเรื่อง Neurodiverse Traveler ในเดือนตุลาคม 2023 สายการบิน Emirates ก็ประกาศความร่วมมือกับสนามบินนานาชาติดูไบว่าจะทำให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Neurodivergent Passengers ดีขึ้นกว่าเดิม

เช่น มีการสอนหรือให้ความรู้กับคนกลุ่มนี้ซ้ำว่าจะต้องไปไหน ไปทำอะไรตรงไหนบ้าง ให้พวกเขาสามารถเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองได้ โดยปราศจากความกดดันแบบทริปท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้ใส่ใจพวกเขาเท่าไหร่ครับ

ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาเองก็มีการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ด้วยการออกใบประกาศต่างๆ ออกมาว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว สายการบิน หรือสนามบิน จะสามารถดูแลกลุ่มคนพิเศษเหล่านี้ได้อย่างเข้าใจและถูกจุด ตั้งแต่การสอนให้พวกเขารู้จักตรวจตราซ้ำสองว่าจะไม่ตกหล่นจากไฟท์บินการเดินทาง ให้พวกเขาสามารถเดินทางด้วยตัวเองได้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลดความตึงเครียดจากการเดินทางโดยเฉพาะในสนามบิน ซึ่งเอาจริงๆ คนปกติทั่วไปก็ยังพาลเครียดว่าจะตกเครื่องบินได้ง่ายๆ อยู่เป็นประจำ

ดูเหมือนว่าโอกาสสำหรับกลุ่มผู้พิเศษทางการเรียนรู้อย่างออทิสติกที่มากถึง 15% คิดเป็นจำนวนกว่า 1.2 พันล้านคนในเวลานี้ จะทำให้ธุรกิจต่างๆ มองข้ามลูกค้ากลุ่มนี้ไปไม่ได้ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็เริ่มปรับตัวให้เข้ากับผู้บริโภคกลุ่มนี้แล้ว แล้วธุรกิจคุณหละพร้อมหรือยังที่จะรองรับพวกเขาก่อนคู่แข่ง

ในวันที่ใครๆ ก็มองหาความเท่าเทียม การไม่แบ่งแยก นอกจากเรื่องความหลากหลายทางเพศที่บูมมาสักระยะ กำลังขยับเข้าไปสู่กลุ่ม Neurodiversity หรือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายในการเรียนรู้ครับ

8. Top Three Destinations สามสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใหม่นับจากนี้

และนี่คือ 3 เมืองที่ถูกจับตามองว่าจะกลายเป็นเมืองใหม่ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะมองหาโอกาสไป ลองมาดูกันดีกว่าครับว่า 3 เมืองที่ว่านั้นคือที่ไหน อยู่ในประเทศอะไร และทำไมสามเมืองนี้จึงน่าสนใจจนถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น 1 เทรนด์สำคัญ

1. Bornholm, Denmark

Photo: https://www.vogue.com/article/bornholm-denmark-island-travel-guide

จากภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้ยุโรปใต้ร้อนขึ้นมากจนไม่น่าเที่ยวเหมือนเดิม บวกกับสถานการณ์ไฟป่าที่เผาไม้โลกอยู่เป็นประจำ ยังไม่นับถือปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองที่มักเกิดขึ้นกับเมืองดังๆ ทั่วโลกในเวลานี้

ส่งผลให้ผู้คนเริ่มมองหาเมืองแห่งใหม่ที่จะเปิดประสบการณ์พวกเขาได้ พร้อมกับยังได้รับความสะดวกสบายบวกกับยังคงมีความสวยงามโลคัลแบบเดิมๆ อยู่ จึงทำให้เทรนด์เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งใหม่อีก 10 ปีนับจากนี้ขยับขึ้นไปยังแถบสแกนดิเนเวีย กลายเป็นหนึ่งในทวีปยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวใหม่ๆ เริ่มจับตามอง

และหนึ่งในเมืองยอดนิยมที่ผู้คนเริ่มไปเที่ยวกันก็คือ Bornholm ในหมู่เกาะ Danish ในคาบสมุทรบอลติก ที่ว่ากันว่าสวยดุจเทพนิยาย มีทั้งผาหินสูงชัน มีทั้งป่าดิบชื้นสูงใหญ่ มีทั้งหาดทรายขาวที่เดินลงไปเล่นน้ำได้ จึงทำให้เมือง Bornholm กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นในเวลานี้

ยังไม่พูดถึงว่าเมืองนี้มีร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลินถึงสองดวงอย่าง Kadeau ที่เปิดแค่ระหว่างช่วงฤดูร้อนเท่านั้น ในบรรยากาศแสงน้อยๆ คุมโทนต่ำๆ ตกแต่งเต็มไปด้วยไม้เก่าแก่มาพร้อมกับบริการอาหารเป็นคอร์สราคาแพงจากทะเลบอลติกครับ

ผู้ที่เคยไปเที่ยวเมืองนี้มาบอกว่าสวยเหมือนภาพวาด คุณจะได้เห็นบ้านและโบสถ์อยู่ร่วมกันด้วยสถาปัตยกรรมแบบเดิม แต่ก็ยังมีร้านค้าให้เลือกช้อปปิ้งใช้เงินได้อยู่ แถมยังมีหมู่บ้านที่ทำอาชีพประมงเดิมที่เติมสีสันให้กับเมืองนี้ล้าสมัยแต่ก็ไม่ล้ำเกินไปจนดูวุ่นวายครับ

2. Anji, China

เมืองนี้อยู่ในภาพยนต์ดังสมัยก่อนที่ชื่อว่า Crouching Tiger, Hidden Dragon ตอนปี 2000 เป็นเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเขตนิเวศวิทยาเมืองแรกของประเทศจีน และก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่พักผ่อนเชิงนิเวศที่สวยงามแบบมหัศจรรย์ที่สุด

ในวันนี้มีการพัฒนาเมืองนี้อีกหลายอย่าง ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าจับตามอง และเมือง Anji แห่งนี้ก็ยังมีการสร้างศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมขนาดใหญ่โดย MAD Architecture จากปักกิ่ง โดยมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2025

ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 149,000 ตารางเมตร มีทั้งโรงละครขนาดใหญ่ ศูนย์ประชุม พื้นที่จัดกิจกรรมอเนกประสงค์หรือนันทนาการ ศูนย์กีฬา ไปจนถึงศูนย์การเรียนรู้ด้านศิลปะ

Clinique La Prairie แบรนด์สปาจากสวิตเซอร์แลนด์ก็เตรียมมาเปิดรีสอร์ทด้านสุขภาพที่เมือง Anji แห่งนี้ โดยจะเป็นการร่วมมือกับ Sunjoy กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศจีน โดยตั้งใจให้รีสอร์ทแห่งนี้อยู่ในจุดที่ดีที่สุด เงียบที่สุด สงบที่สุด เพื่อให้แขกผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์การพักผ่อนอย่างเต็มที่ที่สุดครับ

3. Atacama Desert, Chile

ในขณะที่โลกร้อนขึ้นมากและผู้คนก็หาทางปรับตัวให้อยู่ได้ในโลกที่อุณหภูมิเดือดระอุ สถานี่อย่างทะเลทราย Atacama ในประเทศชิลีแห่งนี้ก็เลยเริ่มได้รับความนิยมที่ผู้คนอยากไปลองสัมผัสประสบการณ์แห้งแล้งเจียนตาย แต่ยังคงอยู่ในที่พักอันเย็นสบายหรูหรา

ผู้คนอยากไปเห็นประสบการณ์ความงามของทะเลทรายอันเวิ้งว้าง อยากจะเห็นแสงดาวสว่างเต็มตาบนท้องฟ้ายามค่ำคืนกลางทะเลทรายที่ปราศจากแสงรบกวนเหมือนในเมือง และความชื้นในอากาศที่ต่ำมากๆ จนแทบไม่มีอะไรบดบังแสงจากดวงดาวสู่ตาคุณเลย

หนึ่งในที่พักยอดนิยมของทะเลทรายแห่งนี้ก็คือ Our Habitas ซึ่งเพิ่งเปิดในเดือนสิงหาคม 2023 ที่ผ่านมานี้เอง เป็นห้องพักคุมตีมเอิร์ธโทนที่ผสมผสานกับความหรูหรา ตกแต่งไปด้วยสิ่งทอจากท้องถิ่น ทำให้ได้รับประสบการณ์แบบพิเศษจริงๆ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้

โดยแขกผู้เข้าพักยังสามารถร่วมกิจกรรมอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเดินป่า ขี่จักรยาน ปีเขา ร่อนพาราชูต และก็การดูดาวแบบจริงจัง

นี่คือสถานที่ที่ดูเผินๆ อาจนึกว่ากำลังอยู่บนดาวอังคารอันเวิ้งว้าง แต่ความจริงแล้วเรายังอยู่บนโลกใบเดิม ที่เพิ่มเติมคือมุมมองใหม่กลางทะเลทราย

9. Showroom Stays เทรนด์ใหม่เปิดร้านของแบรนด์ให้ลูกค้านอน

Photo: https://news.airbnb.com/en-uk/spend-the-night-in-house-of-sunnys-latest-collection-now-on-airbnb/

เมื่อแบรนด์ต่างๆ โดยเฉพาะแบรนด์หรูก็หันมาสร้างประสบการณ์ขั้นกว่าให้กับเหล่าลูกค้า VVIP มากขึ้น ด้วยการเปิดร้านให้ลูกค้าเข้ามาจัดปาร์ตี้ หรือที่สุดกว่านั้นคือให้ลูกค้าเข้ามานอนในร้านที่เต็มไปด้วยสินค้าของแบรนด์เลย

เชื่อว่านี่คงเป็นความฝันของผู้หญิงหลายคนที่ใฝ่ฝันอยากจะนอนท่ามกลางแบรนด์ที่ตัวเองรัก จากรายการ Reality ของเกาหลีที่ตามติดชีวิตคนรวยก็จะพบว่ามีคนหนึ่งที่สามารถจัดงานวันเกิดที่ร้าน D&G ได้ ลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับว่า ณ วันนี้มีแบรนด์ไหนทำอะไรบ้างกับการเปิดร้านให้ลูกค้าเข้ามานอน

House of Sunny แบรนด์แฟชั่นเปิดให้ลูกค้าสองคนสามารถเข้ามานอนค้างคืนที่ร้านค้าโชว์รูมของตัวเองได้ โดยร่วมมือกับ Airbnb ให้ลูกค้าสามารถเข้ามาจองผ่านช่องทางนั้น โดยลูกค้าผู้โชคดีที่จองทันก่อนห้องพักในโชว์รูมเต็มก็จะได้รับประสบการณ์ที่ Immersive แบบสุดๆ

Giorgia Viola นักออกแบบแฟชั่นชื่อดังก็ได้เปิดโชว์รูมของตัวเองที่โรงแรมห้าดาว Nolinski Venezia ช่วงงานเทศกาล Venice Film Festival ปี 2023

Photo: https://www.forbes.com/sites/allysonportee/2023/09/05/the-giorgia-viola-showroom-at-the-nolinski-venezia-hotel-is-getting-women-fashion-ready-at-the-venice-film-festival/

เธอมองว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเพอร์เฟ็คระหว่างแบรนด์กับสถานที่อย่างโรงแรมสุดหรูห้าดาวแห่งนี้ ลูกค้าที่มาพักก็ใช่กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ลูกค้าของแบรนด์ก็คือผู้ที่เหมาะจะพักโรงแรมแห่งนี้อย่างมาก ทุกอย่างเลยลงตัวที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าของกันและกันสามารถเข้าถึงแบรนด์กันและกันได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ในปีก่อนหน้าช่วงธันวาคม 2022 DJ Khalad ชื่อดังก็เปิดห้องรองเท้าสุดรักของตนให้แฟนคลับที่สนใจสามารถเข้ามาจองนอนเล่นได้ทาง Airbnb

ในห้องรองเท้า Sneaker แห่งนี้มีรองเท้ารุ่นหายากมากๆ อย่าง Jordan 3 Greatful กับ Jordan 8 Oregon PE เชื่อว่าก่อนเช็คเอาท์ออกคงมาการตรวจเช็คอย่างดีว่ามีรองเท้าหายหรือเสียหายหรือไม่

เมื่อแบรนด์หรือคนดังต่างก็เปิดสถานที่ให้แฟนคลับกลุ่มเป้าหมายได้เข้ามานอนเฝ้าทั้งคืนแบบเต็มตา เพื่อให้ได้รับรู้สึก Brand Experience แบบเต็มๆ ลองเอาไปคิดต่อยอดดูว่าเราจะทำแบบนี้บ้างได้หรือไม่ เราจะปรับปรุงโชว์รูมร้านค้าของเราอย่างไรเพื่อให้ลูกค้าได้เข้ามามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ตรงๆ ดูสักคืน

10. Analog Travel ทริปปลอดสมาร์ทโฟนไร้อินเทอร์เน็ต

เมื่อคนรุ่นใหม่อยากจะเที่ยวแบบเต็มที่ ได้ประสบการณ์แบบเต็มๆ ก็เลยตั้งใจลดหรืองดการใช้สมาร์ทโฟนหรืออินเทอร์เน็ตทั้งหลาย ส่งผลให้เกิดทริปประเภทตัดขาดจากการออนไลน์ กลับมาจับโทรศัพท์มือถืออีกครั้งก็หลังจากจบทริปแล้วเท่านั้น

ในเกาะแห่งหนึ่งที่ประเทศฟินแลนด์ประกาศว่า สถานที่แห่งนี้ปราศจากสัญญาณมือถือ 100% ช่วงฤดูร้อนปี 2023 ในอุทยานแห่งชาติอีกแห่งที่เป็นอ่าวในประเทศฟินแลนด์อีกเช่นกันก็เปิดตัวแคมเปญรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวใช้มือถือไวๆ ออนไลน์แบบสั้นๆ เพื่อจะได้สัมผัสความงามในธรรมชาติอย่างเต็มที่

Skyscanner ก็ประกาศว่าเทรนด์การท่องเที่ยวในปี 2024 เหล่า Gen Z ที่ติดโซเชียลมากมายกลับเลือกที่จะหันไปใช้อุปกรณ์ยุคเก่าที่ต่อเน็ตไม่ได้อย่างกล้อง Handy Cam หรือกล้องถ่ายรูปจริงๆ เช่น Polaroid แทนโทรศัพท์มือถือ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีประสบการณ์ในทริปนั้นอย่างเต็มที่จริงๆ

ซึ่งพฤติกรรมนี้ก็สอดคล้องกับเรื่อง Luddite Mode ที่เคยพูดถึงไว้ใน 10 Culture Trends 2024 ในบทความก่อนหน้าครับ

ในประเทศอังกฤษเองก็มีการสร้างกระท่อมที่ปลอดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า Digital Detox Cabin เพื่อให้ผู้คนได้มีเวลาชื่นชมความงามในธรรมชาติรอบตัวเต็มๆ โดยผู้เข้าร่วมทริปนี้จะต้องฝากโทรศัพท์มือถือหรือล็อคการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไว้นานถึง 3 วัน เพราะจากงานวิจัยพบว่าถ้าเราผ่าน 72 ชั่วโมงของ Digital Detox ไปได้ความเครียดในสมองจะลดลง และเราจะมีสติสัมปชัญญะรับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกยังมีการสร้างเขตปลอด Wifi-free zones เพื่อให้เราได้หลบจากความวุ่นวายในการติดต่อสื่อสารที่ต้องเต็มไปด้วยความรวดเร็วทันทีทันใดตลอดเวลา

จากการสำรวจพบว่าผู้คนเมื่อไปเที่ยวอยากจะมีเวลาชื่นชมธรรมชาติเต็มๆ มากขึ้น พวกเขาจึงยินยอมพร้อมใจกลับไปสู่โหมดออฟไลน์แบบชีวิตสมัยก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้หยุดพักจากโลกอันวุ่นวาย และเพื่อจะได้มีเวลาเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ จากธรรมชาติรอบตัวที่เราหลงลืมไปนานครับ

แบรนด์อย่างเราต้องลองคิดต่อยอดว่าจะลดความเครียด ช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายที่อยากลดการใช้อินเทอร์เน็ตสามารถสำฤทธิ์ผลอย่างไรได้บ้าง

หรือจะเอาเทรนด์ก่อนหน้ามาผสมกัน สร้างเป็นห้องของแบรนด์ให้อยู่กับเราเต็มๆ และปลอดเน็ตไปด้วยจะดีไหม

  1. Subterranean Hospitality เทรนด์โรงแรมหรูต้องอยู่ใต้ดิน
  2. Transcendent Travel ทริปเที่ยวลึกล้ำเหนือระดับ
  3. Immersive Theme Parks สวนสนุกอินเตอร์แอคทีฟ(เล่นได้)
  4. Forage Tourism เทรนด์ทริปเที่ยวเก็บมาทำกิน
  5. VVIP Lounges กลุ่มเที่ยวสุดหรูที่ยอมจ่ายเต็มที่เพื่อความสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ
  6. Stratospheric Journeys เทรนด์เที่ยวสุดหรู คือนั่งบอลลูนไปดูเส้นอวกาศขอบฟ้า
  7. Neuroinclusive Travel เทรนด์ธุรกิจการท่องเที่ยวกับกลุ่มออทิสติก
  8. Top Three Destinations สามสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวใหม่นับจากนี้
  9. Showroom Stays เทรนด์ใหม่เปิดร้านของแบรนด์ให้ลูกค้านอน
  10. Analog Travel ทริปปลอดสมาร์ทโฟนไร้อินเทอร์เน็ต

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่นับจากนี้ไปที่จะส่งผลต่อไปอีก 10 ปีข้างหน้า ใครอยู่ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก สายการบิน ต้องอ่านเก็บไว้ หรือถ้าใครเป็นนักการตลาดก็ควรอ่านไว้จะได้รู้ว่ามีจุดไหนบ้างที่เราควรเอาไปต่อยอดทำการตลาด หรือสร้างประสบการณ์ลูกค้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้

อ่านบทความชุด The Future 100 ก่อนหน้า

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *