ถอดรหัส Segmentation Marketing จาก กลยุทธ์ Shabushi พร้อมเสิร์ฟให้ “ตรงใจ” ลูกค้ามากกว่าเดิม

ในตลาดชาบูและซูชิที่มีการแข่งดุเดือดและเต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย แบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานานอย่าง Shabushi (ชาบูชิ) จะทำยังไงให้สามารถกลายเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคได้? วันนี้ผมอยากจะพาทุกคนมาถอดรหัส กลยุทธ์ Shabushi ที่กำลังเดินหน้าพัฒนาและยกระดับคุณภาพ ด้วยการปรับตัวครั้งใหญ่ภายใต้แนวคิด “Good Taste Great Time Never End” หรือ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” 

หัวใจ กลยุทธ์ Shabushi ใช้ Segmentation Marketing แบ่งตลาดด้วย Location-Based Behavior

หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ที่ชาบูชินำมาใช้ในปีนี้ก็คือ Segmentation Marketing หรือการตลาดแบบแยกกลุ่มลูกค้า อย่างชัดเจนครับ ต้องบอกก่อนเลยว่า การจะสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าประทับใจในยุคนี้ด้วยการใช้กลยุทธ์แบบ One size fits all หรือการหว่านแหอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

AI-Generated by Shutterstock (Prompt: Cute isometric 3D image of a realistic 3D aerial top-down view illustrating segmentation marketing through two contrasting retail zones. on the left, a luxurious department store with modern architecture, glass facade, premium lighting, and elegant layout — symbolizing high-end customer segment. on the right, a large hypermarket with wide parking area, bright signage, shopping carts, and many people — representing mass-market segment. the image should be split in half, clean white background, educational marketing infographic style. emphasize contrast in design, atmosphere, and scale to reflect market segmentation. high resolution, photorealistic, studio lighting, professional composition.)

สิ่งที่ชาบูชิทำคือการมุ่งทำความเข้าใจความแตกต่างของลูกค้า โดยใช้เกณฑ์ที่น่าสนใจมากนั่นคือ Location-Based Behavior หรือ พฤติกรรมและทำเลที่ตั้งเป็นตัวแบ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือ ชาบูชิรู้ว่า ลูกค้าที่เดินเข้าสาขาในห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียม กับลูกค้าที่เดินเข้าสาขาในไฮเปอร์มาร์เก็ต มีความต้องการ พฤติกรรม และความคาดหวังที่ต่างกัน 

ซึ่งทำให้แบรนด์วิเคราะห์และแบ่งตลาดของตนออกเป็นสองกลุ่มหลักที่มีความต้องการแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ สาขาใน “ห้างสรรพสินค้า” (Department Store) และสาขาใน “ไฮเปอร์มาร์เก็ต” (Hypermarket) โดยแต่ละเซกเมนต์จะได้รับการพัฒนาให้มีจุดขายและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างประสบการณ์ที่ “ใช่” สำหรับลูกค้าที่ “ใช่” ใน “สถานที่ที่ใช่” ครับ

เจาะเป้าหมายที่แตกต่าง จาก Segment สู่ Target ที่ใช่และบริการที่ตอบโจทย์

เมื่อแบ่งตลาดออกเป็นสองส่วนชัดเจนแล้ว เรามาดูกันครับว่าชาบูชิออกแบบกลยุทธ์การเจาะกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) ที่แตกต่างอย่างไรกันบ้าง

กลุ่ม 1 => สาขาในห้างสรรพสินค้า เน้นขายประสบการณ์เหนือระดับ (Lifestyle & Experience)

สำหรับกลุ่มเป้าหมายแรก คือลูกค้าที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าครับ Shabushi ชิวิเคราะห์ว่าพื้นที่เหล่านี้คือที่ที่ผู้บริโภคไม่ได้มาเพื่อ “กินให้อิ่ม” เท่านั้น แต่มองหา “ประสบการณ์เชิงไลฟ์สไตล์” พวกเขาคาดหวังบรรยากาศที่ดี การบริการที่น่าประทับใจ และคุณภาพของอาหารที่พรีเมียม และเพื่อตอบโจทย์นี้ ชาบูชิได้พัฒนาและเปิดตัว “ร้านดีไซน์ใหม่” ที่ยกระดับประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นในมิติที่เหนือกว่าเดิม ทั้งด้านอาหาร บริการ และที่สำคัญคือ “บรรยากาศ”

กลยุทธ์ Shabushi

ไฮไลต์เด็ดที่ถูกเพิ่มเข้ามาคือ “Sushi-Master Station” ครับ นี่คือครัวเปิดที่ให้ลูกค้าได้ยืนดูและเพลิดเพลินกับทุกขั้นตอนของการสร้างสรรค์ซูชิอย่างสดใหม่แบบคำต่อคำ ลองนึกภาพตามนะครับว่าการได้เห็นเชฟปั้นซูชิให้เราเดี๋ยวนั้น มันช่วยสร้างทั้งความมั่นใจในคุณภาพ ความสดใหม่ และยังสร้างความประทับใจในมื้ออาหารนั้น ๆ ได้อีกด้วย

กลยุทธ์ Shabushi

แน่นอนว่าในด้านบริการ Shabushi ยังคงนำเสนอทางเลือกบุฟเฟต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้อย่างครอบคลุม โดยมี 3 ระดับราคาที่ชัดเจน ได้แก่ “Regular Buffet” (สุขอิ่ม) 399 บาท+/ท่าน, “Premium Buffet” (สุขคุ้ม) 499 บาท+/ท่าน, และ “Platinum Buffet” (สุขล้น) 599 บาท+/ท่าน นี่คือการสื่อสารที่ชัดเจนว่า หากคุณต้องการประสบการณ์ที่เหนือกว่า ผู้บริโภคก็มีทางเลือกที่จะจ่ายเพื่อความพรีเมียมนั้นได้

กลุ่ม 2 => สาขาในไฮเปอร์มาร์เก็ต ชู “ความคุ้มค่า” ที่เลือกได้ (Worth & Convenience)

ทีนี้มาดูอีกกลุ่มกันบ้างครับ นั่นก็คือกลุ่มเป้าหมายใน “ไฮเปอร์มาร์เก็ต” Shabushi วิเคราะห์แล้วพบว่า ลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” และ “ความสะดวกสบาย” เป็นหลัก พวกเขาอาจจะมาเพื่อทานมื้อด่วน มื้อที่เน้นความประหยัด หรือมากับครอบครัวหลังจากจ่ายตลาด

กลยุทธ์ที่นี่จึงไม่ได้เน้นความหรูหรา แต่หันมามุ่งตอบสนองด้าน “ราคา” และ “ความยืดหยุ่น” ในการบริโภคแทน ชาบูชิจึงได้เปิดตัวบุฟเฟต์ใหม่ชอย่าง “ซูเปอร์คุ้ม” ในราคาเพียง 259 บาท+ (บุฟเฟต์หมูหมู) ซึ่งในราคานี้ ลูกค้ายังคงได้ฟินคุ้มกับเมนูชาบู เนื้อหมู เนื้อไก่ ลูกชิ้น และผักสด พร้อมอาหารทานเล่น ไอศกรีม และเครื่องดื่ม รวมกว่า 50 เมนู

กลยุทธ์ Shabushi

ยังไม่จบแค่นั้นครับ เแบรนด์รู้ดีว่าแม้จะมาไฮเปอร์มาร์เก็ต แต่บางคนก็อาจจะอยากกินอะไรที่พิเศษขึ้นมาหน่อย ชาบูชิจึงเพิ่มทางเลือกอัปเกรด “คุ้มพลัส” เพียงจ่ายเพิ่ม 39 บาท+ เท่านั้น ก็สามารถเพิ่มความอร่อยด้วย 9 เมนูสุดฮิต ทั้งกุ้งสด เนื้อฮารามิ และซีฟู้ดได้

กลยุทธ์นี้มันคือการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถ “เลือก” ความคุ้มค่าตามงบประมาณของตัวเองได้อย่างอิสระ และในขณะเดียวกัน ชาบูชิก็ไม่ได้ทิ้งลูกค้่ากลุ่มเดิมครับ เขายังคงให้บริการบุฟเฟต์ “สุขอิ่ม” 399 บาท+ ไว้เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าประจำที่ต้องการประสบการณ์เต็มรูปแบบเช่นเดิมด้วย นี่คือการสร้าง “ทางเลือก” ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจริง ๆ

สรุป ถอดรหัส Segmentation Marketing จาก กลยุทธ์ Shabushi พร้อมเสิร์ฟให้ “ตรงใจ” ลูกค้ามากกว่าเดิม

เป็นยังไงกันบ้างครับกับ Segmentation Marketing จาก กลยุทธ์ Shabushi ทั้งหมดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของแบรนด์ในการทำความเข้าใจลูกค้าแบบ “Insight-Driven” ได้เป็นอย่างดีเลยครับ แบรนด์ไม่ได้มองลูกค้าทุกคนเป็นก้อนเดียวกัน แต่ใช้การปรับกลยุทธ์เชิงพื้นที่ หรือ Location-Based เพื่อสร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่าง “ประสบการณ์ที่เหนือกว่า” สำหรับกลุ่มที่มองหาไลฟ์สไตล์ และ “คุณค่าที่จับต้องได้” สำหรับกลุ่มที่มองหาความคุ้มค่า

ผมมองว่านี่คือการเดินเกมที่ชาญฉลาดมากครับ Shabushi กำลังก้าวข้ามการเป็นแค่ “ร้านชาบู” ไปสู่การเป็น “ผู้มอบประสบการณ์” ที่ปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์ และขยายฐานลูกค้าได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ที่สำคัญที่สุด คือการตอกย้ำสู่การเป็น “Top of Mind Brand” ที่ผู้บริโภคจะนึกถึงเป็นชื่อแรก ๆ เมื่อพูดถึงชาบูและซูชินั่นเองครับ

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่

Marketing Content Creator and Data Insight Researcher

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *