Immersive Experience เทรนด์ใหม่มาแรงของธุรกิจ Museum

Immersive Experience เทรนด์ใหม่มาแรงของธุรกิจ Museum

ต้องบอกว่าเทรนด์การเที่ยวในเมืองของคนปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป คนเริ่มเปลี่ยนจากการเที่ยวห้าง ที่เดิมจะมีแค่การกิน การเดินห้าง ไปเป็นหากิจกรรมใหม่ ๆ แทน จะเห็นได้จาก Events ต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมา ซึ่งเป็นการให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมเปิดประสบกราณ์ใหม่ ซึ่ง Immersive Experience ก็เป็นในสิ่งที่จะดึงดูดคน และ สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับคนที่มาเที่ยว

Immersive Experience คืออะไร

Immersive Experience หรือ “ประสบการณ์เสมือนจริง” เป็นประสบการณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อผู้บริโภค โดยใช้สิ่งเร้าต่อระบบประสาทสัมผัสทั้งหกของมนุษย์อย่าง รูป รส เสียง สัมผัส กลิ่นและความรู้สึก ให้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งผ่านการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น

  • Virtual Reality (VR) ที่ใช้แว่นตาพิเศษเพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงแบบ 360 องศา ให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน
  • Augmented Reality (AR) ที่ใช้เทคโนโลยีซ้อนภาพเสมือนลงบนโลกความเป็นจริง ผ่านอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนหรือแว่นตา AR
  • Mixed Reality (MR) ที่ผสมผสานโลกความจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุเสมือนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • 360° Videos ที่ถ่ายทำวิดีโอแบบ 360 องศา เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานที่นั้น ๆ
  • Interactive Experiences ที่ออกแบบให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมและมีอิทธิพลต่อเนื้อหาหรือการดำเนินเรื่อง เช่น การรับชมซีรีส์แบบ interactive เป็นต้น

การสร้างประสบการณ์ Immersive จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้าน ทั้งเพื่อความบันเทิง, การศึกษา, การท่องเที่ยว, แบรนด์ดิ้ง, โฆษณา-การตลาด ฯลฯ และมีแนวโน้มเติบโตในอนาคตด้วยค่ะ

Immersive Experience มาแรง เทรนด์ใหม่ของธุรกิจมิวเซียม

อย่างที่บอกว่าการสร้าง Immersive Experience มีหลากหลายมาก แม้แต่วงการการศึกษาก็ได้มีการทำ Immersive Learning ที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยหนึ่งในรูปแบบที่นิยมใช้ คือ ให้คนที่เรียนสร้างอวาตาร์ (Avatar) จำลองตัวตนเข้าไปดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ในโลกเสมือนได้ และบางครั้งก็มีการใช้เกม (Gamification) ร่วมด้วยเพิ่มสร้างความสนุกสนานให้กับการเรียนรู้

หรือแม้กระทั่งในธุรกิจมิวเซียม หรือ พิพิธภัณฑ์ ก็นำ Immersive Experience มาใช้เช่นเดียวกัน อย่างนิทรรศการที่มีการจัดก็มีการนำ Immersive Art มาใช้ อย่าง Van gogh Alive ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจ

ซึ่งการเติบโตและการนำ Immersive มาใช้นี้ ทาง“CMO” ผู้นำตลาดพิพิธภัณฑ์และศูนย์การเรียนรู้ ก็ได้เดินหน้ารุกขยายงานมิวเซียม ตั้งเป้าเติบโตปี 67 โดยตั้งรายได้เฉพาะกลุ่มงานพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ 147 ล้านบาท โดย “ผู้บริหาร” บอกว่าเทรนด์ “Immersive Experience”  กำลังได้รับความนิยม จึงต้องเน้นสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วม ผสมผสานเนื้อหาเข้ากับเทคนิคพิเศษ เพื่อให้ผู้บริโภคตื่นตาตื่นใจไปกับเทคโนโลยีแสงสีเสียงตระการตาค่ะ

นายพิเชษฐ ตุรงคินานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO เปิดเผยว่า นอกจากการดำเนินธุรกิจครีเอทีฟอีเวนต์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ บริษัทฯ ยังเป็นผู้นำทีมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มงานพิพิธภัณฑ์และศูนย์การเรียนรู้ โดยดำเนินงานครอบคลุมตั้งแต่ ออกแบบก่อสร้าง ตลอดจนทำเนื้อหานิทรรศการ

ซึ่งจุดเด่นของ CMO อยู่ที่การนำเทคโนโลยีดิจิทัล ผสมผสานการสร้างสรรค์มีเดีย กับอุปกรณ์ระบบภาพแสงเสียง ออกแบบคอนเทนต์ให้ได้ทั้งความรู้ และความสนุก  ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้

และในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ก็ให้ความสำคัญกับการตลาดพิพิธภัณฑ์ (Museum Marketing) มากยิ่งขึ้น เพราะไม่เพียงแต่จะสร้างเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เท่านั้น แต่ต้องคิดในส่วนของการตลาดว่าจะมีกลยุทธ์อย่างไรให้คนเดินทางมาชมพิพิธภัณฑ์ และกลับมาชมอีก โดยจะเห็นได้ชัดว่า หลายแห่งมีการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำ ผสานกับช่องทางการสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ชมได้มีส่วนร่วมเต็มรูปแบบค่ะ

Immersive Experience มาแรง เทรนด์ใหม่ของธุรกิจมิวเซียม

ทาง CMO มองว่าเทรนด์การตลาดที่นำมาใช้ได้ดีในงานมิวเซียม คือ การตลาดแบบ Immersive Experience เน้นสร้างความประทับใจและเติมเต็มประสบการณ์ในการเข้าชมนิทรรศการ โดยจะออกแบบรูปแบบคอนเทนต์ให้มีการสื่อสารโต้ตอบสองทาง (Interactive) ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม ที่สำคัญเนื้อหาต้องเข้าใจง่ายและที่ขาดไม่ได้ต้องมี Storytelling ที่ดี นี่เป็นตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Immersive ในพิพิธภัณฑ์ เช่น

  1. นำเสนอข้อมูลเชิงลึกด้วย AR เมื่อส่องสมาร์ทโฟนไปยังวัตถุจัดแสดง ก็จะมีข้อมูลและมัลติมีเดียเสริมปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เหมือนได้ยินเรื่องราวจากวัตถุชิ้นนั้นโดยตรง
  2. ย้อนยุคไปในอดีตด้วย VR โดยให้ผู้ชมสวมแว่น VR แล้วท่องไปในฉากสำคัญทางประวัติศาสตร์ ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
  3. โต้ตอบกับวัตถุจัดแสดงด้วย Interactive Display ที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ ให้ผู้ชมสามารถควบคุมการแสดงผลหรือค้นหาข้อมูลได้ด้วยการสัมผัส เคลื่อนไหว หรือใช้เสียง
  4. สร้างบรรยากาศด้วย Projection Mapping การฉายภาพเคลื่อนไหว แสง สี เสียง ลงบนวัตถุจัดแสดงหรือผนังอาคาร เพื่อเล่าเรื่องราวอย่างมีชีวิตชีวาและดึงดูดความสนใจ
  5. เพิ่มความอินเตอร์แอคทีฟด้วย Gamification ออกแบบกิจกรรมให้เป็นเกมสำรวจพิพิธภัณฑ์ มีเควสท้าทาย แต้มสะสม ปริศนาซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ กระตุ้นให้ผู้ชมเรียนรู้อย่างสนุกสนาน

การนำ Immersive Experience เข้ามาใช้ในพิพิธภัณฑ์ ไม่เพียงช่วยให้นำเสนอข้อมูลได้น่าสนใจขึ้น แต่ยังดึงดูดให้ผู้คนอยากเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้น ทำให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิตชีวาและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่ง CMO ก็ทราบในจุดนี้ดี และยังให้ความสำคัญกับการคิดงานที่ควบคู่กับการตลาดให้ลูกค้าอีกด้วย โดยบริษัทฯ ให้บริการครบวงจร ทั้งด้านอุปกรณ์จัดแสดงระบบภาพแสงเสียง ไปจนถึงการผลิตสื่อสร้างสรรค์เทคนิคพิเศษต่างๆ มาใช้ในมิวเซียมให้มีความทันสมัยมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นเทคนิค AR Interactive, Mapping Graphic Wall, VR (Virtual Reality) ช่วยเพิ่มสีสัน ทำให้งานพิพิธภัณฑ์ที่ CMO ร่วมพัฒนา กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งให้ความรู้ และยังสร้างประสบการณ์ความสนุกให้กับผู้ชมได้อีกด้วย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ กล่าวอีกว่า ในปี 67 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ประมาณ 1,200 – 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจมิวเซียมที่ประมาณ 147 ล้านบาท  โดยในปีนี้  บริษัทฯ มีงานออกแบบและสร้างพิพิธภัณฑ์ศูนย์การเรียนรู้ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐบาล และบริษัทเอกชน ที่รับรู้แล้ว

อาทิเช่น การปรับปรุงนิทรรศการ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง, โครงการก่อสร้างปรับปรุงอาคารนิทรรศการและบริการทางการศึกษา ของหน่วยงานกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโปรเจ็กต์ที่อยู่ระหว่างการเข้าร่วมประมูลอีกหลายโครงการค่ะ

ขอขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator
Prompt : An individual interacting with a large, interactive digital display of a famous painting. The display should respond to the person’s hand gestures, revealing hidden layers, brushstrokes, and details within the artwork. The colors should be vibrant, and the interaction should look seamless and natural.

นอกจากธุรกิจมิวเซียมแล้วการทำการตลาดด้วย Immersive Experience กำลังกลายเป็นเทรนด์ที่แบรนด์ชั้นนำทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นวิธีสร้างการมีส่วนร่วมและความผูกพันกับผู้บริโภคในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการสื่อสารแบบเดิม ๆ ด้วยการมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และอินเตอร์แอคทีฟ ผ่านเทคโนโลยี Immersive ต่าง ๆ เช่น

  • กิจกรรม Brand Activation ที่จำลองบรรยากาศและเนื้อหาของแบรนด์ให้ผู้บริโภคได้มีประสบการณ์ตรง ผ่านการผสานโลกจริงและโลกเสมือน เปิดโอกาสให้ได้ลองสินค้าหรือบริการในสถานการณ์ต่างๆ
  • ถ่ายทอดสตอรี่ของแบรนด์ผ่านวิดีโอ 360 องศา VR หรือ AR ที่ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องราวนั้นจริงๆ เห็นมุมมองที่แตกต่าง สัมผัสอารมณ์และบรรยากาศที่แบรนด์ต้องการสื่อ
  • สร้างห้องแสดงสินค้าเสมือนจริง (Virtual Showroom) ที่ให้ลูกค้าเข้าชมรายละเอียดสินค้าแบบ 360 องศา ขยายดูส่วนต่างๆ เปลี่ยนสีหรือวัสดุ จนถึงทดลองวางสินค้าในพื้นที่จำลอง ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
  • เกมและกิจกรรมแบบ Interactive ที่ให้ผู้บริโภคร่วมสนุกและท้าทายไปกับแบรนด์ ใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหา พร้อมรับรางวัลสุดพิเศษเมื่อผ่านด่านต่างๆ สร้างความบันเทิงควบคู่การสื่อสารแบรนด์
  • นำเสนอคอนเทนต์ผ่าน Immersive Web ที่ออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้มีลูกเล่นแบบจัดเต็ม ทั้งภาพเคลื่อนไหว เสียงเซอร์ราวด์ หรือเอฟเฟกต์พิเศษต่างๆ ดึงดูดให้ผู้ชมอยู่ในหน้าเว็บนานขึ้นและจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น

การใช้ Immersive ในการทำการตลาด ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นท่ามกลางคู่แข่ง สื่อสารเรื่องราวได้ลึกซึ้งกว่า เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้ามากขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ ทำให้ผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว หากนำมาใช้งานอย่างสร้างสรรค์และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ก็จะสร้างผลลัพธ์ทางการตลาดที่สำเร็จได้อย่างน่าทึ่งค่ะ

ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ 

สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube และ Blockdit ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ

Source Source Source Source Source

อยากอ่านบทความการตลาดเพิ่มเติม ลองเลือกอ่านบทความด้านล่างนี้ได้เลยนะคะ

Mywmint

มิวมิ้น เรียก มิ้น ก็ได้ค่ะ ● ⋏ ● เป็น Junior Marketing Content Creator ของการตลาดวันละตอนค่ะ รับบท Marketer ฝึกหัด ٩(◕‿◕)۶ ตั้งใจสรรสร้างทุกบทความ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์ และ ชอบนะคะ ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยฮะ ʕっ•ᴥ•ʔっ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

แบรนด์บ้านในฝันของคุณ คือ...