เคยไหมครับ ที่รู้สึกว่าเราเสียงบการตลาดไปกับโฆษณาที่ไม่แน่ใจว่ามีคนเห็นจริง ๆ หรือเปล่า? หรือกังวลว่าแบรนด์ของเราจะไปโผล่อยู่ข้าง ๆ คอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ตั้งใจ วันนี้ผมมีเลยอยากจะมาแชร์ ข้อมูลที่จะมาช่วยไขข้อข้องใจเหล่านี้ จาก “Global Insights Report 2025” โดย DoubleVerify (DV) ที่ช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมและบริบทที่เกี่ยวข้องกับ Digital Advertising ครับ
โดยบทความนี้จะพาไปเจาะลึก 4 ประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณา เราจะมาดูกันว่าแต่ละเรื่องคืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และสถานการณ์ล่าสุดในบ้านเราเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกคนสามารถวางกลยุทธ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันครับ
1. Viewability ด่านแรกที่ต้องผ่าน โฆษณาต้อง ‘ถูกเห็น’ ก่อน
ก่อนที่โฆษณาของเราจะสร้างการรับรู้หรือยอดขายได้ สเต็ปแรกสุดที่สำคัญเลยก็คือ มันต้อง “ถูกมองเห็น” ก่อนครับ ในทางเทคนิคแล้ว “Viewability” คือตัวชี้วัดว่าโฆษณาของเราได้โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอของผู้ใช้จริง ๆ หรือเปล่า
ลองนึกภาพโฆษณาที่ไปซ่อนอยู่ท้ายเว็บแบบที่ไม่มีใครเลื่อนไปถึง แบบนั้นก็เท่ากับเราโยนเงินทิ้งไปเปล่า ๆ ใช่ไหมครับ ดังนั้น ยิ่ง Viewability สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการการันตีว่าโฆษณาของเรามีโอกาสที่จะถูกมองเห็นโดยผู้บริโภคจริง ๆ
ซึ่งสำหรับประเทศไทยครับ ในรีพอร์ทบอกว่าว่าเรามี อัตราการมองเห็นโฆษณา (Viewability Rate) สูงถึง 76% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 5% และสูงเป็นอันดับ 3 ในเอเชียแปซิฟิกเลยทีเดียว ตัวเลขนี้แปลว่า โดยเฉลี่ยแล้วโฆษณาในไทยมีโอกาสถูกเห็นจริง ๆ ถึง 76 ครั้งจากการแสดงผล 100 ครั้ง สะท้อนว่าแพลตฟอร์มและพฤติกรรมคนไทยค่อนข้างมีคุณภาพและเอื้อให้โฆษณาไปถึงสายตาผู้บริโภคได้ดีมากนั่นเองครับ
2. Brand Suitability เกราะป้องกันชื่อเสียงในโลกออนไลน์
หัวข้อนี้คือการควบคุมว่าโฆษณาของเราควรจะไปปรากฏอยู่ข้างเนื้อหาแบบไหนครับ มันคือ “เกราะป้องกัน” ไม่ให้แบรนด์ของเราต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวดราม่าหรือคอนเทนต์เชิงลบ เช่น ข่าวปลอม หรือประเด็นอ่อนไหวต่าง ๆ เพราะการที่โฆษณาไปโผล่ผิดที่ผิดทางอาจสร้างความเสียหายให้แบรนด์ที่อุตส่าห์สร้างมานานได้เลยครับ
และนี่คือประเด็นที่น่ากังวลที่สุดสำหรับบ้านเราครับ เพราะว่า อัตราการละเมิดความเหมาะสมของแบรนด์ (Violation Rate) ในไทยพุ่งขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.1%
ซึ่งหมายความว่า ในการแสดงผลโฆษณาทุก ๆ 100 ครั้ง จะมีประมาณ 8 ครั้งที่โฆษณษาจะไปอยู่ในบริบทที่เสี่ยงต่อภาพลักษณ์แบรนด์ และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ผู้บริโภคเกือบครึ่งหนึ่งพร้อมจะเลิกซื้อสินค้าจากแบรนด์ ถ้ารู้ว่าโฆษณานั้นไปอยู่ข้าง ๆ คอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสมครับ
3. Attention เมื่อแค่ ‘การมองเห็น’ อาจไม่พอ
ในยุคที่คอนเทนต์เต็มหน้าฟีดไปหมด การที่โฆษณาแค่ “ถูกเห็น” อาจไม่เพียงพออีกต่อไปครับ แนวคิดเรื่อง “Attention” หรือ “ความสนใจ” จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ มันคือตัวชี้วัดที่ลึกลงไปอีกขั้น โดยจะวิเคราะห์ว่าคนดู “มีพฤติกรรม” กับโฆษณาเราจริงๆ ไหม เช่น หยุดดูนานแค่ไหน หรือมีการกดโต้ตอบอะไรหรือเปล่า ถ้าค่านี้สูงก็แปลว่าคนดูไม่ได้แค่เห็นผ่าน ๆ แต่หยุดดูและมีส่วนร่วมด้วยจริง ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมากที่จะนำไปสู่การจดจำแบรนด์ได้
และนี่ก็คืออีกหนึ่งโอกาสทองของแบรนด์ไทยเลยครับ เพราะประเทศไทยมี ค่าดัชนีความสนใจ (Attention Index) อยู่ที่ 115 เทียบกับค่ามาตรฐานโลกที่ 100 นั่นหมายความว่า ระดับความสนใจต่อโฆษณาของคนไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 15% ชี้ชัดว่าผู้บริโภคบ้านเราพร้อมที่จะมีส่วนร่วมกับโฆษณามากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
4. Fraud/SIVT ภัยเงียบที่คอยกัดกินงบ
“Fraud” ในวงการโฆษณาหมายถึงยอดวิวหรือยอดคลิกที่ไม่ได้มาจาก “คนจริง ๆ” แต่มาจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่า “บอท” (Bot) ที่ถูกสร้างมาปั่นตัวเลขโดยเฉพาะก็เหมือนกับที่เราต้องจ่ายให้กับยอดวิวปลอม ๆ ที่ไม่มีวันจะสร้างยอดขายให้เราได้เลย ดังนั้น การมีอัตรา Fraud ต่ำจึงแปลว่าเราใช้งบได้คุ้มค่านั่นเองครับ
AI-Generated by Shutterstock (Prompt: A minimal 3D render of a smartphone on a clean surface, with a glowing screen displaying exaggerated ad view and click numbers (e.g., “999K views”). In the background or reflected on the screen, robotic hands or faceless humanoid bots are subtly reaching toward it. Soft lighting, neutral background (white, gray, or beige), high realism with slight surreal tone. Convey digital fraud through concept — fake interactions from bots, not real users.)
เรื่องนี้ประเทศไทยเรามี อัตราการฉ้อโกงและทราฟฟิกปลอม (Fraud & SIVT Rate) ต่ำเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาค อยู่ที่เพียง 0.4% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ในไทยจะดี แต่ภาพรวมระดับโลกเตือนว่าการฉ้อโกงจากบอทกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบนแอปมือถือ
แล้วเราควรปรับตัวอย่างไร? แนวทางการทำ Digital Advertising สำหรับปี 2025-2026
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ เราสามารถสรุปเป็นแนวทางง่าย ๆ และสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันทีครับ
เปลี่ยนเป้าหมายจาก “แค่เห็น” สู่ “การปรากฏตัวอย่างมีคุณภาพ” อย่าดีใจแค่ตัวเลข Viewability ที่สูง แต่ต้องมั่นใจว่าโฆษณาไปโผล่ในที่ที่ปลอดภัยและส่งเสริมแบรนด์ด้วย การลงทุนในเทคโนโลยีคัดกรองจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ใช้ประโยชน์จาก “ความสนใจ” ของคนไทยให้เต็มที่ เมื่อรู้ว่าคนไทยพร้อมจะสนใจ ก็ต้องเจาะลึกต่อว่าโฆษณาแบบไหนที่ดึงดูดพวกเขาได้ดีที่สุด เช่น วิดีโอสั้นอย่าง Reels หรือคอนเทนต์บนฟีด แล้วจัดสรรงบไปตรงนั้น
อย่าประมาทเรื่องการฉ้อโกง แม้ตัวเลขในไทยจะต่ำ แต่ควรมีระบบป้องกันเหมือนเป็น “วัคซีน” ให้กับแคมเปญอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุกบาทของเราถูกใช้ไปกับ “คนจริง ๆ”
สรุป
ผมมองว่า Digital Advertising Thailand ในปี 2025 เป็นเหมือนดินแดนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายครับ เรามีข้อได้เปรียบเรื่องการมองเห็นและความสนใจที่สูงมาก แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องความเหมาะสมของแบรนด์ที่ต้องระวัง
ดังนั้น หัวใจสำคัญของความสำเร็จในวันนี้ไม่ได้อยู่ที่การเข้าถึงคนให้เยอะที่สุด แต่อยู่ที่การสร้าง “การเข้าถึงอย่างมีคุณภาพ” คือทำให้แบรนด์ถูกเห็นโดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ ในบริบทที่ถูกต้อง และในรูปแบบที่ดึงดูดความสนใจได้จริง การสร้างสมดุลระหว่างการคว้าโอกาสและบริหารความเสี่ยงนี่แหละครับ คือกุญแจที่จะพาแบรนด์ไปสู่ชัยชนะในสนามรบดิจิทัลที่ดุเดือดนี้
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่