10 Technology Trends 2024 รวมเทรนด์โทคโนโลยีจาก The Future 100 VML

10 Technology Trends 2024 รวมเทรนด์โทคโนโลยีจาก The Future 100 VML

จากบทความชุด The Future 100 ของ VML ก่อนหน้าที่สรุป 10 Cuture Trends เทรนด์ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต และพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ๆ ว่ามีอะไรบ้าง ในบทความตอนนี้จะว่าด้วยเรื่อง 10 Technology Trends เทรนด์โทคโนโลยีสำคัญที่จะส่งผลวิถีชีวิตของเราว่ามีอะไรบ้าง ถ้าใครชอบศึกษาความเป็นไปและเทรนด์ของโลกใบนี้ น่าจะชอบบทความวันนี้ครับ

1. The Identity Economy เศรษฐกิจใหม่จากอัตลักษณ์ตัวตนของเรา

เชื่อไหมครับว่าอีกหน่อยหรือวันนี้เราสามารถให้แบรนด์เช่า Identity หรืออัตลักษณ์ตัวตนเราไม่ว่าจะใบหน้า น้ำเสียง หรืออื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันได้

วันนี้เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยี Deepfake กับ Deepvoice ก้าวหน้าไปไกลมากจนทำให้เราสามารถเลียนแบบเป็นคนดังๆ คนไหนก็ได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเยอะ และเมื่อการสร้างวิดีโอที่เลียนแบบใบหน้าคนดังไปจนถึงน้ำเสียงนั้นเป็นเรื่องง่าย เลยทำให้เดือนพฤษจิกายน 2023 บรรดานักแสดงดาราฮอลลีวูดทั้งหลายรวมตัวกันประท้วงหยุดงานกันนานถึง 118 วัน เพื่อกดดันให้ทางสมาคมหรือรัฐออกแนวทางกำกับการเอาเทคโนโลยี AI มาใช้กับอุตสาหกรรมภาพยนต์

อย่างที่บอกครับว่าการจะสร้างใบหน้าเลียนแบบใครสักคนเป็นเรื่องง่ายมาก แล้วจะให้คนนั้นมีน้ำเสียงแบบเดียวกันเป๊ะก็ยิ่งง่ายไปใหญ่ เหล่านักแสดงเลยกังวลว่าตัวเองจะถูกเอาใบหน้าไปแอบใช้ในภาพยนต์เรื่องถัดไป โดยเอาใครก็ได้ที่มีรูปร่างใกล้เคียงกัน ส่วนใบหน้านั้นก็ใช้ AI สร้างครอบไว้ น้ำเสียงการพูดก็เช่นกัน เพียงเท่านี้คนดูก็แยกไม่ออกแล้วว่าตกลงภาพยนต์หรือโฆษณาเรื่องนี้แสดงโดยนักแสดงที่เราชอบจริงๆ หรือเป็นแค่ใครก็ไม่รู้ที่ถูกเปลี่ยนใบหน้ากับน้ำเสียงให้เหมือนดาราคนนั้น

และจากกฏข้อบังคับการเอา AI มาใช้กับอุตสาหกรรมภาพยนต์ก็ก่อให้เกิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Identity Economy หรือการเอาเอกลักษณ์ตัวตนของเราไปต่อยอดทำเงินได้

เช่น ถ้ามีแบรนด์ไหนอยากให้ดาราสักคนไปเล่นโฆษณาให้หน่อย แต่ถ้าดาราคนนั้นไม่ว่างรับงานเอง ก็อาจอนุญาตให้บริษัทใช้ Identity ของเขาในโฆษณาชิ้นนั้นได้ โดยอาจคิดเงินแค่ 10-50% ของค่าตัวจริง ทำให้คนที่ดังมากๆ ก็ยิ่งสามารถหารายได้จากช่องทางใหม่ๆ เพิ่มเติม

และก็ได้มีการฟ้องร้องของ Anil Kapoor, Scarlett Johansson และ Tom Hanks ที่ถูกละเมิดเอกลักษณ์ของพวกเขาโดยไม่ได้รับความยินยอมในผลงานบางชิ้นที่มีการแผยแพร่ออกไปแล้ว

สำหรับคนที่เป็น Influencer หรือ Content Creator ทั้งหลายถึงจะไม่มีใครมาขอเช่าหรือซื้อลิขสิทธิ์ตัวตนเราไปแบบดาราดังฮอลลีวูดในวันนี้ แต่เราก็สามารถใช้ AI คัดลอกตัวเราเองขึ้นมาเพื่อช่วย LIVE ขายของได้แบบ 24 ชั่วโมงไม่ต้องมีหยุดพัก และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นที่ประเทศจีนเรียบร้อยแล้ว

Xiaoice กับ Silicon Intelligence ให้บริการสร้าง Avatar ในระดับ Deepfake ด้วยราคาแค่ 1,000 ดอลลาร์ โดยต้องการแค่คลิป LIVE เรานาทีเดียวก็เพียงพอจะสร้าง Digital Clone ร่างดิจิทัลเราขึ้นมาทำงานแทนเราได้แล้ว

Metaphysic บริษัทสตาร์ทอัพด้าน Deepfake AI ในประเทศอังกฤษก็ได้สร้าง Account TikTok โดยใช้เทคโนโลยี Deepfake ทำคนที่มีหน้าเหมือนกับ Tom Cruise ขึ้นมาเพื่อเป็นการ PR บริษัทว่าพวกเขาทำได้เนียนขนาดนี้เลยนะ

ในขณะเดียวกันก็เป็นการบอกบรรดาดาราดังให้รู้ว่าสามารถวางใจใช้บริการบริษัทเขาได้ ในขณะเดียวกันก็มีบริษัทชื่อ Mimio.ai ที่เปิดให้เราสามารถเข้าไปสร้าง Personalized AI ในแบบที่เราต้องการเองได้

อยากได้เป็นผู้ชายผู้หญิง พูดโต้ตอบกับเราด้วยน้ำเสียงอย่างไร สำเนียงแบบไหน เลือกได้ตามใจจนกว่าจะชอบ บริษัทคาดว่าจะเปิดให้ทุกคนได้เข้ามาใช้ไม่ใช่แค่ดาราคนดัง หรือ Influenecr เท่านั้น อีกหน่อยเราจะสามารถสอน AI ตัวนี้ให้ตอบอีเมลแทนเราก็ได้ หรือเราจะสร้าง AI ตัวนี้ไว้แทนตัวเราในวันที่เราไม่อยู่โลกใบนี้ไปแล้วก็ได้

บริษัท Mimio.ai บอกว่าจะให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุม Persona AI ของตัวเองได้เต็มที่ และจะเปิดโอกาสให้เอา AI ของตัวเองตัวนี้ไปใช้ทำเงินต่อโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย

ในอนาคตอันใกล้เราทุกคนคงได้ใช้งาน Personal AI กันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับ AI ร่างจำลองของคนอื่น หรือให้คนอื่นมา Interact กับ AI ของเราเอง

แต่ในขณะเดียวกันก็มีการสอบถามผู้คนในวันนี้ว่า มีกิจกรรมแบบไหนบ้างที่รู้สึกว่าถ้าได้ Engage กับมนุษย์จริงๆ น่าจะดีกว่า และก็ได้คำตอบดังนี้ครับ

75% ดนตรีสด
69% ทีวีหรือภาพยนต์
65% บันทึกดนตรี
52% การสื่อสารจากแบรนด์

ดูเหมือนว่าสำหรับการสื่อสารของแบรนด์แล้ว จะไม่ค่อยถูกเห็นค่าจากผู้คนในวันนี้เท่าไหร่ นั่นอาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาแบรนด์สื่อสารออกไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ค่อยรู้ใจ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าทำออกมาแบบนี้เอา AI มาแทนก็ได้

เทรนด์นี้ไม่ใช่แค่กำลังมา แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และภาพก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ กับการใช้ AI ทำตัวเป็นเราเพื่อเอามาทำงานแทนเราในหลายๆ ด้าน

ไม่ว่าจะสร้าง AI Deepfake มาใช้ช่วย LIVE ขายของแบบ 24 ชั่วโมงไม่มีหยุดพัก หรือดาราดังก็ให้แบรนด์มาเช่าลิขสิทธิ์หน้าตาหรือน้ำเสียงตัวเองในวันที่ไม่สะดวกออกกองไปถ่ายเอง

แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ย่อมจะถูกลงมากกว่าให้เจ้าตัวต้องมาถ่ายเอง ส่วนมนุษย์ตัวเป็นๆ ก็จะถูกเก็บไว้สำหรับงานที่มีความสำคัญมากๆ จริงๆ เท่านั้น และค่าตัวย่อมแพงระยับอย่างแน่นอน

2. Spatial Tech ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Metaverse ไม่มีเส้นแบ่งออนไลน์กับออฟไลน์อีกต่อไป

ตั้งแต่การเปิดตัว Apple Vision Pro ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เป็นต้นมาก็สร้างเสียงฮือฮาให้กับชาว Tech & Gadget มหาศาล จนทำให้ภาพของคำว่า Metaverse ที่จืดจางไปกลับมาอีกครั้ง

แต่ Apple ก็เรียกสิ่งนี้ว่า Spatial Computer ทิ้งคำว่า Metaverse ไปเพื่อข้ามไปสู่คำใหม่ ก็น่าจะเพื่อเป้าหมายทางการตลาดเพื่อจะได้เคลมสิ่งนี้ได้ในอนาคต

ภาพการใช้งานจริงหลังเปิดตัวนั้นทำเอาหลายคนถึงกับตื่นตะลึง ที่มนุษย์เราสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ IT โดยไม่ต้องใช้ Device อย่าง Mouse หรือ Keyborad หรือแม้แต่หน้าจอ Touchscreen ใดๆ

แค่เราขยับนิ้วมือทำท่าต่างๆ เจ้าอุปกรณ์ Apple Vision Pro ก็สามารถรู้ได้ว่าเรากำลังสั่งการอะไรอยู่ มีเสียงฟีดแบคบอกว่าขนาดทำมือแบบหลบๆ ไม่ต้องโจ่งแจ้งอะไรมาก เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มันก็สามารถรู้ได้อย่างแม่นยำจริงๆ

ในระหว่างนี้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกต่างๆ ก็ไม่ได้เอาแต่นั่งอยู่เฉย ทาง Sony ก็ประกาศในงาน CES 2024 Consumer Electronics Show ว่าจะร่วมมือกับ Siemens ในการพัฒนา Spatial Content ร่วมกัน

และในปี 2023 ก่อนหน้าบริษัทเทคโนโลยีจากประเทศจีนที่ชื่อว่า Xreal ก็ได้เปิดตัวอุปกรณ์ที่เป็นแว่นสวมใส่คล้ายๆ กันที่ชื่อว่า Air 2 กับ Air 2 Pro เป็นอุปกรณ์แบบแว่น AR ด้วยคำโฆษณาว่า “จอเดียวที่จะแทนที่ทุกจอ”

ผู้บริษัทของบริษัท Niantic (ผู้สร้างเกม Pokemon Go!) บอกว่าอีกหน่อยอุปกรณ์สวมใส่อย่างพวก Spatial Tech ทั้งหลายจะทำให้โทรศัพท์มือถือ Smartphone ทั้งหมดในวันนี้ตกกระป๋องในอนาคต

เหมือนกับที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทำให้โทรศัพท์ที่มีปุ่มหรือพับได้หายจากโลกใบนี้ไปแล้ว อีกหน่อยเราทุกคนจะสวมใส่อุปกรณ์สักอย่าง เห็นข้อมูลดิจิทัลต่างๆ ผ่านสายตาเราโดยตรง แล้วก็มองทับซ้อนบนโลกจริง หรือที่เราเคยเห็นภาพกับคอนเซปของคำว่า Metaverse มาจนชิน

แต่นั่นก็ต้องรอกันอีกสักนิด เพราะเราเพิ่งอยู่ในจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้ เราต้องการ Spatial Ecosystem ที่จะทำให้ทั้งอุปกรณ์และคอนเทนต์ส่งเสริมกัน เหมือนกับที่สมาร์ทโฟนเกิดได้เพราะมีแอปต่างๆ ให้เราใช้งานหลากหลาย รอดูว่า Next Step ของเทคโนโลยีนนี้จะเป็นอย่างไร จะมาเรื่องปกติในชีวิตประจำวันเราทุกคนเหมือนสมาร์ทโฟนในอีกนานไหม แต่อย่างไรก็น่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ

Immersive Technology หรือ Spatial Technology จะทำให้เส้นแบ่งระหว่างออฟไลน์กับออนไลน์หายไป เหมือนภาพยนต์เรื่อง Ready Planet หรือจากการนำยามคำว่า Metaverse ก่อนหน้านี้

คาดการณ์ว่าตลาดนี้จะมีขนาดมากถึง 280,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2028 เริ่มวางแผนแล้วว่าเราอยู่ตรงไหนในโลกที่ทุกคนไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ และเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์สวมใส่อย่างแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อัจฉริยะแทนในอนาคต

3. Sensory Technopias เทคโนโลยีสื่ออารมณ์

เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีสามารถเข้าใจอารมณ์มนุษย์เราได้มากขึ้นและลึกซึ้งขึ้น หรือจะบอกว่าอารมณ์มนุษย์เราถูกถอดรหัสเป็น Algorithm ได้แล้วก็ไม่ผิดนัก

เทรนด์ของเทคโนโลยีนับจากนี้จะไม่ได้มีแค่แง่มุมที่ช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้นแบบวันวาน แต่ยังไปถึงด้านการทำให้เรามีอารมณ์ที่ดีขึ้น มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความเครียดและกดดันจากรอบด้าน

เข้าไปลองสร้าง Digital Avatar ของคุณได้ที่นี่: https://www.bang-olufsen.com/en/us/story/see-yourself-in-sound

Bang & Olufsen’s ได้เปิดให้ผู้คนได้เข้ามาสร้าง Digital Avatar ในแบบของตัวเอง จากนั้นเวลาฟังเพลงแทนที่เราจะดูแค่ภาพ Visualization ทั่วไป ก็จะกลายเป็น Digital Avatar ของเรานั้นกำลังเต้นรำออกท่าทางตามจังหวะอารมณ์ของเพลง แม้จะฟังดูเล็กน้อยแต่เบื้อหลังการออกแบบ Algorithm นั้นไม่ง่าย

และก็ยังมีอีกมากมายหลายคนที่เอาเทคโนโลยีมาช่วยถ่ายทอดอารมณ์ หรือทำให้ผู้คนได้รับรู้อารมณ์มากขึ้น ที่อังกฤษมีแคมเปญการตลาดที่สร้างภาพจากคำบรรยายของคนที่มีอาการซึมเศร้าออกมา เพื่อให้คนรอบข้างได้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้ป่วยโรครซึมเศร้ามากขึ้น

บริษัทการสื่อสารอันดับต้นๆ ของญีปุ่่นอย่าง Docomo เองก็คิดค้นนวัตกรรมการส่งผ่านการสัมผัสผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อทำให้คนที่อยู่ไกลได้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ และนี่คือตัวอย่างส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่จะทำให้เราได้รู้สึกมากขึ้น ได้เข้าถึงอารมณ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าแค่ตาดู หูฟัง เท่านั้นครับ

Photo: https://www.japantimes.co.jp/news/2023/02/08/business/tech/haptic-information-sharing-technology/

เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นไม่ได้มีแค่เพื่อให้เราสะดวกสบายขึ้น แต่ยังมีเพื่อเข้าใจเรามากขึ้น เพื่อให้เรากลับมาเติมเต็มอารมณ์ความเป็นมนุษย์มากกว่าเดิม

นี่คืออีกด้านของเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง เมื่อความสะดวกสบายขึ้นพื้นฐานถูกเติมเต็มหมดแล้ว เราจะหาความสุข เยียวยาจิตใจจากเทคโนโลยีได้อย่างไร ในวันที่เราต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบขึ้นทุกวันจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีเพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตช้าลงครับ

คำถามสำคัญที่อยากฝากทิ้งไว้ แบรนด์เราจะเอาเทคโนโลยีมาเติมเต็มชีวิต หรืออารมณ์ของกลุ่มเป้าหมายที่ขาดหายไปอย่างไรได้ในวันหน้า

4. Air Gestures สั่งได้แค่ปลายนิ้ว

ต่อยอดจาก Apple Vision Pro ที่เราสามารถทำนิ้วมือเพื่อสั่งการทำงานได้โดยไม่ต้องใช้เมาส์กับคีย์บอร์ดจริงๆ อีกต่อไป และนั่นคือหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่า Air Gestures หรือการสั่งการด้วยการตวัดนิ้วมือไปมาบนอากาศ หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีมานานนับสิบปี แต่ดูเหมือนวันนี้เทคโนโลยีนั้นพร้อมต่อการใช้งานจริงแล้ว

ที่งาน CES 2024 Consumer Electronics Show ก็มีบริษัทสตาร์ทอัปเปิดตัว WowMouse app ที่ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์สวมใส่ Wearable อย่าง Andriod Watch ทั้งหลาย ให้สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ตรงหน้าได้ด้วยการทำมือท่าทางเหมือนจับเม้าส์ แต่ไม่ต้องจับเม้าส์จริงๆ

แม้เทคโนโลยี Air Gestures จะไม่ได้พลิกโลกเหมือน Spirtual Tech แบบ Apple Vision Pro แต่มันก็ช่วยยกระดับ User Experience ให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น เราไม่ต้องมีอุปกรณ์ Input Device แบบเดิมๆ ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือดีไม่ดีอาจสบายกว่าเดิมด้วยซ้ำ

Apple เองก็เปิดตัวเทคโนโลยีนี้ใน Apple Watch Series 9 และ Apple Watch Ultra 2 ในช่วงเดือนตุลาคม 2023 ที่ผ่านมาว่าสามารถควบคุมการรับสาย การไม่รับสาย หรืออื่นๆ อีกมากมายด้วยการทำท่าทางผ่านนิ้ว หรือที่เรากำลังเรียกว่า Air Gestures เช่นกัน (ผมถึงขึ้นต้องถอด Apple Watch ของตัวเองมาดูว่าเป็น Series 9 หรือเปล่า ปรากฏว่าเป็น 8 น่าเสียดาย)

เทคโนโลยี Air Gestures ล้ำหน้าไปกว่านั้นในวันนี้ เพราะเราแค่มีกล้อง Webcam ธรรมดาที่คอมพิวเตอร์ก็เพียงพอจะทดแทนคีย์บอร์ดกับเม้าส์ได้แล้ว

บริษัท Neural Lab ได้เปิดตัว AirTouch ในงาน CES 2024 ที่ทำให้เม้าส์และคีย์บอร์ดทุกวันนี้ดูล้าสมัยไปเลย เมื่อไม่สัมผัสก็เท่ากับว่าลดโอกาสติดต่อของเชื้อโรคได้อีกมามาย ในยุค Contactless ที่ได้รับอานิสงค์จากช่วงโควิดมา ดูเหมือนว่าจะไปได้ดีด้วยเทคโนโลยี Air Gestures

หรือในรถยนต์ BMW รุ่นใหม่ๆ ก็มีการใส่เทคโนโลยีนี้ไว้ในรถยนต์ทุกรุ่นไว้ครบถ้วน เราสามารถสั่งเปลี่ยนเพลงด้วยการชูสองนิ้วแล้วปัดซ้ายหรือขวา สามารถสั่งหยุดเสียงด้วยการชูสองนิ้วนิ่งๆ หรือเพิ่มเสียงด้วยการชูนิ้วชี้หนึ่งนิ้วแล้วหมุนวนขวาตามเข็มนาฬิกา หรือจะเบาเสียงก็ด้วยการหมุนวนทวนไปอีกด้าน

Source: https://blog.google/technology/ai/google-project-gameface/

Google เองก็เปิดตัวโปรเจคด้านนี้ที่มีชื่อว่า Gameface ในเดือนพฤษภาคม 2023 เป็น open-source ให้นักพัฒนาเกมได้เข้ามาใช้ระบบนี้ของ Google ในการสั่งการเกมผ่านใบหน้าครับ

โดยผู้พัฒนาเกมสามารถไปกำหนดล่วงหน้าได้ว่าถ้าจะให้สั่งการต่างๆ จะต้องทำหน้าแบบไหน กะพริบตา ขยับปาก หรือใดๆ ก็แล้วแต่ เชื่อว่าสิ่งนี้น่าจะช่วยให้ผู้พัฒนาเกมสามารถเข้าถึงกลุ่มคนผู้พิการจำนวนมากที่ถูกมองข้ามมานาน และนั่นก็หมายถึงโอกาสในการทำรายได้จากลูกค้ากลุ่มใหม่

เทคโนโลยีไร้สัมผัสวันนี้พัฒนามาถึงจุดที่พร้อมให้ทุกคนได้ใช้งานจริงแล้ว จากเดิมเป็นแค่คอนเซปหรือของเล่นสำหรับคนบางกลุ่ม บวกกับความที่ความแม่นยำยังไม่เสถียรมาก มาวันนี้ไม่ต้องใช้เซนเซอร์อะไรให้วุ่นวาย มีแค่กล้อง Webcam ดีๆ บนหน้าจอสักตัวก็เพียงพอที่เราจะทิ้งเม้าส์กับคีย์บอร์ดไปได้เลย

และที่สำคัญเทคโนโลยีนี้ไม่ได้มีแค่ความล้ำ แต่มันยังทำให้คนที่มีปัญหาเรื่องทุพพลภาพสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมคนที่ร่างกายปกติดีครับ

5. Age Tech เทคโนโลยีเพื่อโลกสูงวัย

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบเงียบๆ หลายประเทศอาจยังไม่มีนโยบายที่ดีพอในการรับมือเรื่องนี้ ในด้านนึงจะกลายเป็นโอกาสสำหรับนักการตลาดและภาคธุรกิจ ให้ได้รีบคิดค้นสินค้าและบริการ ไปจนถึงนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

จากงาน CES 2024 ก็มีการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ อุปกรณ์ล้ำๆ มากมาย เจาะกลุ่มผู้สูงวัยโดยเฉพาะ เน้นเรื่องการทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้นในยามที่ร่างกายเสื่อมสภาพลง เพิ่มความปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการดูแลเรื่องสุขภาพจิตผู้สูงสัยจากที่บ้านด้วย AI ครับ

บริษัทสตาร์ทอัปด้านผู้สูงวัยในเบลเยียมชื่อ Nobi ได้สร้างโคมไฟ IoT อัจฉริยะที่นอกจากให้แสงสว่างแล้ว ช่วยสามารถตรวจวัดการล้มของผู้สูงอายุภายในบ้าน ทันทีที่จับสัญญาณการหกล้มหรืออุบัติเหตุได้ ก็จะทำการแจ้งเตือนฉุกเฉินไปยังคนในครอบครัวหน้าเจ้าหน้าที่ให้รีบมาดูแลรักษาพาส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงทีครับ

Elder Tech เทคโนโลยีเพื่อผู้สูงสัยยังไม่หมดเท่านี้ครับ ยังมีอีกอันนึงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน มันมีชื่อว่า Lotus Ring เป็นแหวนอัจฉริยะ ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์หรือปุ่มต่างๆ ภายในบ้านได้ด้วยการสั่งผ่านแหวนกับการทำท่าทำนิ้วแบบง่ายๆ ดังนั้นจะเห็นว่าเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตของคนสูงวัยในบ้านนั้นจะเกิดขึ้นอีกมากมาย เพื่อให้คุณภาพชีวิตเมื่อเราขยับเขยื้อนร่างกายไม่สะดวกนั้นไม่ลำบากสักเท่าไรนัก

หรือกับทีวีเองก็ต้องมีการปรับตัวให้เหมาะกับสังคมสูงวัยมากขึ้นทุกที เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้นการรับรู้ก็เสื่อมถอยลง ไม่ว่าจะการมองเห็นที่ไม่ชัดเท่าเดิม หรือการได้ยินที่ลดลง หรือที่เราเรียกว่าอาการ “หูตึง” นั่นแหละครับ

ในประเทศญี่ปุ่นก็มีสินค้าเป็นลำโพงอัจฉริยะเพื่อผู้สูงวัยที่มีชื่อว่า Mirai จากบริษัท SoundFun ลำโพงตัวนี้มีหน้าตาแบบเสี้ยงหนึ่งของวงกลม ทั้งนี้ก็เพื่อให้เสียงจากทีวีนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องการได้ยินหรือหูตึงจะยังสามารถได้ยินเสียงพูดจากทีวีที่ชัดเจนเหมือนคนหูดีปกติ

จากลำโพงไปต่อกันที่หุ่นยนต์เพื่อนคุยให้กับผู้สูงวัยที่เปิดตัวในงาน CES 2024 กันต่อครับ

เจ้าหุ่นยนต์เพื่อนผู้สูงวัยตัวนี้มีชื่อว่า ElliQ จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนและผู้ช่วยผู้สูงวัยที่ต้องอยู่ติดบ้าน หรืออยู่บ้านคนเดียวให้มีเพื่อนคุยที่เข้าอกเข้าใจ เพื่อนเล่นเกมต่างๆ นาๆ ไปจนถึงเป็นเพื่อนช่วยดูแลสุขภาพ ค่อยส่งข้อมูลต่างๆ ให้กับแพทย์ที่คอยดูแลรักษาผู้สูงวัยคนนั้นด้วย

ไปจนถึงยังสามารถโทรติดต่อหาญาติหรือเจ้าหน้าที่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ตลอดเวลา เสมือนกับมีลูกหลานตัวเล็กอยู่ด้วยกันในบ้าน เพียงแต่ลูกหลานที่เป็นหุ่นยนต์ตัวนี้ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ ขยับได้ก็แต่ส่วนหัวเล็กน้อย ที่ทำท่าทีให้ดูมีชีวิตชีวากว่าหน้าจอทื่อๆ เท่านั้นเอง

ด้วยความสามารถของ LLM ทำให้เจ้าหุ่นยนต์เพื่อนผู้สูงวัยตัวนี้สามารถเข้าใจสิ่งที่คนพูดออกมาได้เป็นอย่างดี จึงไม่ต้องแปลกใจว่าอีกหน่อยเราจะมีหุ่นยนต์เป็นเพื่อนมากกว่าคน เราจะไว้ใจเล่าทุกอย่างให้หุ่นยนต์ฟัง และมันก็สามารถจำจดเราได้ รู้ว่าเราชอบคุยแบบไหน ให้ตอบอย่างไร เราอาจก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยทั่วโลกได้จากเทคโนโลยีนี้ก็เป็นได้

จากรายงานของ WHO บอกว่าภายในปี 2030 ซึ่งก็คืออีกไม่กี่ปีข้างหน้า โลกเราจะมีคนอายุ 60+ มากถึง 1 ใน 6 ของประชากรโลกเลยทีเดียว และนั่นก็บอกให้รู้ว่าโลกเรากำลังจะกลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยคนแก่งอมทั่วทุกมุมโลก

และนั่นก็บอกให้รู้ว่าโลกเราต้องการเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้เราใช้ชีวิตยามแก่ได้อย่างมีคุณภาพ ไม่เป็นภาระลูกหลานหรือคนอายุน้อยในสังคม

และความช่วยเหลือที่คนสูงวัยต้องการก็ไม่ได้มีแค่ด้านสุขภาพกาย แต่ยังต้องการเรื่องสุขภาพจิตสุขภาพใจควบคู่ด้วย ดังนั้นนักการตลาดหรือแบรนด์อย่างเราต้องรีบเตรียมแผนปรับสินค้าหรือกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มสูงวัย Elder ตั้งแต่วันนี้ถ้าไม่อยากพลาดโอกาสทำกำไรชั้นดีในวันหน้าครับ

6. Digitized Scent กลิ่นดิจิทัล

กลิ่นคือองค์ประกอบทางเคมีที่รูปแบบหนึ่ง ซึ่งนับจากนี้ไปไม่ว่ากลิ่นแบบไหนเราก็จะสามารถสร้างหรือโปรแกรมมันขึ้นมาได้ และนั่นก็จะทำให้ Customer Experience ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ลองมาทำความเข้าใจ Technology Trends เรื่อง Digitized Scent กันหน่อยดีกว่าครับว่า ณ วันนี้เราอยู่ตรงไหนแล้ว และในอนาคตจะส่งผลต่อการตลาดมากขนาดไหน

แสง สี เสียง หนึ่งในประสาทสัมผัสของมนุษย์เราที่ถูกทรานฟอร์มแปลงให้เป็น Digital แรกเพราะมันง่ายที่สุด เรามองเห็นผ่านตา ดังนั้นก็แค่ทำให้าภาพอยู่บนจอ หรือถ้าจะล้ำทำเป็น 3D ก็ไม่ยากอีกต่อไป ส่วนเรื่องเสียงหรือการได้ยินนั้นก็ง่าย เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดเสียงมีมานานยิ่งกว่าภาพ (ถ้าไม่นับภาพพิมพ์) เท่ากับว่าเรายังเหลืออีกหนึ่งสัมผัสสำคัญนั่นก็คือกลิ่น

ซึ่งฟังดูเป็นเรื่องเล็กจับต้องไม่ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วกลิ่นคือสิ่งที่ส่งผลต่อความคิดและการกระทำของเรามากกว่าที่คิดเยอะครับ

Osmo คือบริษัทที่พยายามเปลี่ยนกลิ่นให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อจะได้เอามาสร้างใหม่หรือสร้างซ้ำด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี เพื่อให้นักการตลาดสามารถส่งกลิ่นที่ต้องการให้กับกลุ่มเป้าหมายแบบง่ายๆ ไม่ต้องส่งของจริงๆ ไปให้ถึงมือซึ่งมีต้นทุนมหาศาลเมื่อเทียบกับความเป็น Digitaltization

และถ้าเมื่อไหร่กลิ่นสามารถถูกทำให้เป็นดิจิทัลหรือโปรแกรมได้ เท่ากับว่านับจากนี้ไปกลิ่นก็จะสามารถจดลิขสิทธิ์ให้กับผู้คิดค้นได้ และหนึ่งในบริษัทที่กำลังพยายามเรื่องนี้อย่างมากก็คืออุตสาหกรรมยา เพราะเป็นที่รู้กันว่ากลิ่นส่งผลต่อการรักษาหรือสุขภาพของมนุษย์อย่างเรามากกว่าที่คิด

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ในวันนี้ทำให้การจะวิเคราะห์กับสังเคราะห์กลิ่นไม่ใช่เรื่องไกลตัวแบบวันวานอีกต่อไป ลองคิดภาพว่าอีกหน่อยเราสามารถกำจัดหรือไล่ยุงให้ไม่กัดเราด้วยการพกอุปกรณ์สร้างกลิ่นเหมือนกับที่เราพกลำโพงบลูทูธติดตัวไปไหนต่อไหน

เราจะสามารถลดอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายไปได้อีกเท่าไหร่ หรือเราอาจสร้างกลิ่นที่ป้องกันแมลงไม่ให้มากินพืชหรือกัดสัตว์เราจนสร้างความเสียหาย ไปจนถึงการใช้กลิ่นช่วยในการเก็บอาหารให้สดยาวนานขึ้น หรือใช้เครื่องมือตรวจจับกลิ่นโรคระบาดใหม่ๆ ในอนาคต

ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่เราจะได้จากกลิ่นที่สร้างได้

บริษัทด้าน Luxury Brand อย่าง Bulgari ยังเปิดตัว Scentsorial ที่ประเทศดูใบ งานอีเวนท์ที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้คนได้ลองมาประสบการณ์กับกลิ่นที่สั่งสร้างหรือสังเคราะห์ขึ้นมาตามภาพที่ปรากฏตรงหน้าได้ เราจะได้เห็นการนำ Digitized Scent มาประยุกต์ใช้กับการตลาดอีกมหาศาลแน่นอนครับ

กลิ่นนั้นมีทรงพลังมากกว่าที่เราหลายคนคิด เราสามารถถูกชักจูงชี้นำได้ด้วยกลิ่นเยอะกว่าการมองเห็นหรือเสียงหลายเท่า แม้เทคโนโลยีด้านกลิ่นจะยังไม่เห็นภาพชัดเหมือนกับด้านอื่นๆ ในหัวข้อก่อนหน้า

แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าบทความนี้เป็นเรื่องของเทรนด์ ย่อมมีเรื่องของสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในวงกว้าง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่จะสร้าง Impact ใหญ่จนกลายเป็น Game Changer ได้

ลองคิดภาพว่าเราอยากจะส่งกลิ่นแบบไหนให้ลูกค้าที่มีอุปกรณ์สร้างกลิ่นติดตัวหรืออยู่ในบ้าน หรือเราจะขายลิขสิทธิ์ของกลิ่นอย่างเดียวก็ยังสามารถเป็นธุรกิจใหม่ที่ทำเงินได้ไม่แพ้การขายน้ำหอมจริงๆ แน่นอน

7. Omnilingual Tech เทคโนโลยีแปลภาษาแบบ Real-time

Omnilingual Tech มาจากคำว่า Omni + Lingual หรือเทคโนโลยีแปลภาษาแบบ Real-time และทันที จากการเปิดตัว GPT-4o ที่เอามาช่วยทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาแบบทันที ทำเอาคนที่ดูรู้สึกตื่นเต้นไปอีกระดับ เพราะนั่นหมายความว่ากำแพงของภาษาที่แตกต่างกำลังจะพังทลายลงไป การเรียนภาษาอาจกลายเป็นทักษะไม่จำเป็น (ยกเว้นในฐานะผู้เชี่ยวชาญภาษาศัพท์เทคนิค หรือนักภาษาศาสตร์) คิดภาพในอนาคตอันใกล้ (ส่วนตัวผมคิดว่าไม่น่าเกิน 2 ปีนี้) เราน่าจะคุยกับคนทั้งโลกได้แบบเข้าใจทันที เสมือนว่าเรากำลังพูดภาษาเดียวกัน แค่ใส่หูฟังแปลภาษาเข้าไป

ยังไม่นับถือการที่เราสามารถเลียนแบบเสียงเราขึ้นมาเอง เพื่อทำให้เราเสมือนกำลังพูดทุกภาษาบนโลกพร้อมกันเมื่อ LIVE ได้ แถมยังสามารถปรับส่วนปากของเราให้เสมือนกำลังพูดภาษานั้นจริงๆ อยู่ ทั้งที่เรากำลังพูดอยู่แค่ภาษาเดียว ส่วนที่เหลือ AI จะจัดการให้แบบอัตโนมัติ

อย่างบริษัท Startup ด้าน AI ที่ชื่อว่า HeyGen ก็ทำให้เราสามารถสร้างคลิปวิดีโอตัวเองขึ้นมาแล้วแปลเป็นภาษาต่างๆ ได้มากถึง 14 ภาษาในเวลานี้ แถมยังมีภาษาใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้าไปในระบบทุกเดือนๆ คิดภาพอีกหน่อยทีม Customer Service จะสามารถใช้แค่พนักงานคนเดียวก็สามารถตอบทุกคนบนโลกได้ในเวลาเดียวกัน

เริ่มต้นอาจเป็นการลดขนาดทีม Customer Service ในแต่ละประเทศลงให้เหลือไม่เท่าไหร่ จากนั้นถัดไปอาจเป็นการยุบทีมดูแลลูกค้าของประเทศนั้นแล้วโยกไปไว้ยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำสุด

หรือผมคิดภาพว่าผมใช้ HeyGen ทำคลิปที่ผม LIVE สอนเรื่องการตลาดออกไปเป็นทุกภาษาบนโลกใบนี้ หรือเอาแค่ภาษาในภูมิภาคอาเซียนเพื่อนบ้านก็ได้ เทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนวิธีการทำ Content Marketing ไปแบบพลิกกระดาน เรียกได้ว่ามันคือ Disruption ที่แท้จริง

ส่วน YouTube เองก็มีการเปิดระบบแปลภาษาอัตโนมัติ พากษ์เสียงอัตโนมัติไปตั้งแต่ปี 2023 ให้กับ YouTube Creator บางคนได้เอาไปลองใช้งานตั้งนานแล้ว

Spotify เองก็มีการเปิดตัว AI Translation เพื่อช่วยคนทำ Podcast ให้สามารถขยายกลุ่มผู้ฟังไปยังชาติอื่นๆ ได้ เราจะเห็นการแย่งชิง Audience กันครั้งใหญ่เมื่อกำแพงภาษาเปลี่ยนไป แต่ในขณะเดียวกันคนที่ยิ่งดังมากๆ ก็จะกลายเป็นยิ่งดังคับฟ้าในระดับโลกได้โดยง่าย

ภาษาเคยเป็นหนึ่งในกำแพงการสื่อสารที่ใหญ่สุดของมนุษยชาติมานาน แต่ดูเหมือนว่า AI ยุคใหม่จะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้เสมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น อีกหน่อยเราจะสามารถพูดอะไรก็ได้ ฟังอะไรก็ได้ เข้าถึงข้อมูลความรู้อะไรก็ได้

แบรนด์เองก็สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งโลกได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำจนแทบไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นจากการทำคอนเทนต์แบบเดิมสักเท่าไหร่ ที่เหลือคือใครจะมีความเข้าใจ Human Insight มากกว่ากัน นักการตลาดคนไหนจะมีความเข้าใจ Localize & Context ของผู้คนในแต่ละพื้นที่ ประเทศ หรือภูมิภาคมากกว่ากันครับ

ดูเหมือนเทคโนโลยีจะทำให้เราเข้าใกล้และเข้าถึงมนุษย์ทั้งโลกได้ง่ายขึ้น แต่ด้วยความง่ายขึ้นก็ทำให้เราต้องใช้พลังมากขึ้นเพื่อจะเข้าใจ Consumer Insight ให้ดียิ่งกว่าเดิม

ดูเหมือนคู่แข่งเราจะไม่ใช่แค่บริษัทหรือแบรนด์ในประเทศเดียวกัน แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นทั้งโลกที่เราต้องแข่งด้วยในวันนี้

8. Supercharging Destinations โอกาสใหม่จากสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV

ดูเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า EV จะไม่ใช่แค่เทรนด์อีกต่อไป เมื่อดูจากจำนวนยอดขายของทั้งโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และหลายประเทศก็เริ่มออกมาประกาศว่าจะแบนรถยนต์สันดาป หรือรถที่ใช้น้ำมันไปภายในปีเท่านั้นเท่านี้

บวกกับบริษัทรถยนต์ต่างๆ ออกมาประกาศว่าจะยกเลิกการผลิตรถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันให้หมดไปภายในปีเท่าไหร่ก็ตามที่ประกาศออกไป การมาของรถยนต์ไฟฟ้าส่งผลต่อ Ecosystem มากกว่าคนหลายคนคิด เพราะมันคือการสร้างระบบนิเทศทางเศรษฐกิจใหม่มากมาย

และหนึ่งในนั้นก็คือระบบเศรษฐกิจภายในสถานีชาร์จ ที่จากเดิมเติมน้ำมันแค่ไม่กี่นาทีก็ขับออกไปเลย กลายเป็นจะต้องรอประมาณ 20-40 นาทีถึงจะขับรถเดินทางต่อไปได้ และนั่นก็ตามมาด้วยกฏกติกามรรยาทการต่อคิวชาร์จไฟที่ดูจะเป็นปัญหาดราม่ากวนใจไปทุกประเทศทั่วโลกวันนี้

จากรายงานวิจัยของฝั่งสหรัฐอเมริกาเองก็คาดการณ์ว่าจำนวนรถยนต์บนท้องถนนจะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 นั่นสะท้อนถึงจำนวนสถานีชาร์จหรือหัวชาร์จที่จะเกิดขึ้นในทุกสี่แยกมุมเมือง และนั่นก็หมายถึงช่วงเวลาในการทำเงินที่นานกว่าเดิมของคนที่ต้องเอารถมาชาร์จไฟนอกบ้าน

30 นาทีแห่งการทำเงินนี้นักการตลาดก็ต้องมานั่งคิดว่าจะคิดสินค้าหรือบริการแบบไหนขึ้นมาตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ดี ตั้งแต่อาหารที่ไม่รอนานไปและไม่เร็วไปจนคุณภาพอาหารดรอปลง หรือจะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำรอระหว่างชาร์จ อาจจะเป็นการเดินช้อปปิ้งเล็กๆ น้อยๆ ร้านกาแฟ หรือตู้เกมคีบตุ๊กตาอะไรแบบนี้ก็อาจเป็นไปได้

Photo: https://nypost.com/2023/08/29/elon-musks-tesla-themed-diner-gets-approved-in-los-angeles/

Tesla ในอเมริกาเองก็มีการออกแบบสถานี Supercharger บางแห่งที่ให้อารมณ์แบบร้านอาหาร Drive in ยุค 1950 กลับมาอีกครั้ง หรืออาจมีการฉายหลังกลางแปลงให้ดูมันจริงๆ จังๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ Customer Experience ภายในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

เทรนด์นี้ในบ้านเราก็จะเห็นบริษัท ปตท ปั๊มน้ำมันอันดับหนึ่งของไทยมีการปรับตัวเตรียมรับมือเรื่องนี้นานมาก ในวันนี้พวกเขาขยายจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าออกไปทั่วประเทศให้ผู้ใช้รถ EV มีความสะดวกสบายมากขึ้น

แถมยังมีการลงทุนซื้อบริษัทที่เป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือว่าร้านสะดวกซักเข้าไปยังพอร์ทการลงทุนของกลุ่ม OR ดูเหมือนว่าทั้งหมดคือการเริ่มสะสมจิ๊กซอที่เหมาะสมเพื่อเอามาต่อประกอบภายในปั๊มที่จะสามารถทำเงินระหว่างคุณรอชาร์จรถยนต์ 30-40 นาทีอย่างเต็มที่ครับ

สิ่งที่แบรนด์ต้องคิดคือจะฉวยโอกาสจาก 30-40 นาทีระหว่างเจ้าของรถรอชาร์จไฟได้อย่างไร และที่สำคัญกว่านั้นคือต้องทำตัวเป็นตัวกลางในการจัดการคิวของการชาร์จไฟ การเข้าใช้บริการด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นความวุ่นวายหน้าตู้จนอาจถึงขั้นวางมวยทำร้ายร่างกายกันก็ได้

อย่าปล่อยให้เกิดขึ้นจนเกิดภาพลักษณ์ติดลบของแบรนด์ที่อุตส่าห์ตั้งใจสร้างมานะครับ

9. Symbiotic Tech เมื่อเทคโนโลยีหรือ AI จะมีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น

วันนี้คงไม่มีใครอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยี เอาแค่ว่าขาดอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์มือถือก็ดูจะหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว ยิ่งในวันที่เรามี ChatGPT หรือ Generative AI ถือกำเนิดขึ้นมา การจะคุยสั่งการกับคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมใดๆ ก็ตาม เราไม่จำเป็นจะต้องเรียนรู้คู่มือการทำงานของมันแบบวันวาน เราแค่พิมพ์ภาษาคน หรือแค่พูดความต้องการออกไป เพียงเท่านี้ AI ก็จะเข้าใจเสมือนมีคนกำลังฟังแล้วก็ทำตามคำสั่งของเราในทันที

นี่คือการที่เทคโนโลยีต่างๆ ปรับตัวเข้าหาความเป็นมนุษย์เรามากขึ้น หมดยุคที่คนต้องปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีแบบวันวาน เพราะนี่คือยุคที่เทคโนโลยีต่างๆ เรียนรู้ที่จะเราแทน

เรียนรู้ว่าเราพูดยังไง เรียนรู้ว่าเราคิดยังไง เรียนรู้ว่าเราแสดงออกแบบนี้เราน่าจะต้องการอะไร เรียนรู้ว่าเรากำลังเห็นอะไร เรียนรู้ว่าเราได้ยินอะไรและอย่างไร ด้วยความสามารถของ AI ล้วนๆ

Pi คือตัวอย่างของ Personal Chatbot ที่เป็น AI แต่เราสามารถเลือกสไตล์ของ AI ตัวนี้ได้ว่าอยากให้มีน้ำเสียงแบบไหน เป็นเสียงเพศอะไร อยากให้ตอบเราด้วยคาแรคเตอร์หรือลักษณะนิสัยยังไง

และเราสามารถสร้างอุปนิสัยหรือคาแรคเตอร์ของเจ้า Pi Personal Chatbot AI ตัวนี้ได้ด้วยการที่ค่อยๆ คุย ค่อยๆ ตอบคำถามที่มันจะค่อยๆ ป้อนเข้ามาให้เราเพื่อที่มันจะได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยของเราไปเรื่อยๆ ด้วยระยะเวลาไม่เกิน 100 วัน มันก็จะเป็น AI ที่เข้าอกเข้าใจเราเป็นอย่างดี รู้ว่าจะคุยกับเรายังไง ตอบเราแบบไหนที่จะทำให้เราแฮปปี้ จะเรียกว่าเป็นยุค AI แบบภาพยนต์เรื่อง Her ก็คงไม่ผิดครับ

ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้ขึ้นได้เพราะเราเป็นหนี้บุญคุณเจ้า LLM หรือ Large Language Model มากๆ และมันก็พัฒนาไปถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องพิมพ์บอก พูด หรืออธิบายใดๆ แค่เปิดกล้องให้มันเห็นภาพ มันก็เข้าใจแล้วว่าควรจะโต้หรือตอบกับเราแบบไหน

หรือแค่ส่งรูปให้มันดู เท่านี้มันก็ช่วยเราได้สบายๆ หรือจะส่งวิดีโอให้มันช่วยหาอะไรบางอย่างในวิดีโอคลิปยาวๆ นั้นก็ได้ ดูเหมือนว่าเราจะอยู่ในยุคของการปฏิวัติ Data ด้วย AI อีกครั้ง ทุกสิ่งรอบตัวจะถูกเปลี่ยนเป็น Data ที่นำไปสู่การวิเคราะห์ที่แสนจะแม่นยำในอนาคตอันใกล้ครับ

ก็ดูเหมือนว่าเราจะไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ เพราะต่อไปนี้เทคโนโลยีต่างๆ อุปกรณ์รอบตัวหรือว่าเจ้า AI จะมีหน้าที่ต้องคอยเรียนรู้เข้าใจเราเป็นหลัก เพราะมันมีหน้าที่หลักคือการให้บริการหรือเพิ่มความสะดวกสบายให้กับเรา

หมดยุคเปิดคู่มือหรือพยายามเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่แบบวันวาน เราจะสามารถพูดสั่งการหรือแค่เปิดกล้องให้มันเห็นโลกตรงหน้าไปพร้อมกับเราก็พอ

เราจะสามารถปรับแต่ง AI ให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่แสนรู้ใจ หรืออาจปรับแต่งให้มันกลายเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เอาไว้เล่าปรึกษาได้ทุกเรื่อง

ไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตมนุษย์จะยังอยากมีเพื่อนเป็นมนุษย์ด้วยกันอยู่หรือเปล่า หรือเราทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาคุยกับ AI ของตัวเองทั้งวันทั้งคืนแทน

10. The AI Workforce เมื่อ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของงาน

ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวมาก็เริ่มมีการพูดคุยเรื่อง AI อย่างจริงจัง จากนั้นก็มีการเกิดขึ้นของ Generative AI มากมายที่สามารถทำอะไรต่างๆ ในสิ่งที่เราเคยคิดฝันไว้ว่าถ้า AI ทำได้คงดี แต่พอเอาเข้าใจกลับทำให้มนุษยชาติอย่างเราใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่

อย่าง Midjourney ที่วาดรูปได้ดีมาก จนวันนี้สามารถทำภาพถ่ายที่สวยกว่าคนถ่ายรูปจริงๆ มากมาย หรือ AI ที่สามารถสร้างวิดีโอขึ้นมาได้แค่เราพิมพ์บอกมันว่าอยากได้อะไร ดูเหมือนนี่จะเป็นการ Disrupt ที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เรากำลังจะก้าวข้ามจุดที่ย้อนกลับไม่ได้แล้ว

งานหลายงานจะไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป แต่ก็มีคนบอกว่า AI ก็จะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนกันเหมือนกับเทคโนโลยีที่ผ่านมา

ในความคิดผมเชื่อเรื่องนี้แค่ส่วนเดียว ผมเชื่อว่าตำแหน่งงานที่ต้องทำงานกับ AI แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนจะเกิดขึ้น แต่จำนวนงานที่เกิดขึ้นจะไม่สัมพันธ์กันจำนวนงานที่หายไปอย่างมหาศาลได้เลย สมัยก่อนอาจจะหายไป 100 แล้วเกิดงานใหม่สัก 30-40 แต่สำหรับยุค AI แบบนี้เกิดแค่ 10 ตำแหน่งงานได้ก็น่าจะบุญแล้ว

ตำแหน่งงานใหม่ที่ว่าก็คือ Prompt Engineer คนที่มีความเชี่ยวชาญในการสั่งงาน AI สามารถเขียนคำสั่งบอก AI ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในเวลาที่เร็วที่สุด

มีคนบอกว่าแม้วันนี้ AI จะยังไม่สามารถริเริ่มทำทุกอย่างด้วยตัวเองแบบ Autopilot ได้ มนุษย์เราควรจะรีบเรียนรู้การทำงานแบบ Copilot หรือเราเป็นคนตัดสินใจแล้วให้ AI เป็นคนช่วยขับ

อีกด้านหนึ่งก็มีคนกังวลเรื่องของจริยธรรม AI ว่าจะถูกออกแบบให้คิดหรือตอบคำถามอย่างมีจริยธรรมมั้ย เอาดาต้าจากไหนมาสอน ให้คำตอบมาจากหลักการคิดแบบไหน คำตอบที่ให้จะมีความถูกต้องมากน้อยเท่าไหร่ และจะสอดแทรกสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่เป็นอันตรายเข้าไปให้มนุษย์นำไปใช้โดยไม่รู้ตัวได้มากเท่าไหร่กัน

ยิ่งล่าสุด GPT-4o เปิดตัวมาก็ทำให้โลกฮือฮาและวิตกไปมากมาย เมื่อ AI สามารถเห็นภาพตรงหน้าและเข้าใจได้ในระดับมนุษย์ สามารถตอบคำถามได้รวดเร็วในระดับมนุษย์ คำถามถัดมาคือแล้วมนุษย์ที่อยู่ในกลุ่มกลางๆ ลงไปจะอยู่จุดไหนบนโลกใหม่ยุค AI นี้

ก่อนหน้านี้มีกระแสการประท้วงของกลุ่มนักเขียนในแวดวงบันเทิง บอกว่าถ้านำผลงานตัวเองไปใช้เทรน AI เพื่อสร้างผลงานใหม่ ผลงานเหล่านั้นต้องมีส่วนแบ่งให้กับเจ้าของผลงานด้วย

ในแวดวงครีเอทีฟก็เริ่มมีการให้ตราประทับกับไอเดียที่คิดโดยมนุษย์ล้วนๆ เพื่อรักษาคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้ยังคงอยู่ในยุค AI แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่แบบนี้ไปได้นานแค่ไหนนะครับ อารมณ์ยุคเพลง MP3 เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่บรรดาศิลปินค่ายเพลงออกมาต่อต้านเรียกร้องกัน

เราคงปฏิเสธการมีอยู่ของ AI ที่ฉลาดหลักแหลมจนพร้อมจะแทนที่มนุษย์ที่มีความสามารถกลางๆ จำนวนมากไม่ได้อีกต่อไป เราคงไม่สามารถหยุดวิวัฒนาการของ AI ทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นมาใหม่อีกนับไม่ถ้วนหลังจากนี้

เราคงหยุดการเข้าถึงข้อมูลของ AI ไม่ได้ เพราะกฏหมายก็จะเริ่มต้องปรับตัวให้เท่าทันกับโลกยุคใหม่ที่แข่งขันกันด้วยสิ่งนี้ เพราะไม่อย่างนั้นชาติที่ไม่พร้อมปรับตัวจะถูกทิ้งไว้ให้ล้าหลังในเวลาอันรวดเร็วกว่าทุกเทคโนโลยีที่ผ่านมา

ดูเหมือนเราต้องเรียนรู้ที่จะทำงานกับ AI จริงๆ หรือดีไม่ดีต้องทำใจยอมรับถ้างานนั้นจะถูกควบรวมแทนที่ด้วย AI แล้วเราก็ไปทำงานร่วมกับ AI ในฐานะผู้ช่วยของมันแทน

  1. The Identity Economy เศรษฐกิจใหม่จากอัตลักษณ์ตัวตนของเรา
  2. Spatial Tech ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Metaverse ไม่มีเส้นแบ่งออนไลน์กับออฟไลน์อีกต่อไป
  3. Sensory Technopias เทคโนโลยีสื่ออารมณ์
  4. Air Gestures สั่งได้แค่ปลายนิ้ว
  5. Age Tech เทคโนโลยีเพื่อโลกสูงวัย
  6. Digitized Scent กลิ่นดิจิทัล
  7. Omnilingual Tech เทคโนโลยีแปลภาษาแบบ Real-time
  8. Supercharging Destinations โอกาสใหม่จากสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV
  9. Symbiotic Tech เมื่อเทคโนโลยีหรือ AI จะมีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น
  10. The AI Workforce เมื่อ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของงาน

และนี่คือ 10 Technology ที่จะขับเคลื่อนโลกทั้งในแง่เศรษฐกิจ ธุรกิจ ไปจนถึงการตลาดทุกด้าน ลองดูนะครับว่าแบรนด์เรา สินค้าเรา หรือบริการของเราจะเข้าไปอยู่ตรงไหนหรือใช้ประโยชน์อะไรจากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้บ้าง

อ่านบทความชุด 10 Culture Trends 2024 เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่

Source: https://www.vml.com/insight/the-future-100-2024

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

แบรนด์บ้านในฝันของคุณคือ...

ช่วยตอบเราก่อนอ่านแปบนึงนะ ^^