วิเคราะห์ภาพรวมของธุรกิจง่าย ๆ ด้วย Business Model Canvas
บทความนี้ผมจะจะพาทุก ๆ คนมาทำความรู้จักและเข้าใจเครื่องมือที่มีชื่อว่า Business Model Canvas หรือ BMC เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของธุรกิจ สามารถใช้ได้ทั้งกรณีที่ใช้ในการวิเคราะห์ธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในแต่ละองค์ประกอบ และอีกกรณีใช้เมื่อต้องการเริ่มต้นธุรกิจเพื่อให้เห็นและเข้าใจภาพรวมที่จะต้องทำก่อนที่จะเจาะลงไปในรายละเอียดแต่ละขั้นตอน ผมจึงมองว่าการรู้จักและเข้าใจ BMC จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการทุกคนครับ
Business Model Canvas
#1 Value Proposition – จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
Value Proposition คุณค่าหลักที่เรามอบให้แก่ลูกค้า ซึ่งสามารถเป็นไปได้ทั้งสินค้าและบริการครับ สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ให้ได้ว่า Value Proposition ของเราคืออะไร เป็นสิ่งที่แก้ปัญหาให้แก่ลูกค้าจริง ๆ หรือไม่ สามารถเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าเลือกเราได้หรือเปล่า
สำหรับผมแล้ว Value Proposition ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกใน BMC เลยล่ะครับ เพราะถ้าผลิตภัณฑ์ดี อะไร ๆ ก็จะง่ายขึ้นอย่างแน่นอน
หรือถ้าหากเป็นธุรกิจที่ยังไม่เริ่มต้น เราจะกำหนด Value Proposition ยังไงดี ผมมีคำถามง่าย ๆ เบื้องต้น สำหรับการกำหนด Value Proposition มาฝากทุกคนกันครับ
- ปัญหาอะไรที่เรากำลังแก้ไข?
- ทำไมใครบางคนถึงต้องการให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไข?
- อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังสำหรับปัญหานี้?
คำถามเหล่านี้จะช่วยไกด์ให้เราสามารถกำหนด Value Proposition ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นครับ
#2 Customer Segments – กลุ่มลูกค้า
Customer Segment กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคือใคร ใครคือผู้ที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา จริง ๆ Customer Segment ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ เป็นการแบ่งฐานลูกค้าออกเป็นกลุ่มที่มีความคล้ายคลึงกันในบางแง่มุม เช่น อายุ เพศ ความสนใจ และพฤติกรรมการใช้จ่ายครับ
สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ให้ได้ว่าในธุรกิจของเรามี Customer Segment กี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มเป็นยังไง มีพฤติกรรมแบบไหน เพื่อที่จะสามารถตอบสนองได้อย่างตรงจุดครับ
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อกำหนด Customer Segments:
- เรากำลังแก้ไขปัญหาให้ใคร?
- ใครคือคนที่เห็นคุณค่าของข้อเสนอคุณค่าของเรา?
- ลูกค้าของเราเป็นธุรกิจหรือไม่?
- ถ้าใช่ ลักษณะของธุรกิจเหล่านั้นคืออะไร?
- หรือว่าลูกค้าของเราเป็นผู้บริโภคทั่วไป?
- ผลิตภัณฑ์ของเราดึงดูดผู้ชาย/ผู้หญิง หรือทั้งสอง?
- ผลิตภัณฑ์ของเราดึงดูดวัยทำงาน หรือวัยรุ่น?
- อะไรคือลักษณะของบุคคลที่กำลังมองหา Value Proposition ของเรา?
อีกสิ่งหนึ่งที่เราจำเป็นต้องวัดและทำความเข้าใจคือ Market Size ใหญ่ขนาดไหน และมีคนจำนวนเท่าใดใน Customer Segments ที่เรากำหนด อีกจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจลูกค้าคือการสร้าง Customer Personas สำหรับแต่ละ Customer Segment ครับ ซึ่งจะสามารถช่วยให้เรามองลูกค้าเป็นคน และเห็นภาพมากยิ่งขึ้น
#3 Customer Relationships – การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เป็นความจริงของธุรกิจที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นทุนการรักษาลูกค้าเก่ามักจะต่ำกว่าต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ เพราะฉะนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับวิธีการที่ธุรกิจจะสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าว่าเป็นแบบไหน เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร
กิจกรรม หรือวิธีการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอาจจะเน้นไปที่ช่องทางออนไลน์สัก 90% อีก 10% เป็นกิจกรรมออนไซต์ เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งต้องย้อนกลับไปที่ Customer Segments ว่าคือใคร มีพฤติกรรมแบบไหนมีแนวโน้มจะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สำหรับผมคิดว่าหากเข้าใจ 2 สิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะพฤติกรรมของลูกค้าจะสามารถทำ Customer Relationships ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ
#4 Channels – ช่องทาง
หมายถึงช่องทางหลักที่ธุรกิจจะสื่อสารและขายผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า ซึ่งสามารถเป็นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ สำหรับช่องทางก็ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ ผลิตภัณฑ์ของเราคืออะไร ลูกค้าของเราเป็นใคร เหมาะกับการใช้ช่องทางไหนเป็นหลัก และใช้ช่องทางไหนเป็นส่วนเสริม
ยกตัวอย่างเช่น หากเราเปิดร้านอาหาร เราจะเน้นเป็นแบบนั่งทานที่ร้านหรือสั่งกลับบ้าน ถ้านั่งทานที่ร้านอาจจะเน้นออนไซต์เยอะหน่อย และออนไลยน์เป็นส่วนเสริม ถ้าเป็นแบบสั่งกลับบ้าน อาจจะใช้ออนไลน์แบบ 100% เลย
#5 Key Activities – กิจกรรมหลัก
กิจกรรมหลักสำคัญที่ธุรกิจต้องทำเพื่อสร้างและส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้า โดยแบ่งเป็นทั้งหน้าร้าน และหลังร้าน โดย กิจกรรมหน้าร้าน หมายถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับลูกค้า ในขณะที่ กิจกรรมหลังร้าน เป็นกิจกรรมที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ปรากฏต่อสายตาลูกค้าโดยตรง ยกตัวอย่างธุรกิจร้านอาหาร
กิจกรรมหลักหน้าร้าน
- การขายสินค้า: การขายเป็นกระบวนการหลักที่เกิดขึ้นหน้าร้าน ซึ่งรวมถึงการรับออเดอร์ การจ่ายเงิน และการส่งมอบสินค้า/บริการแก่ลูกค้า
- การบริการลูกค้า: การต้อนรับและดูแลลูกค้า ตั้งแต่การทักทาย การตอบคำถาม การให้คำแนะนำ ไปจนถึงการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
- การดำเนินการผลิต: สำหรับธุรกิจร้านอาหาร อาจเป็นการทำอาหาร การจัดเตรียมเครื่องดื่ม หรือการจัดจานเพื่อให้พร้อมสำหรับเสิร์ฟ
- การรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบ: การรักษาสถานที่ให้สะอาดและเป็นระเบียบเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับลูกค้า
กิจกรรมหลักหลังร้าน
- การตลาดและการประชาสัมพันธ์: การสร้างแคมเปญการตลาดโปรโมทธุรกิจผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และอีเมล
- การบริหารจัดการ: การสั่งซื้อวัตถุดิบ การจัดการสินค้าคงคลัง และการติดต่อกับซัพพลายเออร์เพื่อให้มั่นใจว่ามีวัตถุดิบเพียงพอ
- การวางแผนและการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่: สำหรับร้านอาหาร อาจเป็นการสร้างเมนูใหม่ การปรับปรุงสูตรอาหาร หรือการทดสอบรสชาติ
- การบริหารจัดการบุคลากร: การจ้างงาน การฝึกอบรม และการดูแลพนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานมีทักษะและความรู้ที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน
- การจัดการการเงินและการบัญชี: การติดตามรายได้และค่าใช้จ่าย การบริหารเงินสด และการจัดทำบัญชีเพื่อการรายงานและการวิเคราะห์
สิ่งสำคัญคือเมื่อระบุกิจกรรมหลักของธุรกิจแล้วต้องวิเคราะห์ต่อว่ามีกิจกรรมใดที่ยังขาดไป หรือยังทำได้ไม่ดีพอ และมีกิจกรรมใดที่ไม่จำเป็นอาจจะพิจารณาตัดทิ้ง จะทำให้ธุรกิจของเราเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
#6 Key Resources – ทรัพยากรสำคัญ
Key Resources เป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องมีหรือใช้เพื่อสร้างและส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้า เช่น ทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยี สิทธิ์ในการผลิต เราควรพิจารณาว่าทรัพยากรที่เป็นรูปธรรมอะไรบ้างที่จำเป็นในการดำเนินกิจกรรมสำคัญของธุรกิจ ทรัพยากรเหล่านี้คือสิ่งที่จำเป็นในเชิงปฏิบัติเพื่อดำเนินการธุรกิจของเราครับ
ตัวอย่างทรัพยากรสำคัญ:
- พื้นที่สำนักงาน
- คอมพิวเตอร์
- พนักงาน
- รถยนต์
- เตาอบ
การระบุทรัพยากรสำคัญที่ธุรกิจของเราต้องการจะช่วยให้เราเข้าใจว่าธุรกิจของเรามีความต้องการในด้านต่าง ๆ อย่างไร และเป็นขั้นตอนสำคัญในการวางแผนการดำเนินงาน
#7 Key Partners – พันธมิตรหลัก
Key Partners หมายถึงบุคคลหรือองค์กรที่ธุรกิจต้องร่วมมือกับเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจครับ โดยความร่วมมือเหล่านี้สามารถเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ซัพพลายเออร์ หรือหุ้นส่วนอื่น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจและการเติบโต
โดยสามารถแบ่งความร่วมมือเป็นสองส่วน คือ พันธมิตรที่มีความสำคัญโดยตรงกับการสร้างและส่งมอบคุณค่า และพันธมิตรที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจโดยรวม ยกตัวอย่างในธุรกิจร้านอาหาร
พันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและส่งมอบผลิตภัณฑ์
- ซัพพลายเออร์: สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ซัพพลายเออร์อาจเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบ เช่น ผักสด เนื้อสัตว์ หรือเครื่องดื่ม การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพและมีปริมาณเพียงพอ
- พันธมิตรด้านการจัดส่ง: หากธุรกิจใช้บริการจัดส่งสินค้า การทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านการจัดส่ง เช่น บริษัทขนส่ง หรือแพลตฟอร์มจัดส่งอาหาร ช่วยให้สามารถส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พันธมิตรด้านเทคโนโลยี: ธุรกิจร้านอาหารอาจต้องการแพลตฟอร์ม POS (Point of Sale) หรือระบบการจัดการร้านอาหาร การทำงานกับพันธมิตรที่ให้บริการเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้การดำเนินงานราบรื่น
พันธมิตรที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจโดยรวม
- ที่ปรึกษาทางธุรกิจ: การร่วมมือกับที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น การตลาด การเงิน หรือการบริหารธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พันธมิตรทางกฎหมายและการเงิน: ความร่วมมือกับทนายความหรือที่ปรึกษาทางกฎหมายช่วยให้ธุรกิจดำเนินการตามกฎหมายและข้อบังคับได้อย่างถูกต้อง ส่วนที่ปรึกษาทางการเงินและบัญชีช่วยในการจัดการเงินและการรายงาน
- สถาบันการศึกษาและองค์กรวิชาชีพ: การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อการฝึกอบรมหรือองค์กรวิชาชีพเพื่อการเชื่อมต่อเครือข่ายและการพัฒนาทักษะของพนักงาน
#8 Cost Structures – โครงสร้างต้นทุน
Cost Structures แสดงให้เห็นถึงประเภทของค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องแบกรับ โดยส่วนใหญ่โครงสร้างค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับกิจกรรมหลัก ทรัพยากรหลัก และพันธมิตรหลักของธุรกิจ การวิเคราะห์โครงสร้างค่าใช้จ่ายช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มกำไรได้ครับ ยกตัวอย่าง Cost Structures ในธุรกิจกิจร้านอาหาร
- ค่าใช้จ่ายด้านวัตถุดิบ: สค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น ผัก เนื้อสัตว์ เครื่องดื่ม และอุปกรณ์ครัวที่จำเป็น
- ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร: เงินเดือนและค่าตอบแทนพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการ
- ค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์และการบำรุงรักษา: ค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ใหม่ และการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่มีอยู่ เช่น เตาอบ หม้อหุงต้ม และอุปกรณ์ทำความเย็น
#9 Revenue Streams – กระแสรายได้
Revenue Stream คือวิธีที่ธุรกิจสร้างรายได้จากสินค้าและบริการ การวิเคราะห์แหล่งรายได้ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่ารายได้หลักมาจากไหน และสามารถพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
ยกตัวอย่างสำหรับธุรกิจร้านอาหาร Revenue Streams สามารถมองได้หลายมิติ ไม่เพียงแต่การขายอาหารในร้านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโอกาสในการสร้างรายได้จากช่องทางอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น
รายได้จากการขาย
- การขายอาหารและเครื่องดื่มในร้าน: รายได้หลักของร้านอาหาร มาจากการขายอาหารและเครื่องดื่มที่ลูกค้าทานในร้าน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญที่สุด
- การขายแบบสั่งกลับบ้าน: ลูกค้าสามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มกลับบ้าน รายได้จากช่องทางนี้มาจากออเดอร์ที่ลูกค้ามารับที่ร้านเอง
- การขายผ่านบริการจัดส่ง: การใช้บริการจัดส่งอาหาร เช่น Foodpanda, GrabFood หรือ Line Man ช่วยเพิ่มช่องทางรายได้จากลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบาย
รายได้จากบริการและกิจกรรมเสริม
- การจัดเลี้ยงและกิจกรรมพิเศษ: การรับจัดเลี้ยงสำหรับงานอีเวนต์หรืองานสังสรรค์ รายได้จากการจัดเลี้ยงสามารถเป็นแหล่งรายได้เสริมที่มีศักยภาพมากเลยทีเดียว
- การเปิดให้เช่าพื้นที่: สำหรับร้านอาหารที่มีพื้นที่มาก สามารถสร้างรายได้จากการให้เช่าพื้นที่สำหรับกิจกรรมหรืออีเวนต์ต่าง ๆ
รายได้จากบริการอื่น ๆ
- การขายสินค้าแบรนด์ของร้าน: ร้านอาหารบางแห่งมีสินค้าพิเศษที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ เช่น เสื้อยืด แก้วน้ำ หรือเครื่องปรุงรส ซึ่งเป็นช่องทางเสริมในการสร้างรายได้
- การขายสูตรอาหารหรือคอร์สเรียน: หากร้านอาหารมีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง สามารถสร้างรายได้จากการขายสูตรอาหารหรือการเปิดคอร์สเรียนทำอาหาร
การเข้าใจแหล่งรายได้แต่ละช่องทาง ช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจลดความเสี่ยงโดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียว ดังนั้นผมจึงมองว่าการพัฒนา Revenue Streams ที่หลากหลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในธุรกิจ
ตัวอย่าง Business Model Canvas ของ Starbuck
Value Proposition – จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
- นวัตกรรม: Starbucks ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ
- คุณภาพ: ใช้เมล็ดกาแฟคุณภาพสูงและมีผู้คั่วกาแฟที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี
- ความสะดวก: ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าได้ผ่านแอปของ Starbucks เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อคิวที่ร้าน
- ความหลากหลาย: Starbucks มีการผสมกาแฟ 30 แบบและมีอาหารประเภทแซนด์วิช ขนมอบ ชา สมูทตี้ สลัด และอื่น ๆ ให้เลือกมากมาย
- แบรนด์: Starbucks มีแบรนด์ที่ทรงพลังและได้รับรางวัล ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ
Customer Segments – กลุ่มลูกค้า
ในโมเดลธุรกิจของ Starbucks ไม่มีการแบ่งส่วนลูกค้าอย่างชัดเจน ใครก็ตามที่ต้องการกาแฟคุณภาพสูงถือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มลูกค้าของ Starbucks หรือพูดง่าย ๆ คือ Mass market นั่นเองครับ
Customer Relationships – การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
พนักงานเต็มใจที่จะช่วยเหลือลูกค้าในทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้ได้รับปรัสบการณ์ที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้ Starbucks มีฐานลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์อย่างมาก
Channels – ช่องทาง
- ร้านกาแฟของแบรนด์
- ผู้ค้าปลีกสำหรับเมล็ด
- บัตร Starbucks
- แอป Starbucks
- โซเชียลมีเดีย
Key Activities – กิจกรรมหลัก
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์
- การบริการลูกค้า
- การตลาด
- การผลิต
- การวิจัยและพัฒนา (R&D)
- การทำความสะอาด และอื่นๆ
Key Resources – ทรัพยากรสำคัญ
- ทรัพยากรมนุษย์
- ศูนย์การเกษตรกาแฟคุณภาพสูง
- ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์
- ร้านค้า
Key Partners – พันธมิตรหลัก
- ซัพพลายเออร์ทั่วโลก
- ผู้ผลิตกาแฟ
- บริษัทการค้าที่เป็นอิสระ
- ผู้ส่งออก
- ผู้ค้าปลีก
- ผู้จัดจำหน่าย
Cost Structures – โครงสร้างต้นทุน
- ต้นทุนในการบริหารและดำเนินงาน
- การตลาด
- การกระจายสินค้า
- สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
Revenue Streams – กระแสรายได้
- การขายเครื่องดื่ม (โดยเฉพาะกาแฟ)
- อาหาร ทั้งในร้านที่ดำเนินการโดยบริษัทหรือร้านที่ได้รับใบอนุญาต
- ค่าลิขสิทธิ์และใบอนุญาต
- สินค้าบรรจุหีบห่อ
สรุป Business Model Canvas
Business Model Canvas (BMC) เป็นแนวทางที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจ โดย BMC ประกอบด้วยองค์ประกอบ 9 ส่วน ดังนี้:
- Value Proposition: สิ่งที่ธุรกิจนำเสนอเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้า หรือเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเลือกธุรกิจเรา
- Customer Segments: การระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่ธุรกิจจะเน้นการบริการหรือการขายผลิตภัณฑ์
- Customer Relationships: วิธีการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า
- Channels: ช่องทางที่ธุรกิจจะใช้สื่อสารและขายผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า สามารถเป็นทั้งออนไลน์และออฟไลน์
- Key Activities: กิจกรรมหลักที่ธุรกิจต้องทำเพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทั้งหน้าร้านและหลังร้าน
- Key Resources: ทรัพยากรสำคัญที่ธุรกิจต้องใช้ในการสร้างและส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า
- Key Partners: พันธมิตรหลักที่ธุรกิจต้องร่วมมือด้วยเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ
- Cost Structures: โครงสร้างต้นทุนที่ธุรกิจต้องแบกรับ โดยขึ้นอยู่กับกิจกรรมหลัก และทรัพยากรหลักของธุรกิจ
- Revenue Streams: วิธีที่ธุรกิจสร้างรายได้จากสินค้าและบริการ การเข้าใจแหล่งรายได้แต่ละช่องทางจะช่วยกำหนดกลยุทธ์ในการเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสใหม่ ๆ
การเข้าใจองค์ประกอบทั้ง 9 นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแบบจำลองที่ชัดเจนและเป็นขั้นเป็นตอนสำหรับการดำเนินงานและการเติบโตของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ
พามาดูอีก 2 Framework ที่นิยมใช้วิเคราะห์ธุรกิจกันครับ