กลยุทธ์ Central Pattana ใช้ Data-Driven สู่การขยายโอกาสทางธุรกิจ

สวัสดีครับทุกคน ถ้าเราอยากจะไปเดินห้างซื้อของ ช็อปปิ้ง ก็คงต้องนึกถึง Central Pattana ห้างสรรพสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่อยู่ในเครือของ Central Group ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น ทุกองค์กรต่างก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด วันนี้ผมเลยอยากจะพาทุกคนไปดู กลยุทธ์ Central Pattana (CPN) ที่ใช้ Data ในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคดิจิทัล

ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญ และเป็นเหมือนหัวใจของการทำ Data-Driven ขององค์กรเลยก็คือ The 1 แพลตฟอร์มทั้งสำหรับ Customer Loyalty Program และ For Business

ต้องบอกว่าในยุคปัจจุบัน เราไม่สามารถทำธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ถ้าไม่อาศัยการใช้ข้อมูลในการเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย แม้แต่ธุรกิจที่ใหญ่โตอย่าง Central Grop ก็เช่นกัน ปัจจุบันได้มีการนำแพลตฟอร์มอย่าง The 1 ที่จะเข้ามาเป็นแก่นหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจทั้งจากฝั่งลูกค้าทั่วไป (B2C) และและ The 1 for Business สำหรับฝั่งธุรกิจ (B2B) ที่ต้องการมาลงทุนเปิดร้านในห้าง Central Pattana

กลยุทธ์ Central Pattana

โดยแพลตฟอร์มนี้จะสามารถเก็บข้อมูลจากทางฝั่งลูกค้าที่เป็น B2C จากการทำ Customer Loyalty Program และสามารถแปลงข้อมูลที่ให้กลายเป็น ข้อมูลเชิงลึก หรือที่เราเรียกกันว่า Insight ในขณะเดียว ทาง CPN ก็สามารถดึงข้อมูลจากร้านค้าที่เข้ามาเปิดร้านหรือสาขาภายในห้างสรรพสินค้าได้ ซึ่งอยู่ภายใต้ข้อตกลงและเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน และเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

กลยุทธ์ Central Pattana

มันนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Big Data ซึ่งจะกลายมาเป็นพลังที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

แน่นอนว่าการใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนธุรกิจ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการตลาด ซึ่งเราอาจจะคุ้นชินกับคำว่า การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หรือ Data-Driven Marketing ซึ่งจะช่วยให้เราออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

AI-Generated Image by Shutterstock (Prompt: Documentary Photography capturing the essence of data-driven marketing, showing professionals analyzing vast datasets, engaging visualizations in the background, conveying the power and potential of data)

ซึ่งเราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกค้าที่เป็น B2C ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ดังนี้

กลยุทธ์ Central Pattana

ด้วยตัว The 1 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บข้อมูลกลุ่มลูกค้าได้ตั้งแต่ตอนที่เราลงทะเบียน ที่เป็นข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ (Demographic) เช่น เพศ อายุ อีเมล เป็นต้น รวมไปถึงการเก็บข้อมูลด้านพฤติกรรมของลูกค้า (Behavior) เช่น ซื้ออะไร จำนวนเงินเท่าไหร่ ซื้อเวลาไหน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้วิเคราะห์ลักษณะหรือ Persona ของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้

กลยุทธ์ Central Pattana

หลังจากที่แบ่งกลุ่มเป้าหมายเสร็จแล้ว CPN ก็สามารถเลือกได้ว่ากลุ่มไหนคือลูกค้า และแต่ละกลุ่มที่เลือกจะนำเสนอสินค้าหรือบริการประเภทไหนจึงจะเหมาะสม ทำให้สามารถเข้าใจถึงลักษณะของกลุ่มลูกค้าได้อย่างละเอียด และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด

ด้วยตัว The 1 ที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าก็สามารถที่จะทำนาย (Forcast) สิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการนำข้อมูลเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย (Promotion) เพื่อเปลี่ยนสถานะจากผู้บริโภคให้กลายเป็นลูกค้าได้

จะเห็นเลยว่ามันไม่ได้ต่างจากทฤษฎีการตลาดที่มีมา แต่มันทำให้ทฤษฎีเหล่านั้นถูกใช้ได้อย่างมีงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็กน้อยว่า ทำไมองค์กรต่าง ๆ ถึงหันมาให้ความสำคัญในเรื่องของ Data มากยิ่งขึ้น ซึ่งผมมองว่า CPN เป็นตัวอย่างที่สามารถใช้ Data ในการขับเคลื่อนองค์กรและประยุกต์ใช้กับการตลาดได้อย่างดีเลยครับ

ในขณะที่ระดับ B2B ทาง CPN ก็สามารถที่จะใช้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้าในการดึงดูดร้านค้าหรือแบรนด์ต่าง ๆ ให้เข้ามาลงทุนในการเปิดร้านหรือสาขาในห้างสรรพสินค้าของตัวเองได้

โดยผมจะขอยกตัวอย่างกลยุทธ์ที่เกิดจากการใช้ Data ของ CPN ที่เราคนทั่วไปอาจจะคิดว่ามันทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ

ผมมองว่าส่วนนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสำคัญ เราจะเห็นว่า CPN มีหลากหลายสาขาแตกต่างกันไปตามแต่ละจังหวัด และการที่จะเลือกแบรนด์ให้มาเปิดสาขาหรือร้านในห้างเครือนั้นก็ต้องอาศัยการศึกษาตลาด หรือ Market Research ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญทั้งต่อ CPN และ แบรนด์ที่จะเข้ามาด้วย

ซึ่งผมมองว่าการที่ CPN มีข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ทำให้สามารถคาดการณ์ (Prediction) การตอบสนองของลูกค้าที่จะมีต่อแบรนด์ที่จะเข้ามาได้ อย่างล่าสุดที่ Central Udon Thani ได้มีการร่วมมือกับแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ชื่อดังระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง มูจิ (Muji) ในการขยายฐานลูกค้าในภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง

โดยนับเป็นสาขาที่ 37 ของประเทศไทย ความพิเศษของ MUJI สาขาเซ็นทรัล อุดร ถูกออกแบบด้วยพื้นที่ที่ใหญ่ถึง 2 ชั้น (Format Duplex Floor) สาขาแรกในต่างจังหวัด พื้นที่ขายรวมกว่า 1,600 ตารางเมตร ครบครันด้วยสินค้ามูจิคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น ในราคาย่อมเยา ครบทุกหมวดหมู่ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ในบ้าน และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน รวมกว่า 5,000 รายการ พร้อมโซน “ตลาดนัดมูจิ” (Community Market) สนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นได้เข้ามาขายสินค้าภายในร้านมูจิ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ซึ่งผมมองว่าทาง CPN ก็คงใช้ข้อมูลที่ได้ทั้งจากลูกค้าในแพลตฟอร์ม The 1 ทั้งจากระดับ B2B และ B2C ในการประเมินศักยภาพของกลุ่มลูกค้าภายในพื้นที่ ประกอบกับปัจจัยภายนอกที่จะมาส่งเสริม ทำให้กลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มาแรงเป็นอย่างมากในยุคนี้ ซึ่งทาง CPN ก็ไม่พลาดที่จะใช้ data ในการทำกลยุทธ์นี้ด้วยเช่นกัน จากการที่ CPN มีการเก็บข้อมูลจากลูกค้าผ่านแพลตฟอร์ม The 1 ทำให้สามารถปรับและเสนอสินค้าตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม

ทั้งในแง่ของ การนำเสนอสินค้าแต่ละประเภทได้ถูกกลุ่ม การนำเสนอข้อเสนอหรือโปรโมชั่นได้โดนใจ การนำเสนอสินค้าได้ถูกเวลา และเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับลูกค้าทั้ง Online และ Offline ด้วยสิ่งเหล่านี้ทำ CPN แทบจะสามารถอยู่ในทุกจุด Customer Jouney ของลูกค้าเลยทีเดียว

โดยภาพรวมผมมองว่า CPN ในเครือ Central Group สามารถใช้ Data ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และ เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจของตัวเองเป็นการยกระดับรูปแบบของห้างสรรพสินค้าให้กลายเป็นสิ่งที่มากกว่าแค่ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ซึ่งเราอาจเรียกว่าเป็น Data Transformation

สรุป

กลยุทธ์ Central Pattana แสดงให้เห็นถึงการใช้ Data ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคดิจิทัล โดยผ่านแพลตฟอร์มอย่าง The 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าและร้านค้าที่เข้ามาเปิดร้านในห้างของตนเอง และข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งในระดับ B2C และ B2B เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แน่นอนว่าด้วยความที่เป็นบริษัทใหญ่จึงมีทรัพยากรมากพอที่อาศัยหลักการ Data-Driven ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผมก็มองว่าธุรกิจที่อาจจะไม่ได้ใหญ่โต หรือแม้แต่เหล่า SME ก็สามารถนำหลักการนี้ไปใช้ได้ ให้มองในเรื่องใกล้ตัวว่า เราจะใช้ Data อะไรได้บ้าง ในงบประมาณแค่ไหน และใช้แล้วสิ่งที่เราจะได้คืออะไร ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีวิธีการในการนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจของตอนเองได้อย่างแน่นอน

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่

สวัสดีครับ ชื่อดิวนะครับ จะพยายามนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้เขียนบทความดี ๆ ให้กับทุกคนครับ *_*

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *