RFM MODEL ร้านพิซซ่า

พามาดูใช้ RFM MODEL กับ ร้านพิซซ่า บริหารจัดการลูกค้ายังไง ให้กำไรเพิ่มขึ้น

ลูกค้าคนไหนสำคัญที่สุด? แล้วจะดูแลยังไงให้ถูกจุด? นี่คือคำถามที่เจ้าของร้านและนักการตลาดต้องเจอเสมอครับ เพราะความจริงคือ… ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนจะมีมูลค่าเท่ากัน และไม่ใช่ทุกคนจะกลับมาซื้อซ้ำเท่า ๆ กันด้วย ถ้าเราเข้าใจว่าใครคือ “ขาประจำที่จ่ายหนัก” หรือใครคือ “ลูกค้าที่หายไป” เราก็จะบริหารโปรโมชันและความสัมพันธ์ได้แม่นยำขึ้น และนั่นคือสิ่งที่ RFM Model เข้ามาช่วยครับ มาดูกันว่าทำยังไง และตัวอย่างในบริบท ร้านพิซซ่า ครับ

RFM ย่อมาจาก 3 ปัจจัยที่ใช้วัดคุณค่าของลูกค้าแต่ละคน:

  • R – Recency: ลูกค้าคนนี้ซื้อครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?
  • F – Frequency: ซื้อบ่อยแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง?
  • M – Monetary: ใช้เงินกับเรามากแค่ไหน?

แม้ร้านจะไม่มีระบบ CRM ขั้นสูง แค่มีข้อมูลการสั่งซื้อเก่า ๆ เราก็ใช้ RFM ได้แล้วครับ

  • กลุ่ม VIP (R สูง, F สูง, M สูง) ลูกค้าคุณค่าระดับสูงสุด ควรใส่ใจเป็นพิเศษ
  • กลุ่มเสี่ยงหลุด (F สูง, M สูง แต่ R ต่ำ) เคยซื้อบ่อยและจ่ายหนัก แต่ห่างหายไป
  • กลุ่มน่าจับตา (R สูง, F ต่ำ, M สูง) เพิ่งเคยซื้อ แต่จ่ายเยอะ มีโอกาสพัฒนา

แทนที่จะหว่านโปรแบบกว้าง ๆ เราค่อย ๆ “ขยับลูกค้าแต่ละกลุ่ม” ให้มีคุณค่ามากขึ้น เช่น

  • ลูกค้าใหม่ ➝ ให้ส่วนลดหรือเมนูแถม เพื่อดึงให้กลับมาเร็ว
  • ลูกค้าซื้อซ้ำ ➝ ให้สะสมแต้ม, สิทธิพิเศษ เพื่อเพิ่มความถี่
  • ลูกค้าขาประจำ ➝ มอบเมนูลับหรือสถานะ VIP เพื่อความผูกพัน

การใช้ RFM อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ทำให้ลูกค้า “กลับมา” แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกขึ้น ทำให้แต่ละคนคุ้มค่าขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องพึ่งโปรเยอะครับ มาดูตัวอย่างกันดีกว่าว่าถ้าเป็นร้านพิซซ่าจะใช้ RFM Model ยังไง

การกำหนดค่า R หรือ Recency คือการดูว่า ลูกค้ากินล่าสุดเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญมาก เพราะพฤติกรรมของลูกค้าที่เพิ่งมากินกับลูกค้าที่ห่างหายไปนาน ย่อมต้องการกลยุทธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ

RFM MODEL ร้านพิซซ่า

การประยุกต์ใช้ ค่า R – Recency สำหรับร้านพิซซ่าคือการเข้าใจว่า ความถี่ในการสั่งซื้อสะท้อนความอยากและ ความผูกพันกับแบรนด์ได้ดีแค่ไหน ยิ่งเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งวางแผนการตลาดได้แม่นยำมากขึ้นเท่านั้น ย้ำอีกครั้งว่าเป้าหมายของ RFM ไม่ใช่แค่ให้ส่วนลด แต่คือทำให้ลูกค้ากลับมา – บ่อยขึ้น – และจ่ายมากขึ้น อย่างมีกลยุทธ์ครับ

ค่า Frequency เป็นอีกหนึ่งแกนสำคัญใน RFM Model เพราะความถี่ในการมาร้านช่วยสะท้อนความสัมพันธ์และพฤติกรรมซ้ำ ที่เราควรดูแลต่างกันในแต่ละระดับ

  • F5–F4: ไม่เน้นโปรแรง เพราะลูกค้ารักแบรนด์อยู่แล้ว → เน้น “ความพิเศษเฉพาะคุณ” เพื่อให้รู้สึกมีคุณค่า
  • F3–F2: กระตุ้นให้นึกถึงแบรนด์ในเวลาที่คุ้นเคย → ใช้ “ความคุ้นเคย + ความใส่ใจ” ดึงกลับมา
    F1: ไม่รู้ว่าหายเพราะอะไร → ต้อง “ฟัง” และ “ลองยื่นข้อเสนอใหม่” ที่ไม่ใช่แค่ลดราคา

​​การวางกลยุทธ์ Frequency ที่ดีไม่ใช่การแจกโปรโมชั่นเหมือนกันหมด แต่คือการ ฟังจังหวะของลูกค้าแต่ละคน แล้วเข้าไปมีบทบาทในจังหวะนั้นให้พอดีที่สุดครับ

การกำหนดค่า Monetaryเป็นอีกมิติสำคัญใน RFM Model เพราะลูกค้าที่จ่ายเยอะ ไม่ได้แปลว่ามาบ่อย และลูกค้าที่มาบ่อย อาจจ่ายน้อย ดังนั้นการเข้าใจมูลค่าต่อหัว หรือยอดรวมที่จ่าย จึงช่วยให้ร้านพิซซ่าสามารถออกแบบโปรโมชั่นให้ตรงกลุ่มและคุ้มต้นทุนมากขึ้นครับ

RFM MODEL ร้านพิซซ่า

จ่ายบ่อย ≠ จ่ายเยอะ การแบ่งลูกค้าตามยอดใช้จ่ายไม่ได้บอกว่าเขารักแบรนด์มากที่สุด แต่บอกว่า “เขามีศักยภาพมากแค่ไหนในแต่ละครั้งที่มา”  โดยเป้าหมายของเราคือ: ใช้ต้นทุนให้คุ้มค่า, สร้างความสัมพันธ์ที่ถูกจังหวะกับแต่ละกลุ่ม

แทนที่จะทุ่มโปรโมชั่นเท่ากันกับทุกคน RFM จะช่วยให้เรารู้ว่า ควรให้ใครก่อน และให้แบบไหน โดยเฉพาะในร้านพิซซ่าที่มีลูกค้าหลากหลาย ทั้งสายเปย์ สายชิล และสายหายเงียบ ลองดูตัวอย่างการแบ่งกลุ่มและกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริงจาก RFM Score ด้านล่างนี้ครับ

RFM MODEL ร้านพิซซ่า

กลุ่มนี้คือคนที่สั่งพิซซ่าเกือบทุกสัปดาห์ และมักสั่งแบบจัดเต็ม เช่น ถาดใหญ่ + เครื่องเคียงหลายรายการ หรือสั่งไปเลี้ยงคนอื่น เรียกได้ว่าเป็นสายเปย์ตัวจริงของร้านเลยครับ กลยุทธ์ที่ควรใช้คือ การให้สิทธิ์เฉพาะคนพิเศษ เช่น

  • สมัครสมาชิก “Pizza Prime Club”
  • ได้สิทธิ์สั่งเมนูใหม่ก่อนเปิดขาย
  • เข้ากลุ่ม Line OA ลับ ที่มีสิทธิ์จองเดลิเวอรีล่วงหน้า หรือโปรลับเฉพาะสมาชิก

เป้าหมายของกลุ่มนี้คือ: รักษาความรู้สึกว่าเขาสำคัญ และสร้างความภักดีให้เหนียวแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

ลูกค้ากลุ่มนี้สั่งบ่อยระดับเดือนละ 2–3 ครั้ง มูลค่าบิลต่อครั้งอยู่ในระดับกลาง ๆ มักสั่ง Combo Set หรือมาพร้อมเครื่องดื่มขนมเล็กน้อย ยังไม่ใช่ VIP แต่ก็มีศักยภาพสูงครับ กลยุทธ์ควรเป็นแบบ เพิ่มความถี่ + ดันให้จ่ายมากขึ้นอีกนิด เช่น

  • โปรสะสมครบ 3 ครั้ง แถมฟรีพิซซ่าถาดเล็ก
  • โปรชวนเพื่อนครบ 5 คน รับเมนูแถม
  • ให้สิทธิ์สั่งในช่วงพีคไทม์โดยไม่ต้องรอ

เป้าหมายของกลุ่มนี้คือ: เปลี่ยนจากแค่ขาประจำ → เป็นลูกค้า VIP

กลุ่มนี้เพิ่งสั่งพิซซ่าครั้งแรกเมื่อไม่นาน จ่ายไม่เยอะ อาจมาจากการเห็นโฆษณาหรือโปร แต่ยังไม่มีประวัติซื้อซ้ำ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองครับ กลยุทธ์ที่เหมาะคือ “First Visit Follow-up” เช่น

  • ส่งข้อความขอบคุณ + เมนูที่แนะนำสำหรับมือใหม่
  • ส่วนลด 10% ถ้ากลับมาภายใน 7 วัน
  • เมนูแถมเฉพาะลูกค้าใหม่ (เช่น ขนมปังกระเทียมฟรี)

เป้าหมายคือ: ทำให้เขากลับมา “ครั้งที่ 2” ให้ได้ เพราะถ้าเขากลับมา โอกาสจะกลายเป็นลูกค้าประจำจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดครับ

นี่คือลูกค้าที่เคยสั่งบ่อย เคยจ่ายเยอะ แต่หายไปนาน อาจเคยรักพิซซ่าร้านเรามาก ๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็เลิกไปแบบเงียบ ๆกลยุทธ์ที่ควรใช้คือ กระตุ้นความทรงจำ เช่น

  • ส่งเมนูใหม่ที่น่าตื่นเต้นพร้อมข้อความ “ยังจำพิซซ่าหน้าชีสลาวาที่คุณเคยชอบได้ไหม?”
  • ส่งส่วนลดเล็กน้อย + คำทักแบบมีอารมณ์ เช่น “คิดถึงวันเสาร์ที่คุณเคยสั่งพิซซ่าไหมครับ?”

เป้าหมายคือ: ฟื้นความรู้สึกดี ๆ โดยไม่ขายจ๋าเกินไป

ลูกค้ากลุ่มนี้สั่งครั้งเดียว แล้วไม่เคยกลับมา จ่ายน้อย ไม่รู้ว่าหายไปเพราะไม่ประทับใจ หรือไม่ใช่สไตล์ที่เขาชอบ กลยุทธ์ที่เหมาะคือ ให้โอกาสสุดท้ายแบบชัด ๆ เช่น

  • “Final Deal ลด 20% สำหรับลูกค้าครั้งเดียว”
  • แนบแบบสอบถามสั้น ๆ ถามว่า “มีอะไรที่คุณอยากให้เราปรับปรุงไหม?”
  • ส่งรีวิวจากลูกค้ารายอื่น หรือคอนเทนต์เมนูฮิต เพื่อจุดประกายให้ลองใหม่

เป้าหมายคือ: วัดว่าเขายังมีโอกาสกลับมามั้ย? ถ้าไม่ – ก็ไม่ต้องเสียทรัพยากรตามต่อ

RFM MODEL ร้านพิซซ่า
(ขอบคุณภาพจาก Shutterstock AI Generator Prompt: a bustling pizza restaurant during dinner rush, customers chatting, waiters moving quickly, warm ambient lighting, wood and brick interior, cinematic composition with motion blur, cozy and lively atmosphere)

RFM Model คือเครื่องมือที่ช่วยให้ร้านพิซซ่ามองลูกค้าแต่ละคนอย่างมี “มิติ” มากกว่าการแจกโปรทั่วหน้า โดยแบ่งลูกค้าตามความถี่ในการซื้อ (Frequency), ความสดใหม่ของพฤติกรรม (Recency) และยอดใช้จ่าย (Monetary) ทำให้เรารู้ว่าใครคือคนที่ควรรักษา ใครควรผลักดันให้โต และใครควรให้โอกาสสุดท้าย การใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมในแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้ร้านสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน ลดการใช้ต้นทุนที่ไม่จำเป็น และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว เพราะสุดท้ายแล้ว ความสำเร็จของร้านไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่การขายได้มากขึ้นในวันเดียว แต่คือการ “ทำให้ลูกค้ากลับมา” แบบเต็มใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าครับ

บทความที่แนะนำให้อ่านต่อ

ชื่อเติ้ลครับ เป็น Senior Data Insight Researcher & Marketing Content Creator แห่งการตลาดวันละตอนครับ ^^ มีงานอดิเรกเป็น ผู้ช่วยนักวิจัยฝั่ง Consumer Insights ที่คณะวิทยาศาตร์การกีฬา ที่จุฬาครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *