ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าทางการตลาดวันละตอนได้เข้าไปเรียนในคลาสของทาง Superlab ในการเป็น Leadership ใน 21st Century โดยในบทความนี้จะขอเริ่มจากเรื่องที่ต้องเจอในทุกธุรกิจเลยก็ว่าได้ ในเรื่องของการจัดการองค์กรและคนในองค์กรให้มีความ Well-Being นั่นเองค่ะ
Well-Being ผู้นำยุคใหม่ต้องใส่ใจทั้งคนและองค์กร
ในปัจจุบันที่การทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว Well-being ของพนักงานและองค์กร ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้ค่ะ ผู้นำที่ดีในยุคใหม่นั้นไม่ใช่แค่ต้องใส่ใจต่อการดำเนินธุรกิจหรือเป้าหมายขององค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับ Well-being ของทั้งพนักงานและองค์กรด้วยค่ะ
เพราะว่าการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน Well-being นั้นมีส่วนช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วยค่ะ โดยในคลาสเราจะได้ Framework การดูแล Well-being ทั้งในคนและองค์กร เพื่อให้เป็นแนวทางในการสร้าง Well-being ให้กับองค์กรและพนักงานค่ะ
#เริ่มต้นที่พนักงานพื้นฐานของ Well-being
Well-being ของพนักงานคือหัวใจสำคัญในการสร้างองค์กรที่ประสบความสำเร็จ พนักงานที่มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลไปยังการมีความพึงพอใจในงาน และมีส่วนร่วมในการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วยค่ะ
โดยการดูแล Well-being ของพนักงานนั้นครอบคลุมถึง 10 มิติ ได้แก่ สุขภาพกาย ความคิดสร้างสรรค์ การเงิน การพัฒนาทางอารมณ์ การพัฒนาทางจิตวิญญาณ และสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสรรค์ผลงานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองค่ะ
โดย 10 Dimensions of Well-being ซึ่งเป็นแนวทางการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (Employee Well-being) มีการแบ่งออกเป็น 10 มิติที่สำคัญ ดังนี้ค่ะ
Physical Well-being ความต้องการทางกายภาพ อย่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การนอนหลับ และการพักผ่อนที่ดี
Emotional Well-being ความสามารถในการแสดงความรู้สึก การจัดการอารมณ์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
Spiritual Well-being การมีความหมาย เป้าหมาย และคุณค่าในชีวิต
Social Well-being การพัฒนาความสัมพันธ์เชิงบวก การมีส่วนร่วมในชุมชน และการเป็นส่วนหนึ่ง
Intellectual Well-being ความสามารถในการพัฒนาทักษะและความรู้ การมีความตระหนักรู้ในตนเอง และการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ
Creative Well-being การเข้าใจมุมมองต่างๆ เพื่อเข้าใจความหลากหลายทางสังคม
Occupational Well-being ความพึงพอใจส่วนบุคคลในอาชีพและการทำงาน
Financial Well-being ความพึงพอใจทางการเงินในปัจจุบัน
Environmental Well-being การมีสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนสุขภาพและ Well-being
Digital Well-being การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริม Well-being
ซึ่งตรงนี้เองแสดงให้เห็นว่าแต่ละมิติของ Well-being ล้วนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจของพนักงาน รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมให้พนักงานมีความสุขและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองค่ะ
#Well-being ขององค์กรสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
ต้องบอกว่าการดูแล Well-being ของพนักงานนั้นต้องมาพร้อมกับการสร้างองค์กรที่มี Well-being ซึ่งในหนึ่งในการสร้าง Well-being ในระดับองค์กนั้น สามารถทำได้ผ่าน 5 Pillars of Organization’s Well-being หรือ 5 เสาหลักของ Well-being ในองค์กร โดยแต่ละเสาหลักครอบคลุมมิติสำคัญของ Well-being ที่ส่งผลต่อพนักงานและองค์กร ดังนี้ค่ะ
สิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน (Workplace & Environment) การออกแบบและจัดการสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงานที่เอื้อต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน เช่น การจัดพื้นที่ทำงานที่ปลอดภัย การจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน และการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยในที่ทำงาน
การมีส่วนร่วมของพนักงาน (Employee Engagement & Fulfillment) การสร้างความพึงพอใจในการทำงาน การเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การสนับสนุนการพัฒนาทักษะของพนักงาน รวมถึงการดูแลสภาพจิตใจและร่างกายของพนักงานเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การพัฒนาความร่วมมือทางวัฒนธรรมและสังคม (Cultural & Social Cohesion) การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันในทีม การเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานในองค์กร การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความสามัคคี และการมีส่วนร่วมของพนักงานในชุมชนองค์กร
ความมั่นคงทางการเงิน (Financial Well-being) การดูแลความมั่นคงทางการเงินของพนักงาน เช่น การให้คำปรึกษาด้านการเงิน การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน และการสร้างระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมความต้องการทางการเงินของพนักงาน
การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (Digital & Innovation) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงการส่งเสริมนวัตกรรมในการทำงาน การใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัลเพื่อปรับกระบวนการทำงานและช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้ง 5 เสาหลักนี้เป็นแนวทางในการสร้าง Well-being ในองค์กรอย่างยั่งยืน โดยผู้นำองค์กร หรือ ผู้บริหารที่สามารถผสานทั้ง 5 มิตินี้เข้าด้วยกัน จะช่วยให้พนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาวค่ะ
ซึ่งอย่างที่บอกไปการสร้าง Well-being ในระดับองค์กรไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและมีความผูกพันกับวัฒนธรรมขององค์กรอีกด้วยค่ะ
#ปัจจัยและการออกแบบที่เหมาะสมเพื่อสร้าง Well-being
ปัจจัยหลายอย่างมีผลกระทบต่อ Well-being ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมทั้งสุขภาพจิตและร่างกาย ได้กล่าวถึงการออกแบบพื้นที่ทำงานที่เหมาะสม เช่น การเลือกใช้แสง สี และการออกแบบพื้นที่อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความเครียด และความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบพื้นที่ที่เหมาะสมช่วยลดความเครียดและส่งเสริมให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยในภาพนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การออกแบบพื้นที่ทำงาน (Workspace Design) และ สุขภาพจิต (Mental Health) ของพนักงาน โดยแบ่งปัจจัยต่างๆ ของการออกแบบพื้นที่ทำงานที่ส่งผลต่อ Well-being และประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานออกเป็นหลายอย่าง เช่น ความเครียด (Stress), การหมดไฟ (Burnout), คุณภาพการนอนหลับ (Sleep quality), และประสิทธิภาพในการทำงาน (Productivity) เป็นต้นค่ะ
ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อ Well-being และ Productivity ของพนักงาน ได้แก่
ประเภทของสำนักงาน (Office type) การออกแบบสำนักงานแบบเปิด (Open plan office) อาจเพิ่มความเครียดและลดประสิทธิภาพการทำงาน เมื่อเทียบกับสำนักงานส่วนตัว (Private office) ที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน
การใช้พื้นที่ทำงาน (Workspace use) ที่นั่งแบบกำหนด (Dedicated seating) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเครียด ในขณะที่การมีที่นั่งที่ยืดหยุ่น (Flexible seating) ช่วยให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น
ห้องพักผ่อนหรือพื้นที่ผ่อนคลาย (Concentration spaces/breakout rooms) การมีพื้นที่สำหรับพักผ่อนในสำนักงานช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก (Easy access to facilities) การมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายส่งผลบวกต่อการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจในการทำงาน
ขนาดกลุ่ม (Cluster size) กลุ่มขนาดใหญ่ (>20 คน) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเครียดและลดประสิทธิภาพ ในขณะที่กลุ่มขนาดเล็ก (2-5 คน) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการมีส่วนร่วม
การออกแบบพื้นที่ทำงานที่เหมาะสมช่วยลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ค่ะ ซึ่งเราจะเห็นว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานแต่หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือ มีเพียงปัจจัยเดียวนั้นที่ส่งผลต่อเรื่องของการ Burnout ค่ะ
อย่างที่บอกไปว่ามีเพียงปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อการ Burnout นั่นคือ Vitality zones/aspects หรือก็คือ การพื้นที่ให้เคลื่อนไหว หรือได้ขยับร่างกาย อย่างการใช้โต๊ะปรับขึ้นลงได้ ตรงนี้เองจึงจะสามารถลดการ Burnout ได้ค่ะ
สรุปแล้ว Well-being ไม่ใช่เพียงแค่การดูแลสุขภาพของพนักงานหรือสภาพแวดล้อมในองค์กรเท่านั้น แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับความสำเร็จและความยั่งยืน โดยผู้นำยุคใหม่ต้องมองเห็นความสำคัญของการสร้าง Well-being ในทุกระดับ ตั้งแต่พนักงานจนถึงองค์กร เพราะความสำเร็จในระยะยาวนั้นขึ้นอยู่กับการที่ทุกคนในองค์กรมีความสุข สุขภาพดี และสามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพนั่นเองค่ะ
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt : A small group of colleagues sitting around a table in a comfortable, well-lit space, engaged in a joyful and relaxed conversation. The table has coffee cups, notebooks, and light snacks, adding to the informal and friendly atmosphere. Surrounded by indoor plants and natural light, the group is laughing and enjoying the discussion, symbolizing strong social well-being and positive collaboration in the workplace
แลพทั้งหมดนี้ก็คือ Well-Being ผู้นำยุคใหม่ต้องใส่ใจทั้งคนและองค์กรจาก Superlab ที่ผู้เขียนนำมาฝาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้องค์กรของทุกท่านไม่มากก็น้อย สำหรับใครอยากลองเข้าไปศึกษาหรือดูเรื่องของ Well-Being เพิ่มเติม ก็สามารถรอติดตามคลาสจากทาง SuperLab ได้ค่ะ หรือจะเข้าไปที่ FutureTales LAB by MQDC เพื่อติดตามข่าวสารค่ะ
ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่
https://www.everydaymarketing.co/pr/as-the-world-changes-businesses-must-adapt-from-sustain-to-resilient-from-superlab/