As the world changes, businesses must adapt from Sustain to Resilient from Superlab (1).png

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับจาก Sustain สู่ Resilient จาก Superlab

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าทางการตลาดวันละตอนได้เข้าไปเรียนในคลาสของทาง Superlab ในการเป็น Leadership ใน 21st Century โดยในบทความนี้จะขอเริ่มจากเรื่องที่เป็นผลกระทบของธุรกิจในทุกธุรกิจเลยก็ว่าได้ ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกที่ส่งผลไปยังทุกภาคส่วน ซึ่งพอพูดถึงเรื่องนี้สิ่งที่ได้ยินตามมาบ่อย ๆ คือ การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ Sustain แต่ผู้เขียนจะบอกว่าในตอนนี้การ Sustain อาจใช้ไม่ได้ดังนั้นเราจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ Resilient กันแทนค่ะ

ต้องบอกว่าพอถึงพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change หลายคนจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว หรือ อาจยังไม่ส่งผลกระทบต่อตัวเองขนาดนั้น แต่จริง ๆ แล้วหากเรามองดี ๆ Climate Change ไม่ได้ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในหลายภาคส่วนอีกด้วยค่ะ

ซึ่งในคลาสเราจะได้พบกับ ดร. การดี เลียวไพโรจน์ ซึ่งจะมาบรรยายให้เราฟังถึงความสำคัญและผลกระทบจาก Climate Change ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม รวมทั้งการนำ Generative AI เข้ามาช่วยในการแก้ไขตรงนี้ด้วยค่ะ

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับจาก Sustain สู่ Resilient จาก Superlab

โดย Climate Change ส่งผลให้มีเปลี่ยนแปลงมากมายกับโลกของเรา แต่เราจะเห็นได้ชัดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่จะส่งผลไปยังการผลิต และการส่งออก ซึ่งหากธุรกิจไม่มีแผนรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ อาจประสบกับการหยุดชะงักของการดำเนินงานและการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงได้ค่ะ

Climate Change บางครั้งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
แท้จริงแล้วมันคือการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของพวกเรา

Paul Polman อดีต CEO, Unilever

เราจะเห็นว่าจากข้อมูลในภาพ ตัวเลขในกราฟแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงหลัง โดยกราฟนี้แสดงถึงจำนวนภัยทางธรรมชาติที่ไม่รวมแผ่นดินไหวค่ะ

โดยในปี 2023 ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีภัยทางธรรมชาติที่ถูกบันทึกเกิดขึ้นมากถึง 378 ครั้ง โดยมี

  • น้ำท่วม (Flood) ถูกบันทึกไว้ 166 ครั้ง
  • สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme weather) 140 ครั้ง
  • ภัยแล้ง (Drought) 17 ครั้ง
  • อุณหภูมิสุดขั้ว (Extreme temperature) 10 ครั้ง

ตัวเลขนี้บอกให้เราเห็นถึงผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นทุกปีจาก Climate Change และยังเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญในการจัดการและปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตอีกด้วยค่ะ

อย่างที่บอกไปว่าหนึ่งในวิธีการจัดการกับภัยพิบัติเหล่านี้ คือ การนำ AI เข้ามาช่วยในการ Predict ว่าจะเกิดภัยพิบัติอะไรแล้วเราจะรับมือยังไงต่อดี ซึ่งการใช้ AI เข้ามาช่วยในเรื่องนี้นั้นก็มีมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2018 โดยมีการนำ AI เข้ามาใช้ในหลายด้าน

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับจาก Sustain สู่ Resilient จาก Superlab

โดยในปี 2018 มีการใช้ AI เพื่อการทำนายอุทกภัย หรือ เรื่องของน้ำท่วม (Flood Prediction) โดย Google ต่อมาในปี 2019 ทาง Google ก็ได้ขยายการใช้งาน AI เพื่อการขับขี่อย่างยั่งยืน (Sustainable Driving) ผ่านแอป Google Maps ค่ะ ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานและส่งเสริมการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั่นเอง

และนี่คือตัวอย่างของการนำ AI มาปรับใช้เพื่อจัดการกับภัยธรรมชาติ และการสร้างความยั่งยืนเพื่อลดการกระตุ้น Climate Change แล้วนำไปสู่การเกิดภัยธรรมชาติเหล่านี้ค่ะ ซึ่งในคลาสนี้นอกจาก ดร. การดี เลียวไพโรจน์ เรายังได้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการภัยพิบัติอย่าง ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ที่จะมาบรรยาในการ Predict ภัยพิบัติโดยเฉพาะในประเทศไทยของเรานั่นเองค่ะ

โดยเราจะได้ห็นถึงวิธีการคาดการณ์ หนึ่งในภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทยเราอย่างน้ำท่วม ตลอดจนถึงวิธีป้องกันแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดภัยเหล่านั้นขึ้นอย่างที่คนมักพูดว่าอีกหน่อยกรุงเทพจะจมอยู่ใต้น้ำ มันจริงมั้ย แล้วมีวิธีป้องกันอะไรรึเปล่า เพื่อจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับจาก Sustain สู่ Resilient จาก Superlab

อย่างนี้คือรูปตัวอย่างของปี 2023 และปี 2050 รวมทั้งปริมาณน้ำที่อาจเกิดขึ้นในภาคกลาง หากเราไม่ทำอะไรแล้วปล่อยให้เกิดอุทกภัยทุก ๆ ปี น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาก็อาจส่งผลกระทบให้ภาคกลางเกิดเหมือนในภาพนี้ค่ะ ถ้าใครอยากฟังรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ สนใจเรียน ก็สามารถรอติดตามคลาสจากทาง SuperLab ได้ค่ะ หรือจะเข้าไปที่ FutureTales LAB by MQDC เพื่อติดตามข่าวสารค่ะ

เราพูดถึงเรื่องผลกระทบไปแล้ว เรากลับมาสู่การป้องกัน หรือ แก้ไขที่สามารถทำได้กันดีกว่า อย่างที่บอกว่าในยุคที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากปัญหา Climate Change และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้ธุรกิจไม่สามารถพึ่งพาแนวคิด Sustain หรือ Sustainability ได้เพียงอย่างเดียวค่ะ

เพราะการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทำให้แนวทางในการรับมือกับปัญหาและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ธุรกิจจึงต้องมุ่งเน้นไปที่ Resilience หรือ Resilient ที่แสดงถึงความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวจากวิกฤตเพื่อความอยู่รอดแทนค่ะ โดยหัวข้อนี้จะถูกบรรยายโดย ดร.สิงห์ อินทรชูโต นั่นเองค่ะ

เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับจาก Sustain สู่ Resilient จาก Superlab

โดยความสามารถในการปรับตัวและฟื้นฟูจากปัญหา (Resilience) กลายเป็นแนวทางสำคัญในการจัดการกับความไม่แน่นอน คำว่า Resilience มาจากรากศัพท์ภาษาละติน “Resilio” ซึ่งหมายถึงการ “เด้งกลับ” หรือการกลับคืนสู่สภาพเดิมค่ะ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงการปรับตัวเท่านั้นนะคะ แต่รวมไปถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอีกด้วยค่ะ

ซึ่งแนวคิด Resilience นี้เองเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถฟื้นฟูตัวเองได้หลังจากเจอวิกฤต โดยความยืดหยุ่นนี้ไม่ได้หมายถึงการลดผลกระทบเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ การสร้างความสามารถในการปรับตัวนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ รวมทั้งในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความท้าทายนั่นเองค่ะ

โดยทางดร.สิงห์เองก็ได้ให้ Framework ที่เหล่าผู้บริหารยุคใหม่ รวมทั้งธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ได้ ออกมาเป็นเฟรมเวิร์คนี้ค่ะ

ซึ่งธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับตนเองได้ อย่างตัวอย่างคือ การตั้งโรงงานหรือ Community ในเขตธนบุรี โดยเฟรมเวิร์คถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้และส่งผลกระทบ

โดยเฟรมเวิร์คนี้จะช่วยให้สามารถวางแผนรับมือและฟื้นตัวจากปัญหาเหล่านี้ได้โดยการประเมินความเสี่ยงและเตรียมกลยุทธ์สำหรับการลดผลกระทบค่ะ ซึ่งในคลาสก็จะมีการแจกตัว Framework เพื่อให้ผู้บริหารนำไปใช้ต่อได้อีกด้วยค่ะ

ในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แค่การพัฒนาอย่างยั่งยืนอาจไม่เพียงพอ การวางแผนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับความท้าทายและความเสี่ยงในอนาคต กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ธุรกิจอยู่รอด การสร้าง Resilience ในธุรกิจจึงเป็นการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยปกป้องธุรกิจจากความไม่แน่นอนในอนาคต

นอกจากนี้ในคลาสยังมีคุณ อรรถพร จงรักศักดิ์ ที่จะบรรยากาศในเรื่องที่เราจะใช้ Generative AI เข้ามาช่วยในการสร้าง Resilience รวมทั้งการ Predict ภับพิบัติต่าง ๆ ได้ยังไงอีกด้วยค่ะ

และทั้งหมดนี้ก็คือ เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจต้องปรับจาก Sustain สู่ Resilient จาก Superlab นั่นเองค่ะ การเปลี่ยนผ่านจาก Sustain สู่ Resilient เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกปัจจุบัน ธุรกิจที่สามารถปรับตัวและสร้าง Resilience ได้จะมีโอกาสที่ดีกว่าในการฟื้นตัวจากวิกฤตและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคตค่ะ

ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator
Prompt : A business executive standing outdoors, looking out at multiple natural disasters approaching, including a flood, wildfire, landslide, and heavy smog from air pollution. The executive is holding a strategic plan, with a focused and determined expression, symbolizing resilience and leadership in confronting environmental crises.

ถ้าชอบ หรือ สนใจอยากอ่านบทความด้านการตลาดแบบนี้อีก ผู้เขียนฝากติดตามด้วยนะคะ หรือ ถ้าใครอยากให้ผู้เขียนนำมุมมองการตลาดแบบไหนมาเล่าให้ฟัง สามารถคอมเมนต์บอกกันได้เลยนะคะ 

สำหรับนักอ่านที่ชอบ และ อยากอ่านบทความเกี่ยวกับการตลาดเพิ่มเติม รวมถึงข่าวสารด้านการตลาดต่าง ๆ สามารถติดตามได้จาก เพจการตลาดวันละตอน รวมไปถึงเว็บไซต์ Twitter Instagram YouTube ของการตลาดวันละตอนได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะヽ(•‿•)ノ

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่

https://www.everydaymarketing.co/pr/sc-asset-business-strategy-2020-resilient/

มิวมิ้น เรียก มิ้น ก็ได้ ● ⋏ ● เป็น Marketing Content Creator & Data Research Insight ของการตลาดวันละตอน ٩(◕‿◕)۶ ทำงานด้าน Merchandiser / Digital Marketing / Ads optimizer / Data Research Insight ตั้งใจสรรสร้างทุกบทความ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์ และ ชอบนะคะ ʕっ•ᴥ•ʔっ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *