ถ้าถามว่ากลยุทธ์การตลาดอะไรที่ฮอตฮิตที่สุดในปี 2025 บอกเลยว่า Collaboration Marketing คือหนึ่งในนั้นครับ เพราะแม้แต่ แบรนด์ ‘ยาดม’ ที่เราคุ้นเคยกันดี ก็ยังลุกขึ้นมาจับมือกับซีรีส์ระดับโลกอย่าง ‘Squid Game’ เลยครับ วันนี้ผมเลยจะพาทุกคนมาเจาะลึกกลยุทธ์ การตลาดเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ที่ทำให้การ Collaboration ครั้งนี้สามารถสร้างสีสันให้กับแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจครับ
การตลาดเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ยกเครื่องแบรนด์ครั้งใหญ่ จาก ‘ยาดม’ สู่ ‘Functional Lifestyle Brand’
ก่อนอื่นต้องบอกว่า เป้าหมายของ เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ในครั้งนี้ไม่ได้มองแค่การเพิ่มยอดขายครับ แต่เป็นการยกเครื่องภาพลักษณ์หรือ Image ของแบรนด์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว โดยคุณมีนา (เอี่ยมพิกุล) อัครพงศ์พิศักดิ์ รองประธานบริหารด้านการตลาด ได้บอกว่า ตนเองต้องการพาแบรนด์ให้ก้าวข้ามการเป็นแค่ ‘ยาดม’ ไปสู่การเป็น ‘ไลฟ์สไตล์แบรนด์’ ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ให้ได้
AI-Generated by Shutterstock (Prompt: A Thai person using a traditional herbal inhaler (ya-dom), close-up portrait, showing a natural expression of relief and comfort, wearing everyday casual clothes, background of a typical Thai street or market, realistic style, daylight, photorealistic, Southeast Asian features, subtle branding on the ya-dom bottle, traditional Thai cultural vibe.)
เรียกได้ว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่หลายคนมองว่าเป็นการใช้งานเฉพาะทาง การจะเปลี่ยน Brand Perception และ Brand Relevance ให้แบรนด์ยังดูทันสมัยได้นั้น ก็ต้องอาศัยกลยุทธ์ที่จะสามารถทำให้แบรนด์แตกต่างและโดนใจ ซึ่ง Collaboration Marketing ก็ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ได้นั่นเอง
แล้วทำไมต้องเป็น SQUID GAME? การเลือกพาร์ทเนอร์ที่ใช่สุด ๆ
บอกเลยว่าการเลือก Squid Game มาเป็นพาร์ทเนอร์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนมาอย่างดีเพื่อตอบโจทย์ของแบรนด์ในหลายมิติครับ
เชื่อมต่อกับ Pop Culture และเข้าถึง Gen Z ปฏิเสธไม่ได้ว่า Squid Game ไม่ใช่แค่ซีรีส์ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมระดับโลก การนำแบรนด์ไปผูกกับ Pop Culture เป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแบรนด์ คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และความเชื่อมโยงกับสิ่งที่พวกเขาสนใจ
สร้างเรื่องราวที่ไปด้วยกันได้ คุณมีนามองว่า Squid Game คือตัวแทนของความท้าทาย การเอาตัวรอด และความตื่นตัวตลอดเวลา ซึ่งมันสอดคล้องกับจุดยืนของเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ที่มอบความหอม สดชื่น ตื่นตัว ให้ผู้ใช้ “พร้อมลุยทุกเกม ไปต่อได้แบบมีคุณภาพ” การเชื่อมโยงคุณค่าของผลิตภัณฑ์เข้ากับธีมของซีรีส์แบบนี้ ทำให้การร่วมมือครั้งนี้ดูมีความหมายมากขึ้น
ยกระดับสู่แบรนด์ระดับโลก การจับมือกับ Netflix และซีรีส์ดังระดับโลก ก็ถือเป็นการประกาศจุดยืนว่า แบรนด์ยาดมของไทยก็เจ๋งและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมระดับโลกได้เหมือนกัน ซึ่งช่วยสร้างการรับรู้และอาจขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มแฟน ๆ ของซีรีส์ทั่วโลกในอนาคตได้อีกด้วย
ไม่ใช่แค่แปะโลโก้ แต่เป็นการ Co-creation
การ Collaboration ระหว่าง เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ และ Squid Game SS3 จาก Netflix ทำให้เกิดแคมเปญ “ยาดม สควิด เป๊ป” ที่ไม่ใช่การแปะโลโก้บนยาดม แต่ได้หลอมรวมองค์ประกอบต่าง ๆ ของทั้งจาก 2 ฝั่งไม่ว่าจะเป็น
การร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-product development) ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้แคมเปญนี้แตกต่าง คือการที่แบรนด์ได้พัฒนากลิ่นใหม่ขึ้นมาเป็นครั้งแรกร่วมกับทีมซีรีส์ โดยใช้กลิ่นเป๊ปเปอร์มิ้นท์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานกับน้ำมันหอมระเหยจากมะกรูด จนได้เป็นกลิ่นใหม่ที่สะท้อนคาแรกเตอร์ลึกลับของซีรีส์ได้ลงตัว แถมแพ็กเกจจิ้งยังออกแบบโดยใช้สีธีมหลัก 6 สี (ชมพู, เขียวอ่อน, ดำ, ฟ้า, ส้ม, และสีเขียวเข้ม) ทำให้กลายเป็นคอลเลกชันพิเศษ 6 แบบที่น่าสะสมสุด ๆ
การตลาดแบบครบเครื่อง (Integrated Marketing Communications) แบรนด์ใช้กลยุทธ์การสื่อสารที่ครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้งบิลบอร์ด LED และสื่อในร้านค้า ควบคู่ไปกับการตลาดออนไลน์ที่เน้นวิดีโอ การใช้ KOLs และ Influencers เพื่อสร้างกระแสในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แสดงให้เห็นว่ายาดมก็เป็นไอเท็มที่มีสไตล์และสะท้อนตัวตนได้
ช่องทางจำหน่ายที่ทรงพลัง (Powerful Distribution Channel) การเลือกวางขายแบบเอ็กซ์คลูซีฟในราคาหลอดละ 39 บาท ที่ร้าน 7-Eleven ทั่วประเทศ เพราะช่วยกระจายสินค้าไปถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทำให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างได้ทันที
บทเรียนที่ไม่ควรพลาด จาก
เคสของ “ยาดม สควิด เป๊ป” ก็เป็นอีกหนึ่งที่น่าสนใจหลายอย่างสำหรับการทำ Collaboration Marketing เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
ความร่วมมือต้องมีความหมาย การเลือกพาร์ทเนอร์ที่ดีไม่ใช่แคมีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการหาจุดเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างแบรนด์และพาร์ทเนอร์ การที่เป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ เชื่อมโยง “ความสดชื่น” เข้ากับ “การเอาตัวรอด” ได้ คือคีย์สำคัญที่ทำการร่วมมือในครั้งนี้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายทีแบรนด์ตั้งเอาไว้
ลงทุนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ อย่าแค่เปลี่ยนแพ็กเกจจิ้ง การลงทุนพัฒนากลิ่นและดีไซน์ใหม่ร่วมกับพันธมิตร แสดงถึงความจริงใจและทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าได้รับของที่ “พิเศษ” จริง ๆ
เปลี่ยนสินค้าธรรมดาให้เป็นของน่าสะสม แคมเปญนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่สินค้าในชีวิตประจำวันอย่างยาดม ก็กลายเป็นของสะสม (Collectible Item) ที่สร้างกระแสได้ ด้วยดีไซน์ เรื่องราว และการทำเป็น Limited Edition
เข้าใจจิตใจกลุ่มเป้าหมาย: แบรนด์แสดงให้เห็นว่าเข้าใจ Gen Z อย่างลึกซึ้ง ทั้งความสนใจใน Pop Culture และความต้องการแสดงตัวตนผ่านสินค้าที่ใช้
สรุป
ต้องบอกเลยว่ากลยุทธ์ การตลาดเป๊ปเปอร์มิ้นท์ ฟิลด์ ที่ร่วมมือกับ Netflix SQUID GAME ไม่ใช่แค่แคมเปญที่ต้องการแค่ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย แต่เป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ไทยในการก้าวสู่ระดับโลก
ซึ่งก็เป็นอีกเเคมเปญที่ถูกทำอย่างสร้างสรรค์ เพราะคงไม่มีใครคิดว่าจะมียาดมฟิล ๆ “กลิ่นการเอาตัวรอด” ซึ่งก็ชวนให้เราอยากจะซื้อมาลองดมสักครั้งเหมือนกัน
สุดท้ายก็ต้องบอกว่า Collaboration Marketing ก็ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการสร้าง Brand Love และขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ถ้าแบรนด์สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แตกต่าง และตรงความต้องการของผู้บริโภคได้ครับ
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่