6 Insight LGBTQIA+

6 Insight LGBTQIA+ พามาดู Love Wins Marketing ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม จาก CMMU

ก่อนอื่นต้องบอกว่า พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมที่เริ่มบังคับใช้ในปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงจุดเปลี่ยนทางกฎหมายหรือชัยชนะด้านสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม LGBTQIA+ เท่านั้นนะครับ แต่มันยังส่งแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญด้วยครับ โดยเฉพาะในมิติการใช้ชีวิตคู่ การตัดสินใจบริโภค และการวางแผนอนาคตร่วมกันของกลุ่มเพศหลากหลายซึ่งมีอำนาจซื้อและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง บทความนี้พามาดูไปสำรวจ 6 Insight LGBTQIA+ จากงานวิจัย Love Wins Marketing โดย CMMU ที่ถอดรหัสพฤติกรรมผู้บริโภค LGBTQIA+ หลังสมรสเท่าเทียม ซึ่งไม่เพียงเปิดโลกใหม่ของการตลาด แต่ยังชี้ให้เห็นโอกาสทางธุรกิจที่แบรนด์ต้องรู้ หากอยากเป็นส่วนหนึ่งของความเท่าเทียมนี้อย่างแท้จริงครับ

(ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt :  a romantic LGBTQ+ couple standing side by side in a golden hour field, holding hands, wind gently blowing through their clothes, warm sunlight, soft cinematic focus, natural lens flare.)

ซึ่ง Insight ทั้งหมดมาจากงานวิจัย “Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม” ซึ่งสะท้อนมาจากกลุ่มตัวอย่าง LGBTQIA+ จำนวน 374 คน ซึ่งเก็บข้อมูลจากกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ในประเทศไทย โดยครอบคลุมทุกกลุ่มย่อยทางเพศใน LGBTQIA+ ครับ จากวิจัยของ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU ครับ

บอกเลยว่ากลุ่มตัวอย่างนี้ให้ภาพค่อนข้างลึก โดยเฉพาะในเชิงพฤติกรรมผู้บริโภค ทัศนคติต่อแบรนด์ และความต้องการเฉพาะที่สะท้อนถึง โอกาสทางธุรกิจใหม่อย่างแท้จริง

โรงแรมคือสถานที่จัดงานแต่งงานยอดนิยมอันดับ 1 ของกลุ่ม LGBTQIA+ ครับ โดยเฉพาะกลุ่ม Gay Gen Z ที่เลือกมากถึง 64.9% รองลงมาคือสถานที่จัดงานนอกเมือง 16.6% ซึ่งกลุ่ม Lesbian ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ 17.4% และอันดับ 3 คือสถานบันเทิง/ไนท์คลับ 9.9% ที่กลุ่ม Lesbian เลือกถึง 14.1%

ข้อมูลนี้สะท้อนว่าการเลือกสถานที่จัดงานแต่งของกลุ่ม LGBTQIA+ ไม่ได้มีแค่ความโรแมนติก แต่ยังแสดงออกถึงตัวตน ไลฟ์สไตล์ และค่านิยมที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มย่อยอย่างชัดเจน เป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจสถานที่จัดงานที่เข้าใจและตอบโจทย์รสนิยมแบบเฉพาะกลุ่มได้อย่างลึกซึ้งครับ

แค่งานแต่งอย่างเดียวก็ดันอุตสาหกรรม Wedding ให้กลับมาคึกคัก พร้อมดึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น สตูดิโอ โรงแรม การวางแผนแต่งงาน และแม้แต่ Legal Service เข้ามาอยู่ในโฟกัส

รสนิยมการเลือกที่พักสำหรับ Honeymoon ของกลุ่ม LGBTQIA+ โดยพบว่า Private Villa คือตัวเลือกอันดับ 1 ที่โดนใจมากที่สุดถึง 40.6% สะท้อนความต้องการในความเป็นส่วนตัว โรแมนติก และบรรยากาศที่เป็นกันเอง รองลงมาคือ Luxury Hotel ที่ครองใจ 31.3% สำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราและบริการระดับพรีเมียม ขณะที่กลุ่มที่เลือก Airbnb 16.4% และ Boutique Hotel 8.6% มักมองหาประสบการณ์เฉพาะตัวหรือดีไซน์ที่แตกต่าง

ส่วน Glamping/Resort ที่มี 3.1% แม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยแต่ก็บ่งชี้ถึงความนิยมในแนวธรรมชาติผสมความสะดวกสบาย Insight เหล่านี้ชี้ว่าการ Honeymoon ของกลุ่ม LGBTQIA+ ไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นการลงทุนกับประสบการณ์ชีวิตคู่ที่สะท้อนตัวตน ซึ่งธุรกิจท่องเที่ยวควรตอบโจทย์ด้วยความเข้าใจเฉพาะกลุ่มมากกว่ามองเพียงการขายแพ็กเกจทั่วไป

Insight ตรงนี้สะท้อนให้เห็นโอกาสของ Travel Tech ที่เฉพาะทาง เช่น LGBTQIA+ Honeymoon Package หรือ Concierge Trip Planner สำหรับคู่รักเพศเดียวกัน

3. Post-Wedding Plan อยู่ที่เดิมหรือเริ่มต้นใหม่? เมื่อบ้านกลายเป็นบทต่อไปของความรัก

6 Insight LGBTQIA+

บ้านคือหัวใจของการใช้ชีวิตคู่หลังการสมรสเท่าเทียม โดยเฉพาะในกลุ่ม LGBTQIA+ ที่มีถึง 54% วางแผนจะรีโนเวทบ้านหลังแต่งงาน ซึ่งกลุ่ม Lesbian เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด ขณะเดียวกัน 79.1% ของกลุ่มตัวอย่างเลือกที่จะอยู่ในบ้านเดิม และมีเพียง 20.9% ที่วางแผนจะย้ายไปอยู่กับคู่รัก

นอกจากนี้ยังพบว่างบประมาณเฉลี่ยในการรีโนเวทบ้านอยู่ที่ 300,000 – 500,000 บาท Insight นี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้ชีวิตคู่ สำหรับ LGBTQIA+ ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการหาที่อยู่ใหม่เสมอไป แต่เริ่มจากการปรับพื้นที่เดิมให้รองรับบทบาทใหม่ในชีวิต ซึ่งเปิดโอกาสให้ธุรกิจวัสดุตกแต่งภายใน ช่างรีโนเวท และเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นดีไซน์เฉพาะกลุ่มเข้ามาตอบโจทย์ตลาดนี้ได้อย่างลึกซึ้งครับ

ตลาดอสังหาฯ ที่เคยมองแค่คู่รักชายหญิง อาจต้องออกแบบ Communication ใหม่ เพื่อให้ LGBTQIA+ เห็นว่าที่นี่พร้อมต้อนรับและเข้าใจ

6 Insight LGBTQIA+

สะท้อนพฤติกรรมการเลือกแบรนด์ของกลุ่ม LGBTQIA+ โดยพบว่า 77% ให้ความสำคัญกับราคา และคุณภาพ เป็นหลักในการตัดสินใจซื้อ แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคืออีก 23% เลือกแบรนด์จากประสบการณ์ด้านบริการ ที่ได้รับโดยกลุ่ม Gay Gen Y จะให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า, Lesbian Gen Y มองภาพลักษณ์ ของแบรนด์มากกว่าคำรีวิว และ Others Gen Y ถึง 61% เป็นกลุ่ม Price-Sensitive ที่อ่อนไหวต่อราคาเป็นพิเศษ

ด้านบริการที่กลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการสูง ได้แก่ บริการให้คำปรึกษากฎหมาย, บริการวางแผนครอบครัวและการมีบุตร และ บริการจากคลินิกเฉพาะทางที่เข้าใจกลุ่มหลากหลายทางเพศ อินไซต์นี้ชี้ว่าแค่พูดถึง LGBTQ+ ไม่พอ แต่แบรนด์ต้องฟัง เข้าใจ และส่งมอบประสบการณ์จริงที่เคารพความหลากหลาย จึงจะสร้างความภักดีในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

สะท้อนพฤติกรรมด้านการเงินของกลุ่ม LGBTQIA+ ที่ให้ความสำคัญกับการวางแผนอนาคต ผ่านการทำประกัน โดยพบว่า 48.6% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายกับประกันภัยในช่วง 10,000 – 30,000 บาทต่อปี ประกันที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นที่ต้องการของ Gay Gen Y รองลงมาคือ ประกันชีวิตแบบระบุคู่

ซึ่งได้รับความสนใจจาก Lesbian Gen Y และ ประกันการเดินทาง ที่โดนใจ Gay Gen Z สอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่นมากขึ้นของคนรุ่นใหม่ ภาพนี้ชี้ให้เห็นว่าแบรนด์ในกลุ่มประกันไม่ควรมองกลุ่ม LGBTQIA+ แค่ในมุมสิทธิ์การคุ้มครองเท่านั้น แต่ควรออกแบบผลิตภัณฑ์และการสื่อสารที่ ยอมรับตัวตน และระบุคู่ได้จริง เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มได้อย่างแท้จริง

6 Insight LGBTQIA+

แผนการเงินของชาว LGBTQIA+ มีความหลากหลายตามบทบาทและเป้าหมายชีวิต โดยกลุ่ม Lesbian ให้ความสำคัญกับการวางแผนเพื่อที่อยู่อาศัยมากที่สุด โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน ซึ่งได้รับความสนใจสูงสุดในกลุ่ม Lesbian Gen Y ขณะที่ กลุ่ม Gay มุ่งวางแผนการเงินเพื่อยานพาหนะ โดยกลุ่ม Gay Gen Z สนใจ สินเชื่อส่วนบุคคลมากที่สุด ด้านกลุ่ม Others Gen Y วางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ และ 2.9% วางแผนเพื่อการศัลยกรรมแปลงเพศ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเฉพาะกลุ่มที่สะท้อนตัวตนอย่างลึกซึ้ง

นอกจากนี้ 86% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการสินเชื่อบ้านที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า 5% แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่ม Lesbian Gen Y และ Gay Gen Z กลับยอมรับดอกเบี้ยในช่วง 7.01–10% ได้ แสดงให้เห็นว่าความตั้งใจในการมีพื้นที่ชีวิตคู่ มีมากพอจะแลกกับภาระทางการเงินสูงขึ้นได้ หากได้บ้านในฝันหรือเงื่อนไขที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง

ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าหลัง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมเริ่มบังคับใช้ กลุ่ม LGBTQIA+ ไม่ได้เป็นแค่กลุ่มเป้าหมายใหม่ของการตลาด แต่คือ กลุ่มผู้บริโภคที่มีรูปแบบชีวิตคู่เฉพาะทาง ที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมจำนวนมาก ตั้งแต่ธุรกิจ Wedding โรงแรม ที่พัก ท่องเที่ยว การตกแต่งบ้าน การเงิน ประกัน ไปจนถึงบริการสุขภาพและกฎหมาย Insight จากกลุ่มตัวอย่าง 374 คนที่ครอบคลุมทุกกลุ่มย่อยทางเพศใน Gen Y และ Gen Z

ชี้ให้เห็นพฤติกรรมที่ลึกและชัดเจน เช่น การเลือกสถานที่แต่งงานที่สะท้อนตัวตนมากกว่าขนบเดิม, ความต้องการที่พักฮันนีมูนที่เน้นความเป็นส่วนตัวและดีไซน์เฉพาะ, การรีโนเวทบ้านเพื่อเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิตคู่, การเลือกแบรนด์จากคุณภาพ ราคา และภาพลักษณ์มากกว่าคำพูดเชิง Diversity, การทำประกันที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ และการวางแผนทางการเงินที่ยอมรับภาระสูงขึ้นเพื่อแลกกับความเท่าเทียมในชีวิตจริง สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณว่าแบรนด์ที่เข้าใจและพร้อมสนับสนุน LGBTQIA+ ตั้งแต่ระดับผลิตภัณฑ์ การบริการ ไปจนถึงวิธีสื่อสาร จะเป็นแบรนด์ที่สร้าง Loyalty ได้ยืนยาวในยุคที่ผู้บริโภคไม่ได้มองหาแค่สิ่งที่ ใช่แต่คือสิ่งที่ เข้าใจและยอมรับตัวตนเขาจริง ๆ ครับ

บทความที่แนะนำให้อ่าน

ชื่อเติ้ลครับ เป็น Senior Data Insight Researcher & Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอนครับ ^^ มีงานอดิเรกเป็น ผู้ช่วยนักวิจัยฝั่ง Consumer Insights ที่คณะวิทยาศาตร์การกีฬา ที่จุฬาครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *